เลี่ยวฟู่กุ้ยแค่ดูก็มองเห็นจุดแตกต่าง
“ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตเป็นคนทำใช่ไหม?”
เลี่ยวฟู่กุ้ยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวินิจฉัยผู้ป่วยโรคประสาท การรักษาโดยใช้กระบะทรายเป็นวิชาเลือกของเขา การก่อทรายที่มีลักษณะพิเศษนี้ เขามองแค่แวบเดียวก็ดูออก
“เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ถือว่ามีความผิดปกติด้านสภาพจิตใจก็ได้ พี่มองปัญหาออกบ้างไหม?” เสี่ยเวชี่ยนกำลังอยากปรึกษาใครอยู่พอดี เลี่ยวฟู่กุ้ยมาได้ถูกเวลามาก
“ผู้ป่วยมีสภาพจิตใจที่ผิดปกติค่อนข้างรุนแรง เพศหญิง จิตใจยังไม่เติบโตดี ไม่ถนัดเข้าสังคม มีความผิดปกติเรื่องเพศ และอาการผิดปกตินี้น่าจะมาจากพ่อ”
“ฉันก็คิดแบบนั้น วางงูพิษในตำแหน่งของพ่อ มันน่าแปลกมาก”
“งูมีความหมายที่สื่อถึงเยอะมาก บางทีเธออาจจะมีแค่งูพิษเขาก็เลยวางงูพิษก็เป็นได้”
“ไม่ใช่นะ ฉันมีงูหลายประเภท ตอนวางงูเขาเลือกอยู่นานมาก ฉันยังจงใจบอกเขาด้วยว่านั่นงูพิษ เขาก็บอกว่าต้องการอันที่มีพิษอยู่แล้ว”
“งูพิษคือพ่อ…แบบนี้ก็พูดยาก พ่อเขาเคยตีเขาเหรอ? มีแนวโน้มใช้ความรุนแรง? หรือไม่ก็…ไม่ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น มันโหดร้ายเกินไป” ความเป็นไปได้แบบนั้นพบได้น้อยมากในประเทศ
เลี่ยวฟู่กุ้ยเดินวนรอบกระบะทราย มองซ้ายทีขวาที เขาเก็บทุกรายละเอียดไม่ให้พลาด ก้มตัวลงมองจากบนลงล่าง ทำไมขาถึงได้ยาวแบบนั้น ยาว?!
เลี่ยวฟู่กุ้ยเงยหน้าแล้วใบหน้าก็แดงกล่ำ
อวี๋หลิวเหมยยืนถือจานผลไม้อยู่ด้านหนึ่งของกระบะทราย ผิวสีน้ำผึ้ง ช่วงขาเรียวยาว อยู่ในช่วงระดับสายตาของเลี่ยวฟู่กุ้ยพอดี มองจากล่างขึ้นบนให้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจ ขายาวจัง…
“พี่สะใภ้ เพื่อนเหรอ!” หลิวเหมยยื่นจานผลไม้ให้เลี่ยวฟู่กุ้ยแล้วยิ้มกว้างให้เขา
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออวี๋หลิวเหมย”
“สวัสดีครับ”
ช่วงขาเรียวยาวคู่นี้สร้างความตะลึงให้เขาไม่น้อย สีผิวของหลิวเหมยเข้มกว่าผู้หญิงทั่วไป พอเห็นแล้วกลับทำให้คนจำได้ง่ายมากขึ้น ถึงขนาดที่ว่าตอนดึกเลี่ยวฟู่กุ้ยเก็บไปฝันเห็นผีเสื้อตัวใหญ่สีน้ำผึ้งบินไปบินมาแล้วก็ฉับ กลายเป็นขาเรียวยาว…
“นี่พี่ชายของพี่เองชื่อเลี่ยวฟู่กุ้ย ชื่ออาชีพเขาอย่างเป็นทางการก็คือรองหัวหน้านักนิติจิตวิทยา นี่ลูกพี่ลูกน้องของหมิงหลางชื่ออวี๋หลิวเหมย” เสี่ยวเชี่ยนแนะนำทั้งสองคนอย่างเป็นทางการ
“เด็กขนาดนี้เป็นรองหัวหน้านิติจิตวิทยาแล้วเหรอ? ว้าว งั้นการศึกษาคงสูงสินะคะ?”
