บทที่ 198 น้ำตาปริศนา[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 198 น้ำตาปริศนา[รีไรท์]

ภูเขาคุนหลุน ถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกแรกในเมืองจีน

มีตำนานและเรื่องราวลี้ลับมากมายเกี่ยวกับภูเขาชคุนหลุน แต่ไม่มีเรื่องราวใดได้รับการศึกษาอย่างจริงจัง

ในภูเขาคุนหลุนมีสถานที่ซึ่งอันตรายแห่งหนึ่งมีชื่อว่ายอดเขาหยก สถานที่แห่งนี้จะปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี ไอน้ำจากบนภูเขาจะลอยขึ้นไปบนก้อนเมฆ ดูสวยงามและลึกลับในเวลาเดียวกัน

ยอดเขาหยกมีพลังที่ยิ่งใหญ่และมีความแตกต่างไม่เหมือนใคร บนส่วนของที่ราบใกล้กับยอดเขา มีลานขนาดเล็กตั้งอยู่แห่งหนึ่ง มีการกั้นรั้วเป็นอาณาเขตอย่างสวยงาม

ในขณะนั้นเอง เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในลานแห่งนี้ เจ้าของร่างเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม แต่ดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง

ผิวพรรณของเธอขาวผ่อง ดวงตาเย็นเยียบเหมือนกับแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ ใบหน้าของเธอปราศจากอารมณ์ความรู้สึก เส้นผมบนศีรษะเป็นสีขาวแวววาว หญิงสาวผู้นี้สวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวแบบโบราณ สีของกระโปรงดูโดดเด่นสะดุดตาราวกับเรืองแสงได้ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ดวงตาที่เย็นชาของเธอจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มีหยดน้ำตาที่ใสวาววับราวกับแก้วคริสตัลกำลังลอยเกลื่อนอยู่ทั่วท้องฟ้า หยดน้ำตาเหล่านั้นลอยลงมาหยุดวนเวียนอยู่เบื้องหน้าเธอ ส่องแสงเป็นประกายสว่างไสว หญิงผมขาวผู้นี้เลิกคิ้วขึ้น แววตาที่เหมือนสายน้ำนิ่งปรากฎความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

เคล้ง!

หยดน้ำตาสั่นไหวกระทบกันส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง เกิดเป็นเสียงเหมือนแผ่นหยกกระทบกันกลางอากาศ

หลังจากนั้น หยดน้ำตาทุกหยดก็รวมตัวกันและกลายเป็นม่านน้ำตกสายหนึ่ง หญิงสาวยื่นมือเข้าไปในม่านน้ำตกนั้นก็พบว่าม่านน้ำตกแหวกออกเปิดเผยให้เห็นภาพที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

หญิงสาวมองนิ้วมือของตัวเองด้วยความประหลาดใจ เหมือนกับไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องให้ความสนใจม่านน้ำตกเบื้องหน้านี้ด้วย แต่แล้วในไม่ช้า สายตาของเธอก็ถูกดึงดูดด้วยภาพที่ปรากฏขึ้นหลังม่านน้ำตก

มันเป็นภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูง บรรยากาศสวยงามเหมือนกับอยู่ในสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่รูปลักษณ์ของเธอถูกปิดบังเอาไว้ จึงมองไม่เห็นว่าหญิงสาวมีหน้าตาสวยงามขนาดไหน แต่เพียงแค่ดูรูปร่างก็รับรู้ได้แล้วว่า เธอต้องเป็นหญิงงามคนนึงแน่นอน

“ฉู่ชวิ๋น ข้าขอถาม เจ้าจะมากับข้าไหม ถ้าเจ้ามากับข้า เราก็จะแต่งงานกัน เราจะจัดพิธีเคารพฟ้าดินด้วยกัน แต่ถ้าเจ้าไม่อยากมา ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน แล้วเราค่อยเข้าพิธีแต่งงานด้วยกันทีหลังก็ยังไม่สาย” เสียงของหญิงสาวดังก้องกังวานไปทั่วพื้นพิภพ ตอนนี้นั้นภาพก็ปรากฏชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านเหมือนกับรูปปั้นหิน ร่างกายสูงใหญ่ของเขายืนอยู่ด้วยความมั่นคง ดวงตาของเขาเป็นประกายอ่อนโยนตอนที่ตอบว่า “ข้าจะแต่งงานกับเจ้า”

ฉากหลังเปลี่ยนแปลงไป หญิงสาวและชายหนุ่มคู่นี้ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่สวยงามเหมือนดินแดนในเทพนิยายอีกแห่งหนึ่ง ไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะเห็นนกกระเรียนบินบนท้องฟ้า สมุนไพรวิญญาณขึ้นอยู่บนพื้นดิน ดอกไม้สีชมพูจำนวนนับไม่ถ้วนเต้นระบำอยู่กลางอากาศ บนพื้นดินปูด้วยพรมแดงขนาดใหญ่ที่ปลายสุดของพรมแดง มีโต๊ะหินหยกตัวหนึ่งตั้งเอาไว้ บนโต๊ะมีจอกน้ำชาสองจอก นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว

ชายหนุ่มและหญิงสาวผูกด้ายแดง มีดอกไม้สีแดงร้อยพันอยู่ตรงกลาง แล้วชายหนุ่มก็ส่งเสียงออกมาว่า “คำนับฟ้าดิน”

“คำนับบรรพบุรุษ”

“สามีภรรยาคำนับกันและกัน” ที่แห่งนั้นมีคนอยู่แค่เพียงสองคนเท่านั้น พวกเขาสวมใส่ชุดสีแดง หญิงสาวผู้รับชมเหตุการณ์ผ่านม่านน้ำตกรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่นี้ดูเหมือนเพิ่งจะเป็นเพียงวัยรุ่นเท่านั้นเอง

สีหน้าที่เย็นชาของหญิงสาวผมขาวบนยอดเขาหยกเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ถ้านั่นเป็นดินแดนในเทพนิยายแล้วทำไมพิธีแต่งงานถึงได้ดูพิลึกพิลั่นขนาดนั้น? ทำไมต้องมีผ้าปิดบังใบหน้าเจ้าสาวด้วย?

ภาพเหตุการณ์ที่อยู่หลังม่านน้ำตกเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง คราวนี้ คู่หนุ่มสาวได้ผ่านการคำนับฟ้าดินไปแล้ว พวกเขาได้พบเจอคนจำนวนมาก เปลวไฟแห่งสงครามปะทุขึ้นมา ลำแสงจากพลังลมปราณสาดกระจาย ภาพเหตุการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้ง ชายหนุ่มยืนอยู่บนยอดเขาสูง เขาเปลี่ยนไปกลายเป็นคนที่มีทรงพลังอำนาจมากกว่าเดิมหลายเท่า เพียงแค่ชายหนุ่มสะบัดมือก็สามารถสะเทือนแผ่นฟ้า สะท้านแผ่นดินได้แล้ว เมื่อเขากระแทกฝ่ามือออกโลกทั้งใบก็สั่นสะเทือน

“จิงหง ข้าขอมีชีวิตที่มีความสุขเรียบง่ายดีกว่าเป็นคนที่เก่งที่สุดในดินแดนเซียน อีกอย่างข้ามีเรื่องที่ต้องทำจริง ๆ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะ!”

“ฉู่ชวิ๋น ชีวิตที่นี่ดีกว่าบนโลกมนุษย์ตั้งหลายเท่านัก ทำไมเจ้ายังไม่ยอมตัดใจเสียที!” แล้วภาพเหตุการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอีก วัยรุ่นหนุ่มแหวกม่านอากาศและพุ่งเข้าไปสู่ความปั่นป่วนของมิติเวลาและอวกาศและหลังจากนั้น เขาก็ไม่ปรากฏตัวกลับออกมาอีกเลย

หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รอคอยให้ฝ่ายชายปรากฏตัวกลับมาอีกครั้ง แต่ดวงอาทิตย์ตกและพระจันทร์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แม่น้ำและภูเขารอบตัวเปลี่ยนแปลงสภาพไป กาลเวลาผ่านไปนานนับพันปีนับหมื่นปี

“ถ้าเจ้าหาทางกลับมาไม่ได้ ข้าก็จะไปตามหาเจ้าเอง ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟไปที่ไหน ข้าก็จะขอตามเจ้าไปที่นั่นด้วย”

หญิงสาวแหวกม่านอากาศและหายตัวไป ม่านน้ำตกกระจายตัวออกและเปลี่ยนสภาพกลายเป็นหยดน้ำตาจำนวนนับไม่ถ้วนอีกครั้ง

หญิงสาวผมขาวแห่งยอดเขาหยกยืนนิ่งอยู่ในความเงียบงัน หลังจากนั้นอีกครึ่งค่อนวัน เธอถึงได้สติยกมือลูบแก้มของตัวเอง หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองร้องไห้ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าของเธอดูจะประหลาดใจไม่น้อย กล่าวได้ว่าเธอสัมผัสได้ถึงความรักตราบจนวันตายระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้ แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์เหล่านั้นจังเลยนะ? แต่หลังจากที่รวบรวมความคิดอยู่สักครู่ใหญ่ หญิงสาวผมขาวก็ทอดสายตามองไปยังหยดน้ำตาด้วยความอ่อนโยน เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชวนฟังว่า

“นี่คงเป็นน้ำตาแห่งความเศร้าสินะ พวกเจ้าเป็นน้ำตาของใครกัน? ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่? แต่ไม่สำคัญหรอก ข้าจะช่วยเก็บรักษาพวกเจ้าเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจะแตกสลายไปจากโลกนี้ในเวลาไม่นาน ความทรงจำที่ล้ำค่าเช่นนี้ น่าจะมีความสำคัญต่อใครสักคนอยู่บ้าง!” หญิงสาวหมุนมือเป็นวงกลม เกิดเป็นม่านพลังห่อหุ้มหยดน้ำตาแห่งความเศร้าเอาไว้ หลังจากนั้น หยดน้ำตาเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาที่ฝ่ามือของเธอและหายวับไปในที่สุด เช่นเดียวกับร่างของหญิงสาวผมขาว ที่หายวับไปกลางอากาศ

เหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างฉู่ชวิ๋นและสำนักสวรรค์ฟ้าผ่านมาได้หลายวันแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาจอมยุทธ์ในโลกยุทธภพก็ยังถกเถียงถึงเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉู่ชวิ๋นฆ่าพวกของเฉินหวูฮุยเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ในวันนั้นก็คือ หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นสังหารเฉินหวูฮุยและบริวาร เขาก็ล้มลง โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มอยู่ในสภาพเป็นหรือตาย หลงอ๋าวกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่ในวินาทีนั้นเอง ท้องฟ้าและผืนดินพลันมืดมิด ทุกคนตกอยู่ภายใต้ความมืด มันมืดมิดเสียจนมองไม่เห็นนิ้วมือของตัวเอง

ความมืดมิดดำรงอยู่ไม่ถึง 10 วินาที หลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับมาสว่างไสวเหมือนเดิม ราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เป็นแค่เพียงภาพลวงตาเท่านั้น แต่เมื่อทุกคนได้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องตกตะลึงไปแล้ว หนังหัวของพวกเขาชายิบ ลำคอแห้งผาก

ภูเขาเซวียนฉีหายไปทั้งลูก หลงเหลือแค่เพียงก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง

ทุกคนเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ บัดนี้ ภูเขาเซวียนฉีกลายเป็นเพียงหินใหญ่ก้อนหนึ่ง มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว อีกอย่าง ร่างของฉู่ชวิ๋นกับฮัวชิงหวู่ก็หายไปด้วยเช่นกัน

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา วงการยุทธภพถกเถียงประเด็นนี้กันอย่างเผ็ดร้อน ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนที่ทันสมัยหน่อย ก็ก่อตั้งเว็บบอร์ดที่ชื่อว่าสมาคมจอมยุทธ์ในอินเทอร์เน็ต เพื่อดึงดูดให้ชาวยุทธ์เข้ามาพูดคุยกันได้อย่างสะดวกมากขึ้น

“เอาตามที่ฉันเห็นกับตานะ การต่อสู้ระหว่างฉู่ชวิ๋นกับเฉินหวูฮุยน่ะดุเดือดและรุนแรงมาก จนภูเขาเซวียนฉีถล่มลงไปเลยไงล่ะ” ใครคนหนึ่งโพสต์ข้อความทิ้งไว้

“เหลวไหล พลังของมนุษย์ยังไงก็มีขีดจำกัด ต่อให้มีพลังขั้นจักรพรรดิ ก็คงทำไม่ได้ ภูเขาเซวียนฉีตั้งอยู่มาหลายร้อยปี จะถล่มลงมาเพราะฝีมือมนุษย์ได้ยังไง” ใครอีกคนหนึ่งโพสต์ตอบ

“น้องชายทั้งหลาย พวกคุณชักจะดูถูกพลังขั้นจักรพรรดิเกินไปแล้วนะ ไม่กลัวคนพลังระดับนี้ตามไปสั่งสอนถึงบ้านหรือไง?” ใครบางคนโพสต์ติดตลก

“ฉันไม่กลัวหรอก ฉันไม่เคยเห็นใครมีพลังขั้นจักรพรรดิมานานแล้วว่าแต่มันมีคนที่มีพลังระดับนั้นอยู่จริง ๆ ในโลกนี้ด้วยหรือ? ถึงอย่างนั้น ขั้นจักรพรรดิยังไงก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทพเจ้า สิ่งที่ฉันโพสต์ไปเป็นความจริงทุกอย่าง อีกอย่างนี่เป็นการโพสต์ข้อความแบบนิรนาม ต่อให้เป็นขั้นจักรพรรดิ ก็ตามหาตัวฉันไม่เจอหรอก” ผู้โพสต์ข้อความคนแรกตอบกลับ

“อย่าเขียนอะไรไร้สาระ ตอนนั้นฉันอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย นายรู้หรือเปล่าล่ะว่านายท่านฉู่ชวิ๋นหายตัวไปไหนหลังจากนั้น?” ใครคนหนึ่งเขียนข้อความถามเอาไว้

“ฉันก็ไม่รู้ ตอนนั้นมันมืดไปหมด พอกลับมาสว่างอีกที ภูเขาเซวียนฉีก็ถล่มลงไปแล้ว ฉู่ชวิ๋นหายตัวไปไม่แน่เขาอาจถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาเซวียนฉีก็ได้”

“บ้าน่า นายนี่มันไม่รู้อะไรเลย แล้วยังจะพูดมากอีก ฉู่ชวิ๋นถูกเรียกขานว่าเป็นจอมมารบ้าง เป็นเทพเจ้าบ้าง สรุปคือเขาไม่ใช่คนธรรมดาสักหน่อย วิชาตัวเบาที่เขามี เคลื่อนที่ไวยิ่งกว่าสายฟ้าเสียอีก แล้วอีกอย่างนะ ทำไมอยู่ดี ๆ ทุกอย่างมันถึงมืดไปได้แบบนั้นล่ะ ฉันว่ามันต้องเป็นเพราะนายท่านฉู่ชวิ๋นสร้างม่านพลังขึ้นมาแน่ ๆ”

“เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ฉู่ชวิ๋นฆ่าเฉินหวูฮุย แค่ยืนเขาก็ยังยืนแทบไม่อยู่ด้วยซ้ำ จะเอาลมปราณที่ไหนไปสร้างม่านพลังได้อีก?”

“นายนี่ไม่รู้จริงนี่หว่า นายท่านฉู่ชวิ๋นคือเทพเจ้า ต่อให้อ่อนล้าอ่อนแรงแค่ไหน เขาก็กำจัดศัตรูได้อยู่ดี เข้าใจไหม?”

“สิ่งที่น้องชายคนนี้พูดมาก็มีเหตุผล อย่าลืมสิว่าก่อนหน้านี้นายท่านฉู่ชวิ๋นเคยแกล้งตาย เพื่อล่อให้สำนักกระบี่ทองคำไปปิดล้อมภูเขาเฉียนหลง สุดท้ายเขาก็ปรากฏตัวออกมาและฆ่าล้างแค้นทุกคนจนหมดสิ้น ฉันว่าคราวนี้ก็น่าจะเหมือนกันนั่นแหละ ฉันพนันว่าเขาไม่ได้ตาย แต่นี่เป็นแผนการของเขามากกว่า”

“ฉันว่าตอนนั้นเขาน่าจะเศร้าน่าดูเลยนะ คนรักของเขาเสียชีวิตไปแบบนั้น จิตใจของเขาต้องโศกเศร้าไม่น้อย ฉันหวังว่าเขาคงไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายก็แล้วกัน” หลังจากที่ประโยคนี้ถูกโพสต์ลงไป สีหน้าของใครหลายคนที่นั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

หัวข้อนี้ได้รับการพูดถึงในอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ทุกคนต่างก็คาดเดาไปต่าง ๆ นานา แต่ว่าฉู่ชวิ๋นอยู่ที่ไหนกันแน่นะ?