บทที่ 207: สีเขียวเป็นสีของสงคราม

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 207: สีเขียวเป็นสีของสงคราม

เมื่อนอร่าเห็นอลิเซียนั่งอยู่บนตักของโรเอล ห่างจากการเผด็จศึกเพียงก้าวเดียว เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างแวบเข้ามาในหัว ปล่อยสัตว์ประหลาดแห่งโทสะที่ถูกผนึกเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ

ในขณะที่ข้ากำลังยุ่งอยู่กับชาร์ล็อต เจ้ากลับกล้าที่จะวางแผนทำเรื่องบัดสีลับหลังข้าอย่างนั้นเหรอ?

“อลิเซีย เจ้ากล้าดียังไง?!”

ความโกรธทำให้เหตุผลในหัวของนอร่าเลือนลางจางหาย เด็กสาวทำการโจมตีออกไปในทันที ระหว่างที่เธอกำลังพูด ปีกแสงบนหลังของนอร่าก็เปล่งประกายด้วยแสงอันทรงพลังสว่างไสว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโซ่สิบเส้นพุ่งเข้าหาอลิเซียราวกับลูกศร

ชาร์ล็อตเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน เสียงแตกกระจายดังก้องมาจากทางด้านข้างของโรเอล ขวดที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดสองสามวันที่ผ่านมาได้แตกออก ปลดปล่อยอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอออกมา จิตวิญญาณแห่งทองคำ

ของเหลวสีทองเปล่งประกายเจิดจรัสด้วยพลังเวทและเจตจำนงของเจ้าของ แผ่ขยายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว มันพันรอบตัวโรเอลเป็นทรงกลมเพื่อแยกเขาออกจากอลิเซีย ในขณะเดียวกัน ชาร์ล็อตก็แตะที่แหวนของเธอเบา ๆ

“คลังกระสุนอัญมณี!”

ด้วยเสียงอันเกรี้ยวกราด อุปกรณ์เวทอันงดงามได้ปรากฏขึ้นในมือของชาร์ล็อต ความโกรธที่แผดเผาในหัวใจของเด็กสาวนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าของนอร่าเลย ถ้าความโกรธของนอร่ามาจากการโดน “พันธมิตร” แทงข้างหลังแล้วล่ะก็ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความโกรธของชาร์ล็อตก็คงเป็นเพราะสถานที่ก่อเหตุ

ที่นี่คือสวนร้อยปักษา คฤหาสน์ของชาร์ล็อต ไม่มีหญิงใดสามารถทนต่อการถูกช่วงชิงสามีภายในบ้านของตนเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีสถานะสูงส่งเช่นชาร์ล็อต!

แกร็ก!

ไกปืนถูกดึง อัญมณีถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คาถาเวทน้ำแข็งถูกร่ายจากภายในร่างกายของอลิเซีย ไอเย็นแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านทางเลือดของเด็กสาว ราวกับว่าเธอถูกโยนลงไปในน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก จังหวะนั้นเองโซ่ทองคำที่นอร่าร่ายขึ้นมาก็ใกล้จะถึงร่างของเธอพอดิบพอดี

ภายใต้การโจมตีประสานพร้อมกันของนอร่าและชาร์ล็อต อลิเซียตกอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเด็กสาวทั้งสองคนจะโกรธเคืองจนหน้ามืด แต่พวกเธอก็ยังไม่ได้สูญเสียเหตุผลไปทั้งหมด พวกเธอรู้ว่าตนเองไม่สามารถทำร้ายอลิเซียจริง ๆ จัง ๆ ได้ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ต่อหน้าโรเอล ดังนั้นพวกเธอจึงเลือกใช้คาถาเวทประเภทจับกุมแทน

หลังจากที่โซ่ถูกยิงออกไป นอร่าก็ไม่ได้ร่ายคาถาเวทอื่นเพิ่ม ชาร์ล็อตเองก็ลดอาวุธของตนลง ปฏิกิริยานี้ของทั้งคู่เกิดจากความมั่นใจในคาถาเวทของตนเอง พวกเธอมั่นใจว่าคาถาเวทเหล่านั้นจะสามารถโค่นอลิเซียลงได้โดยไม่มีปัญหาอะไร

อลิเซียเป็นเพียงแค่ลูกสาวบุญธรรมของตระกูลแอสคาร์ดที่ไม่ได้มีสายเลือดแอสคาร์ดแต่อย่างใด ดังนั้นคนอื่น ๆ จึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับเธอมากนัก นอกจากนี้เธอยังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายใน จักรวรรดิเซนต์เมซิท จึงแทบไม่มีใครรู้ว่าเด็กสาวคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน แม้แต่ภายในเขตการปกครองแอสคาร์ด

แม้ว่าบางทีนอร่าจะรู้สึกถูกคุกคามโดยความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของอีกฝ่าย แต่เธอก็ไม่เคยเห็นอลิเซียต่อสู้จริงมาก่อน ดังนั้นนอร่าจึงไม่รู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าแข็งแกร่งเพียงใด ส่วนในมุมมองของชาร์ล็อต เธอไม่คิดว่าอลิเซียจะเป็นภัยคุกคามได้เลย เธอจึงมั่นใจว่าการต่อสู้จบลงแล้ว

ทว่านั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้พวกเธอต้องประหลาดใจในภายหลัง

“พวกคุณสองคน! ตั้งใจจะขวางท่านพี่กับดิฉันไปอีกกี่ครั้งกัน?”

ภายใต้การจู่โจมอันหนาวเหน็บจากคาถาเวท ผมของอลิเซียเริ่มเปล่งประกายเจิดจ้า เธอจ้องไปที่เด็กสาวสองคนที่เข้ามาขัดขวางแผนการของตนด้วยดวงตาสีแดงเพลิงอันเต็มไปด้วยโทสะ ก่อนจะเริ่มร่ายคาถาเวท

“สลายมนตรา”

“!”

ทันทีที่อลิเซียร่ายคาถาเวท ระลอกคลื่นก็พัดไปทั่วห้อง สลายโซ่ที่พุ่งเข้ามาอย่างง่ายดายราวกับเช็ดกระดานไวท์บอร์ด ขณะเดียวกันน้ำแข็งภายในร่างกายของเธอก็หายไปด้วยเช่นกัน ทุกอย่างกลับเป็นปกติในทันที

ม่านตาของชาร์ล็อตและนอร่าพองโตด้วยความประหลาดใจ พวกเธอแทบจะไม่เชื่อสิ่งที่ตนเองได้เห็น อลิเซียนั้นสามารถใช้คาถาเวท สลายมนตราอันทรงพลัง ทำลายคาถาเวทของพวกเธอได้

นี่เป็นคาถาเวทที่แข็งแกร่งที่สุด คาถาหนึ่งในการจัดการกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ดังนั้นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนจะต้องเรียนรู้มันสักวันอย่างแน่นอน แม้แต่นักดาบที่ดื้อรั้นที่สุด ก็ยอมที่จะละเลยการฝึกวิชาดาบมาเพื่อศึกษาคาถาเวทนี้

อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของคาถานี้ มีเงื่อนไขอยู่เพียงปัจจัยเดียว พลังเวทดิบ ๆ ของผู้ใช้ มันทำได้เพียงแค่ปัดเป่าคาถาเวทที่อ่อนแอกว่ามัน สำหรับนอร่าและชาร์ล็อต ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน วิธีเดียวที่จะเอาชนะพวกเธอได้มีเพียงการมีระดับแก่นแท้ที่สูงกว่าเท่านั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อลิเซียต้องมีระดับแก่นแท้ 3 เป็นอย่างน้อย

“ระดับแก่นแท้ 3?”

“มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? เด็กสาวคนนี้เนี่ยนะ…”

บทสรุปอันน่าสยดสยองที่พวกเธอนึกได้ ทำให้ทั้งนอร่าและชาร์ล็อตต่างก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ไปในทันที อลิเซียนั้นมีอายุน้อยกว่าพวกเธอถึงสองปี หากเด็กสาวผมเงินสามารถไปถึงระดับแก่นแท้ 4 ในวัยของเธอก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่ากลัวมากแล้ว พวกเธอจึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายสถิติทั้งหมดของพวกเธอ ทิ้งห่างไปด้วยความสำเร็จที่สูงกว่าราวฟ้ากับเหว!

“เดี๋ยวก่อนนะ เธออาจจะใช้วิธีเสริมผลลัพธ์ของคาถาเวทก็ได้!”

“… อา! เธอกำลังใช้พลังชีวิตเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับคาถาเวท!”

เมื่อเห็นแสงสลัวที่ส่องออกมาจากร่างของอลิเซีย นอร่าก็เบิกตากว้างด้วยความเข้าใจ

ปลดขีดจำกัดพลังเวท นี่เป็นคาถาที่ยากมากที่จะเรียนรู้ และแทบจะไม่มีใครคิดจะใช้มัน ผลกระทบของมันค่อนข้างชัดเจนคือ การยกระดับความแข็งแกร่งเก่งกาจของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้คาถาเวทได้พลังมากมายมหาศาลที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับศักยภาพในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามคาถาเวทนี้ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก เพราะมันดูดพลังชีวิตเป็นข้อแลกเปลี่ยน

ไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสติดีคนไหนที่จะทำร้ายตัวเองแลกกับการร่ายคาถาเวทให้รุนแรงขึ้นหนึ่ง หรือสองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่มีอะไรจะรับประกันว่าการโจมตีนั้นจะช่วยให้พวกเขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่สำหรับอลิเซียแล้ว เธอไม่มีปัญหานั้นเลย ไม่ใช่แค่กับคาถาเวท ปลดขีดจำกัดพลังเวท เท่านั้น แต่ผลข้างเคียงของเกือบทุกคาถาในทวีปเซียไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเลยสักนิด

พูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีพลังสายเลือดเกี่ยวกับพลังชีวิต สามารถฟื้นตัวจากผลข้างเคียงของคาถาเวทส่วนใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

ต่างจากที่นอร่าและคนอื่น ๆ คิดไว้ก่อนหน้านี้ อลิเซียไม่ได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับแก่นแท้ 4 ได้อย่างรวดเร็วเพราะพรสวรรค์ สิ่งที่มีบทบาทมากที่สุดคือพลังสายเลือดของเธอต่างหาก ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสามัญสามารถฝึกฝนคาถาเวทได้ไม่กี่ครั้งต่อวัน ก่อนจะต้องหยุดพักผ่อนจากผลข้างเคียงของคาถา อย่างไรก็ตามด้วยพลังทางสายเลือดของอลิเซีย เธอสามารถฝึกฝนคาถาเหล่านั้นได้หลายสิบครั้ง หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งร้อยครั้งต่อวันได้โดยไม่ต้องกังวล

หากพรสวรรค์ของชาร์ล็อตและนอร่า คือการควบคุมและเรียนรู้คาถาเวทได้อย่างรวดเร็วแล้วล่ะก็ พรสวรรค์ของอลิเซียก็คือการที่เธอไม่จำเป็นต้องหยุดพัก และสามารถฝึกฝนอย่างหนักได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ เธอจึงสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดและเติบโตได้เร็วกว่าใคร ๆ

แน่นอนว่าถึงอลิเซียจะสามารถฟื้นตัวจากผลข้างเคียงได้อย่างรวดเร็ว แต่อาการความรู้สึกเจ็บซ้ำ ๆ ไม่รู้จบจากผลข้างเคียงก็ยังเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อ มากพอที่จะทำให้คนธรรมดา ๆ เป็นบ้าได้ แต่เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อโรเอลแล้ว อลิเซียก็เลือกที่จะกัดฟันสู้อย่างแน่วแน่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคาร์เตอร์ถึงประทับใจในตัวเธอเป็นพิเศษ

เมื่อได้เห็นอลิเซียที่พยายามอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นแม้จะต้องทนเจ็บปวด แม้แต่คนที่เยือกเย็นที่สุดก็ยังรู้สึกประทับใจในความพยายามของเธอ ในมุมมองของคาร์เตอร์ คนที่พึ่งพาได้มากที่สุดในตระกูลแอสคาร์ด ไม่ใช่โรเอลหรือองครักษ์ของเขา แต่เป็นอลิเซีย

หากวันหนึ่งโรเอลตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอลิเซียนั้นพร้อมจะละทิ้งชีวิตของเธอเพื่อปกป้องเขา และมั่นใจได้เลยว่าอย่างน้อย ๆ อีกฝ่ายก็ไม่ได้กลับไปอย่างสบาย ๆ แน่ ถ้าอลิเซียไปถึง ระดับแก่นแท้ 3 จริง ๆ เธออาจจะโค่นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 ได้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าคาร์เตอร์หวังว่าสถานการณ์เช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้น ด้วยที่เขาเป็นห่วงทั้งอลิเซียและลูกชาย แต่ความทุ่มเทของเด็กสาวก็ยังคงทำให้เธอได้รับแต้มความประทับใจมากมายจากเขา

ด้วยโทสะ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่อลิเซียได้เปิดเผยพลังที่แท้จริงของเธอออกมาต่อหน้าคนอื่น ความแข็งแกร่งที่เธอแสดงออกมา ทำให้ทั้งนอร่าและชาร์ล็อตต้องประเมินภัยคุกคามจากเด็กสาวผมเงินคนนี้ใหม่อีกครั้ง

ชาร์ล็อตเรียกจิตวิญญาณทองคำออกมาทันที ทำให้ของเหลวสีทองไหลรอบตัวเธอราวกับทหารที่คอยคุ้มกันราชินีของพวกเขา ในขณะเดียวกัน ดวงตาสีทองของนอร่าก็เปล่งประกายเจิดจ้า สร้างวงแหวนรัศมีขึ้นบนศีรษะของเธอ พลังเวทหลั่งไหลเข้ามาในห้องอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เด็กสาวทั้งสามคนจ้องมองกันอย่างระมัดระวัง

“อลิเซีย เจ้าไม่คิดว่าตัวเองทำเกินไปหน่อยเหรอ ที่วางแผนอะไรแบบนี้ในตอนที่ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการพิพากษาคนที่ลักพาตัวโรเอลไป? นอกจากนี้ เจ้าคงไม่ลืมไปแล้วใช่ไหมว่าตัวเองยังเป็นลูกสาวบุญธรรมของตระกูลแอสคาร์ด และโรเอลก็ยังถือว่าเป็นพี่ชายของเจ้าอยู่!”

“โปรดระวังคำพูดของท่านด้วย ฝ่าบาท ดิฉันไม่ได้ลักพาตัวโรเอลไป คุณอลิเซีย คุณไม่รู้สึกอับอายที่ทำอะไรแบบนี้ในที่ดินของดิฉันงั้นเหรอ?”

“คุณสองคนกล้าดียังไงมาวิพากษ์วิจารณ์ดิฉันหลังจากที่มาขัดจังหวะช่วงเวลาอันใกล้ชิดระหว่างท่านพี่ของฉัน? มันไม่ใช่เรื่องของพวกคุณเลยที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของตระกูลแอสคาร์ด! คุณชาร์ล็อต ถ้าคุณคิดว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะสมล่ะก็ ดิฉันจะพาท่านพี่กลับไปยังที่ของเรา แบบนั้นแล้ว คุณจะไม่มาขัดขวางการรวมตัวของครอบครัวใช่ไหม?”

อลิเซียแสดงท่าทีอันแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนต่อหน้าอีกสองคน ทุกคำพูดทำให้บรรยากาศโดยรอบก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ พลังเวทที่กระจายไปรอบ ๆ เองก็รุนแรงขึ้นเช่นกัน

“ข้าคงไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไรอีก ดูเหมือนว่าพวกเราจะประนีประนอมไม่ได้”

“เห็นด้วยอย่างยิ่ง ดิฉันไม่มีคำพูดสำหรับผู้หญิงไร้ยางอายที่คิดจะทำเรื่องบัดสีกับคู่หมั้นของดิฉัน”

“ดิฉันเป็นคนแรกที่ได้พบกับท่านพี่ ควรจะมีแค่เขากับฉันเท่านั้น พวกคุณที่มาทีหลัง ก็แค่ตัวเกะกะ”

หลังจากกล่าวข้อสรุปของตนเอง นอร่าก็ชักดาบที่ห้อยอยู่ตรงเอว กางปีกแสงออกไปด้านนอก ชาร์ล็อตเรียกเทพธิดาแห่งดวงดาวสีทองให้ปรากฏขึ้นข้างหลังเธอ เตรียมที่จะใช้คาถาเวทที่แข็งแกร่งที่สุดของตน อลิเซียร่ายคาถาเวทให้นกสีขาวตัวหนึ่งบินไปมารอบตัวเธอก่อนที่มันจะหยุดลงบนไหล่ รอโอกาสที่จะปลดปล่อยคาถาเวททำลายล้าง

พลังเวทไหลเวียนในห้องหลากหลายรูปแบบ ความเงียบงันเข้าครอบงำบรรยากาศ ก่อนจะเริ่มการต่อสู้ หลังจากเตรียมการเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็เริ่มโจมตีพร้อม ๆ กัน

ชาร์ล็อตยกปืนขึ้นและเหนี่ยวไก ทุบอัญมณีที่อยู่ภายในให้แตกออกกลายเป็นคำสาปนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าหาอีกสองคนในรูปแบบของมังกรดำ นอร่าฟันดาบของเธอลงปลดปล่อยไฟสีทองไปยังศัตรูของเธอ อลิเซียยกมือของตนขึ้นสลายนกสีขาวที่เกาะอยู่บนไหล่ ก่อให้เกิดแสงสีแดงอันบิดเบี้ยวเปล่งออกมาอย่างน่าสยดสยอง

นี่คือความสามารถเต็มที่ของเด็กสาวที่มีความสามารถมากที่สุดในยุคนี้ การโจมตีของพวกเธอต่างแสดงอานุภาพที่เหนือกว่าระดับแก่นแท้ 4 ทั่ว ๆ ไปมาก และการไหลเวียนของพลังเวทอันทรงพลังหลอมรวมกัน สั่นสะเทือนแผ่นดินอย่างรุนแรง… ทว่าการปะทะกันของพลังเวทอันน่าทึ่งนี้ก็ต้องถูกยกเลิกลง

ตูม!

เกิดการระเบิดขนาดมหึมาขึ้น แต่มันไม่ได้เกิดจากการปะทะกันของคาถาเวทที่เด็กสาวทั้งสามคนร่ายออกมา แต่เป็นจากโครงกระดูกขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้น ออกมาจากบาเรียของจิตวิญญาณแห่งทองคำ พุ่งทะลุผ่านหลังคา ก่อนที่ฟาดแขนลงตรงกลางจุดปะทะของคาถาเวททั้งสาม

ด้วยการฟาดแขนของโครงกระดูกยักษ์ มังกรดำถูกทุบจนแตก ไฟสีทองสูญสลายลง และแสงสีแดงเข้มที่บิดเบี้ยวก็กระจัดกระจายหายไป หลังจากความโกลาหลนี้จบลง เสียงอันสั่นเทาไปด้วยความโกรธก็ดังขึ้น

“พวกเธอทุกคน อาละวาดกันจนพอใจแล้วรึยัง?”