“ก็ระดับนึงครับ…” เลี่ยวฟู่กุ้ยพอเจอผู้หญิงก็ตื่นเต้น อีกทั้งอีกฝ่ายยังสวยด้วย ขาก็ยาว…
“เขาจบดอกเตอร์นิติจิตวิทยา”
“ว้าว เป็นดอกเตอร์ที่หล่อมาก เก่งด้วย! ฉันล่ะอิจฉาคนอย่างพวกพี่จังเลยที่เรียนเก่ง ไม่เหมือนฉัน กว่าจะจบมหาลัยไม่ใช่เรื่องง่าย”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ เอ่อ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า คนที่การศึกษาไม่สูงยิ่งมีความสามารถมาก ล้วนมาจากคนหนุ่มสาว คุณก็เป็นได้ครับ!” เลี่ยวฟู่กุ้ยไม่กล้ามองขายาวๆ เขาพูดให้กำลังใจแต่มองไปทางอื่น
เสี่ยวเชี่ยนมองบน นิสัยเอะอะก็ชอบพูดคำสอนของผู้นำนี่ต้องแก้นะ แต่ก็คงแก้ไม่ได้แล้วมั้ง
“คำพูดสมกับเป็นคนมีการศึกษา เก่งกว่าแฟนฉันเยอะเลย”
เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หลิวเหมยด้วยความตกใจ “เธอมีแฟนตั้งแต่เมื่อไร?”
“ปีสองได้มั้ง? ลืมแล้วอะ มันตั้งหลายปีมาแล้ว”
“ไม่เคยเห็นเธอพูดถึงเลย…” เธอคิดมาตลอดว่าอวี๋หลิวเหมยเป็นโสด! ประเด็นคือ อาศัยอยู่กับเสี่ยวเชี่ยนมาตั้งนานทำไมไม่เคยเห็นหลิวเหมยเขียนจดหมายถึงแฟนลึกลับคนนี้หรือไม่ก็โทรศัพท์หาเลย?
“บางครั้งฉันก็ลืมไปว่ามีแฟน เขาเป็นทหารอยู่ที่ชายแดน พวกเราคบกันมาสองปีกว่า โทรคุยกันไม่ถึงสิบครั้งด้วยซ้ำ เดตกันสองครั้ง เขียนจดหมายหาสามฉบับได้มั้ง?” อวี๋หลิวเหมยนึกไม่ออกแล้ว ก็คงประมาณนี้แหละ
“…เธอแน่ใจนะว่ากำลังคบกับเขาอยู่?” เสี่ยวเชี่ยนอึ้งกับตัวเลขพวกนี้
คบกันสองปี โทรหากันไม่ถึงสิบครั้ง นี่มันจะสุดยอดเกินไปละ
“แน่ใจสิ พวกเราตัดสินใจแต่งงานกันช่วงฤดูหนาวปีนี้แล้วนะ” อวี๋หลิวเหมยไม่เข้าใจสีหน้าตกใจของเสี่ยวเชี่ยนกับเลี่ยวฟู่กุ้ย เธอพูดอะไรแปลกไปหรือไง?
เสี่ยวเชี่ยนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “เธอ…จะแต่งงานเหรอ?”
“แต่งแหละ ถึงวัยที่ต้องแต่งก็แต่ง ถึงตอนนั้นเขาอยู่ที่นั่นไม่กลับมาฉันอยู่ทางนี้ก็ไม่เป็นไร นี่ พวกพี่ไม่เป็นไรนะ?” อวี๋หลิวเหมยยื่นมือไปโบกไปมาหน้าเสี่ยวเชี่ยน สีหน้าพี่สะใภ้ตลกจัง ยังกับถูกคนจี้จุดไว้
“เธอไม่คิดว่า สองปีโทรหากันสิบครั้ง เดตกันสองครั้ง มันน้อยไปเหรอ?” เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดอ้อมๆ คนซื่อทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว
“ก็โออยู่นะ ทหารงานยุ่งไม่ใช่เหรอ?” อวี๋หลิวเหมยไม่ได้รู้สึกอะไร ตอนเรียนมหาลัยเธอเห็นทุกคนมีแฟนเธอก็เลยหาบ้าง ตอนนั้นครูฝึกทหารที่มาเข้าระเบียบถามเธอว่าคบกันไหม เธอเห็นเขาหล่อดีก็เลยตกลง ปรากฏว่าพอแน่ใจในความสัมพันธ์เขาก็ถูกย้ายไปแล้ว
“ต่อให้งานยุ่งกว่านี้ก็คงไม่ถึงกับสองปีโทรมาแค่สิบครั้งหรอกมั้ง? เขาเป็นทหารสัญญาบัตรหรือทหารชั้นประทวน?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“ทหารสัญญาบัตรมั้ง ก็เห็นมีประดับยศ”
“ทหารสัญญาบัตรไม่น่าจะสองปีโทรมาแค่สิบครั้งไหม? ต่อให้งานยุ่งก็คงไม่ยุ่งไปกว่าทหารหน่วยรบพิเศษหรือเปล่า?” เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ทันจะพูดจบโทรศัพท์เธอก็ดังขึ้น
อวี๋หมิงหลางโทรมา เสี่ยวเชี่ยนเหล่มองอวี๋หลิวเหมย คล้ายกับจะบอกว่า เห็นไหมพูดถึงก็โทรมาเลย!
อวี๋เสี่ยวเฉียงงานยุ่งมาก แต่ถ้ามีเวลาเขาจะต้องโทรหาเสี่ยวเชี่ยน ต่อให้งานยุ่งเป็นพิเศษหรือมีภารกิจพิเศษโทรหาไม่ได้ เขาก็จะหาเวลาว่างเขียนจดหมาย รวมกันหลายๆฉบับแล้วส่งให้เธอ สองปีโทรมาสิบครั้งมันดูเว่อร์ไปหรือเปล่า
ที่เว่อร์กว่าก็คือ หลิวเหมยคิดจะแต่งงานกับคนแบบนี้ด้วยเหรอ?
เสี่ยวเชี่ยนไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียง ทิ้งให้เลี่ยวฟู่กุ้ยอยู่กับอวี๋หลิวเหมยในห้องรับแขก ชายหญิงอยู่กันตามลำพังก็แอบเขินเล็กน้อย
เดิมอวี๋หลิวเหมยอยากชวนเลี่ยวฟู่กุ้ยคุย แต่พอเห็นเขานั่งตัวตรงสีหน้าเหมือนครุ่นคิดเธอก็ไม่รู้จะคุยอะไรดี
จะว่าไปนักนิติจิตวิทยาคนนี้ดูเย็นชาจัง—อวี๋หลิวเหมยเข้าใจผิดแล้ว นั่นไม่ใช่เย็นชา เขาไม่รู้จะมองไปทางไหนต่างหาก หลิวเหมยอยู่บ้านนุ่งกางเกงขาสั้นสวมเสื้อยืด ผิวสีน้ำผึ้งของเธอให้ความรู้สึกเซ็กซี่ เลี่ยวฟู่กุ้ยสงสัยว่าความยาวของขาเธอน่าจะเกือบหนึ่งเมตรได้ ยาวเหลือเกิน…
“เพิ่งกินข้าวเสร็จ ฟู่กุ้ยมาที่บ้าน อืม ฉันสบายดี…”
เสียงคุยโทรศัพท์ของเสี่ยวเชี่ยนดังลอยมาเรื่อยๆ ดูท่าทางคงคุย10-20นาที อวี๋หลิวเหมยกลัวบรรยากาศจะกระอักกระอ่วนเกินไป จึงแกล้งถามขึ้น
“กระบะทรายของพวกพี่รักษาได้หมดเลยเหรอคะ?”
“เฉพาะคนที่มีอาการทางประสาทกับคนที่ป่วยโรคจิตเวชบางประเภทน่ะ กระบะทรายเป็นเหมือนภาชนะบรรจุจิตใจ ในทฤษฎีการรักษาด้วยกระบะทรายพวกเราคิดว่าทุกคนต่างมีความสามารถในการเยียวยาจิตใจตัวเอง เกมกระบะทรายเหมือนเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกภายในออกมาให้เห็นด้วยสายตา” เลี่ยวฟู่กุ้ยพอได้ยินเธอถามก็รีบนั่งยืดตัว
ไม่รู้ทำไมพอเห็นผู้หญิงคนนี้ก็รู้สึกเกร็ง
“งั้นพี่ดูให้ฉันบ้างได้ไหมคะ?”
“ได้สิ เธอลองใช้ของที่มีอยู่นี้สร้างเป็นรูปตามใจชอบหรือเป็นฉากอะไรก็ได้ แล้วแต่เลย”