เฟิงอี๋บอกว่า เรื่องเส้นชีพจรเทพนั้นเป็นคำสั่งของท่านเทพที่ชื่อว่าฉู่เหยียน ส่วนคนที่ชื่อฉู่เหยียนเหมือนจะเกี่ยวข้องกับทักษิณสวรรค์และประจิมสวรรค์ ส่วนเขาจะเป็นคนของทางไหนยังไม่ทราบแน่ชัด ส่วนเรื่องของอสูรกลืนกลืนนภาก็เป็นฝีมือของคนที่ชื่อฉู่เหยียนเช่นเดียวกัน
เฟิงอี๋พูดไม่ผิด เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งล้วนถูกพวกเขาทำลาย คนที่ชื่อฉู่เหยียนต้องมาหาพวกเขาเป็นแน่ เพียงแต่เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาเร็วเช่นนี้ อีกทั้งยังปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ ไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
การประลองเสวียนเหมินเพิ่งสิ้นสุดไปไม่ถึงหนึ่งเดือน ข่ายพลังคุ้มครองภูผาในสำนักเทียนซือถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง แตกต่างจากการปรากฏตัวของเฟิงอี๋ที่เต็มไปด้วยเมฆดำปกคลุมท้องฟ้า ในขณะที่สำนักเทียนซือเต็มไปด้วยความสว่างไสว ท้องฟ้าราวกับเปิดประตูบานหนึ่งออก แสงเจ็ดสีสาดส่องลงมาจากด้านบน ส่องแสงสว่างในรัศมีร้อยลี้จากสำนักเทียนซือ เสียงสวรรค์ที่ห่างไกลลอยลงมา ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก พลังเทพมหาศาลลอยลงมาจากขอบฟ้า รวมตัวกลายเป็นก้อนเมฆบนท้องฟ้า
ท่านเทพจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่เหนืออากาศ รอบตัวเต็มไปด้วยพลังเทพ ทำให้คนไม่อาจจ้องมองรูปลักษณ์ได้โดยตรง
ลูกศิษย์ของสำนักเทียนซือทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง นี่คือการลงจากสวรรค์ของท่านเทพที่แท้จริง ท่านเทพล้วนเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่พวกเขาฝึกฝนทางเต๋ามา เดิมทีพวกเขาควรจะมีความตื่นเต้นและศรัทธา แต่หลังจากรับรู้ตัวคนของอีกฝ่ายแล้ว พวกเขากลับไร้อารมณ์ขึ้นมาทันที
เรื่องที่วิญญาณมังกรเฟิงอี๋พูดนั้น อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย รวมไปถึงเรื่องมังกรน้ำร้ายกาจก่อนหน้านั้นด้วย เธอเล่าเรื่องทั้งหมดต่อสำนักเทียนซือ ทำให้ทุกคนพอจะเดาได้ว่าท่านเทพที่ลงจากสวรรค์มาในตอนนี้มีจุดประสงค์อะไร
ท่านเทพกลางอากาศแสดงท่าทีความเป็นเทพโลกบนอย่างเต็มเปี่ยม จนกระทั่งแสงนั้นส่องสว่างราวหนึ่งเค่อถึงได้หยุดเสียงสวรรค์ที่ราวกับเสียงบีเอ็มจีลง
เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก้าวเท้าออกมาเป็นคนแรกในฐานะเจ้าสำนัก ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดนั้น
เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งลอยมาทจากด้านบน เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา “มนุษย์โง่เขลา บังอาจทำร้ายเผ่าพันธ์มังกรของโลกบน ทำผิดกฎสวรรค์ สมควรแก่การกำจัด!”
นาทีถัดมา ทุกคนยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็เห็นเพียงภายในแสงเจ็ดสีนั้นมีแสงสีทองนับหมื่นพุ่งออกมา แสงเหล่านั้นล่วงพุ่งตรงลงมายังสำนักเทียนซือราวกับหยาดฝน ท่าทางราวกับต้องการทำลายล้างทั้งสำนักเทียนซือ
ข่ายพลังคุ้มครองภูผาเปิดขึ้นอีกครั้ง ข่ายพลังกึ่งโปร่งใสสีขาวต้านแสงสีทองนับหมื่นเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างตกอยู่ในความตกตะลึง ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าท่านเทพเหล่านี้ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะทักทาย หารือกับพวกเขาแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่สนใจว่าอาจพลาดพลั้งทำร้ายคนอื่นหรือไม่!
เจ้าสำนักสวีรู้สึกถึงความโกรธเคืองที่คุกรุ่นอยู่ภายในใจ ความคิดที่อยากจะพูดด้วยเหตุผลหายไปจนหมดสิ้น เขาหยิบยันต์ออกมากระตุ้นข่ายพลังย้อนกลับที่อยู่ในข่ายพลังคุ้มครองภูผา
ทันใดนั้นแสงสีทองนับหมื่นปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครานี้ไม่ได้พุ่งตรงไปยังด้านล่าง แต่กลับพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยพลังเทพนั้นกลายเป็นรังผึ้ง
ท่านเทพบนท้องฟ้าไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้นแสงเจ็ดสี และท่าทีท่านเทพล้วนสลายหายไป อีกทั้งยังได้ยินเสียงร้องโหยหวนลอยลงมาอีกด้วย จนกระทั่งเกราะกำบังสีใสปรากฏขึ้น ถึงได้ต้านแสงสีทองที่สะท้อนกลับมาไว้ได้
แสงเจ็ดสีที่บดบังสายตานั้นสลายหายไป เผยให้เห็นร่างนับร้อยที่ปรากฏอยู่ด้านบน เห็นเพียงแต่อีกฝ่ายสวมชุดสีขาว
พวกเขามีทั้งชายและหญิง บ้างเป็นชายแก้ที่มีหนวดเคราสีขาวเต็มหน้า บ้างเป็นเด็กที่สูงไม่ถึงเอว แต่พวกเขาล้วนยืนอยู่ด้านข้างของชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนกรงล้อเปลวไฟสีทอง เปลวไฟบนกรงล้อนั้นราวกับถูกกำราบ มันล้อมอยู่รอบชายคนนั้นอย่างเชื่อฟัง มือของเขายังทำท่าปิดผนึก เกราะกำบังที่ต้านข่ายพลังย้อนกลับเมื่อสักครู่เป็นฝีมือของเขา
“มนุษย์ใจกล้า!” ท่านเทพคนหนึ่งด้านข้างชายคนนั้นเดินขึ้นหน้าด้วยสีหน้าโกรธเคือง เสื้อของเขาขาดเป็นรูกว้าง เส้นผมของเขามีรอยถูกไหม้ เขาจ้องเขม็งมายังเหล่าเจ้าสำนักสวีที่อยู่ด้านล่าง “บังอาจไม่เคารพท่านเทพ ไม่เกรงกลัวบนลมโทษจากสวรรค์หรือ”
เจ้าสำนักสวีหัวเราะเสียงเย็น ไม่มีความรู้สึกดีต่อท่านเทพโลกบนแม้แต่น้อย เขาตอกกลับทันที “ท่านเทพทั้งหลายมาถึงก็เกรงใจพวกข้าเช่นนี้ สำนักเทียนซือก็ต้องแสดงความเคารพตอบกลับเหมือนกัน”
“เจ้า…” ท่านเทพนั้นโมโห คิดอยากจะลงมือ แต่คนบนกงล้อสีทองหันไปมองเขาทีหนึ่ง ทำให้เขาหดกลับไปในทันที เขาข่มความโกรธภายในใจ ก่อนจะพูดขึ้น “พวกข้ามาตามหาท่านเทพมังกรเฟิงอี๋ วิญญาณของเขาขาดหายไปจากตรงนี้ พวกเจ้ากล้าบอกว่าไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า”
เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพูดขึ้น “หลายวันก่อน มีมังกรหินตัวนี้บุกเข้าสำนักเทียนซือ แต่มันเป็นคนเริ่มลงมือก่อน อีกทั้งมันยังปล่อยให้บุตรของตนเองทำร้ายคนนับหมื่น พวกข้าตอบโต้ด้วยความจำเป็น หากท่านเทพจะเอาผิด ทำไมถึงไม่สืบหาก่อนว่ามันทำอะไรลงไป”
“เหลวไหล” ท่านเทพคนนั้นราวกับไม่ได้อยากจะฟังคำอธิบายของพวกเขา สายตาเต็มไปด้วยความดูถูก “ท่านเทพมังกรของโลกบนจะมาทำร้ายมนุษย์อย่างพวกเจ้าทำไม พูดจาเหลวไหลอย่างสิ้นเชิง มนุษย์อย่างพวกเจ้าโลภมาก คงจะอยากได้สมับติในตัวของท่านเทพมังกรถึงได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ พวกเจ้ารีบส่งสมบัติที่ได้จากท่านเทพมังกรออกมาเดี๋ยวนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษ!”
สมบัติอีกแล้วหรือ? เหตุผลที่ท่านเทพของโลกบนใช้แย่งชิงของมีอยู่อย่างเดียวหรือไง
“มังกรนั้นพวกข้าเป็นคนข้าเอง แต่พวกข้าไม่ได้แย่งสมบัติอะไรทั้งนั้น” เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้ว ดูท่าทางลูกแก้วกำเนิดวิญญาณที่อาจารย์อวิ๋นเคยกล่าวถึงจะสำคัญกับคนเหล่านี้มากจริงๆ สำคัญจนกระทั่งพวกเขาไม่สนใจอะไร!
“ยังพูดจาเหลวไหลอีก!” ท่านเทพส่งเสียงเย็นในลำคอ “พวกข้ากล้ามา แสดงว่าพวกข้าสืบเรื่องนี้แล้ว ฝีมือของเทพ มนุยษ์โง่เขลาอย่างพวกเจ้าจะรู้ได้อย่างไร ก่อนที่ท่านเทพมังกรจะดับสูญไป เขาได้ส่งสารกลับโลกสวรรค์ก่อนแล้ว สมบัติถูกพวกเจ้าแย่งชิงไป”
“เจ้าโกหก!” ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงคุ้นเคยหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมา เสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะแย้งเสียงหลง “ฉู่เหยียน เจ้าปล่อยให้เขาพูดจาเหลวไหลอะไรกัน ข้าไม่เคยส่งสารอะไรให้เจ้า!”
วิญญาณมังกรของเฟิงอี๋โผล่ออกมาจากข้างตัวของอวิ๋นเจี่ยว เขามองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำ เขาพูดเหลวไหล! ตอนนั้นข้าตายไปแล้ว จะมีเวลาส่งสารอะไรกัน?! ท่านเทพ ท่านต้องเชื่อข้า!” เฟิงอี๋แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว เขาเพิ่งเก็บวิญญาณมังกรให้รอดกลับมาอย่างยากลำบาก ร่างตายไปแล้ว ฉู่เหยียนคนใจดำยังวิ่งลงมาใส่ร้ายเขา
“อืม ข้ารู้” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
เฟิงเสี่ยวหวงโล่งอก ยังดีที่วิญญาณยังอยู่
“ท่านเทพเฟิงอี๋?!” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนกรงล้อสีทองตกตะลึง เขาจ้องเขม็งเฟิงอี๋ที่อยู่ด้านล่าง สายตาเต็มไปด้วยความฉงน ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป