ตอนที่ 198 เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ผู้จัดการไม่ได้สั่งอะไรมาเยอะแยะ

 

 

แล้วใครเป็นคนเคาะ?

 

 

ผู้จัดการผงะพลางหันไปมองฉินหร่านกับเหยียนซี “ท่านเทพ เดี๋ยวผมจะไปดูข้างนอกหน่อยว่าเป็นใคร”

 

 

เขาเดินไปทางประตู จากนั้นก็ยื่นมือมาเปิดประตู

 

 

“ไม่ทราบว่า…” ผู้จัดการเปิดประตูด้วยรอยยิ้มดังเช่นเคย

 

 

พอเงยหน้าขึ้นก็พบดวงตาสีพีชเข้มคู่หนึ่ง

 

 

หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับอสูรแห่งความเยือกเย็น

 

 

ผู้จัดการถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของอีกฝ่ายทั้งมืดทั้งล้ำลึก สวมเสื้อกันลมสีเบจซึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าเนือยๆ ที่แผ่กระจายออกมา

 

 

หว่างคิ้วที่บางเบาดูโดดเด่นกลับเต็มไปความน่าเกรงขาม

 

 

ทางเดินด้านนอกยังสามารถรองรับคนได้สามถึงสี่คนในเวลาเดียวกัน แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกคับแคบ

 

 

“อยู่ข้างในกันสองคน?” เฉิงเจวี้ยนมองเขาและพูดเรียบๆ มือที่เห็นข้อต่อชัดเจนรวบเสื้อกันลมอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ผู้จัดการรับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก เขารู้สึกราวกับหายใจติดขัด “ครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”

 

 

เขาอยากถามว่าคุณผู้ชายท่านนี้เป็นใครกันแน่

 

 

เขาเป็นผู้จัดการเหยียนซีมานานหลายปี คนที่น่าเกรงขามที่สุดที่ผู้จัดการเคยเห็นมาก็คือลูกเถ้าแก่ตระกูลเจียงหรือคุณชายแห่งตระกูลเจียงนั่นเอง บรรดาบริษัทและคนในเมืองหลวงต่างเชิดชูเขา

 

 

แต่ถึงกระนั้นผู้จัดการก็ยังรู้สึกว่าคุณชายตระกูลเจียงยังดูน่าเกรงขามไม่เท่าคนที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาที่แฝงไปด้วยรังสีอันตรายเล็กน้อย เขาไม่ได้รีบร้อนตอบผู้จัดการ เพียงมองไปทางด้านหลังเขา

 

 

หลังจากส่งสายตามองไป ประตูที่อยู่ด้านหลังผู้จัดการก็ถูกเปิดจากด้านใน

 

 

ฉินหร่านถือเสื้อโค้ตสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งกำลังถือรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นที่ผู้จัดการให้มา สอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อส่งๆ

 

 

โดยมีเหยียนซีตามหลังมาติดๆ

 

 

พอเก็บรูปไว้ดีแล้วก็เห็นเฉิงเจวี้ยนกำลังหรี่ตามองมาที่เธอ เธอเลิกคิ้วถาม “มาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนตอบส่งๆ “อืม” สายตาพลันมองไปทางเหยียนซีที่อยู่ข้างหลังเธออย่างรวดเร็ว

 

 

ตอนนี้เหยียนซีเป็นคนมีชื่อเสียง เวลาออกมาข้างนอกจึงต้องสวมผ้าปิดจมูก หมวกแก๊ป และผ้าพันคอผืนใหญ่

 

 

ขณะที่เขากำลังสวมผ้าปิดจมูกให้ตัวเองก็รับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

มือที่ดึงผ้าปิดจมูกชะงัก พอเหยียนซีเงยหน้าขึ้นก็พบใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้าน อีกฝ่ายเบี่ยงสายตาและก้มลงมองคนตรงหน้า

 

 

“ยังมีธุระอะไรอีกไหม?” เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่านและถามอย่างอดกลั้น

 

 

“ไม่มีแล้ว” ฉินหร่านค่อยๆ สวมเสื้อโค้ตขณะที่เดินไปหาเขา “เรากลับกันเถอะ”

 

 

เมื่อได้ยินที่ฉินหร่านพูด เฉิงเจวี้ยนก็พยักหน้าและมองไปทางพวกผู้จัดการเหมือนกำลังคิดอะไร “ไม่ชวนเพื่อนทานข้าวหน่อยเหรอ?”

 

 

เหยียนซีอาจจะฟังไม่ออก แต่ผู้จัดการของเขากลับฟังออกว่าเป็นการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างหนึ่ง

 

 

ผู้จัดการถอดสีหน้าพลางคิดว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองฟังผิดไปใช่หรือไม่?

 

 

บ้าชิบ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เพราะความรักจริงๆ ก็ได้?

 

 

“ไม่ต้อง” ฉินหร่านติดกระดุมหมวกเสื้อสเวตเตอร์แล้วมองมาทางเหยียนซี “คุณยังต้องถ่ายทำเพิ่มไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ”

 

 

หลังจากพูดเสร็จเธอก็เดินตามเฉิงเจวี้ยนลงไปข้างล่าง

 

 

เหยียนซียังโอเค ในหัวของเขานอกจากดนตรีแล้วก็คิดเรื่องอื่นน้อยมาก เขาแค่มองไปยังแผ่นหลังของฉินหร่านพลางครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินตามฉินหร่านไปพร้อมกับผู้จัดการ

 

 

ผู้จัดมองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าราวกับมีอะไรระเบิดอยู่ในหัว ตะลึงงันเป็นไก่ตาแตก ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเขาคิดไปเอง?

 

 

ท่านเทพเจียงซานไม่ได้หมายความอย่างที่เขาคิดเลยเหรอ? แล้วทำไมอดีตที่ผ่านมาเธอถึงให้ความสนใจเหยียนซีขนาดนี้?!

 

 

ผู้จัดการคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาไม่ใช่คนอ่อนหัดเหมือนเหยียนซี แน่นอนว่าต้องคิดมาก การที่เหยียนซีเดินมาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับคนคนนั้นที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเขามาตลอด?

 

 

จะมีใครที่ไหนมอบความห่วงใยโดยไร้ซึ่งเหตุและผล?

 

 

ผู้จัดการเอาแต่จ้องแผ่นหลังฉินหร่าน หรือว่า…ยังมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังฉินหร่านอีกอย่างงั้นหรือ?!

 

 

ผู้จัดการรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

 

 

“เหยียนซี นายไม่สงสัยบ้างเลยเหรอว่าผู้ชายคนเมื่อกี้กับท่านเทพมีความสัมพันธ์อะไรกัน?” ผู้จัดการเอียงตัวไปกระซิบถามเหยียนซี

 

 

เหยียนซีเหลือบมองทั้งสองคน ดวงตาคู่นั้นที่อยู่หลังแว่นกันแดดไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด “ความสัมพันธ์อะไร?”

 

 

“ก็…เอ่อ ท่านเทพช่วยเหลือนายมาตั้งนานโดยไม่มีที่มาที่ไป นายไม่แปลกใจเหรอว่าเธอช่วยนายทำไม?” ผู้จัดการถามอีกคำถาม

 

 

“ไม่มีที่มาที่ไปยังไง ผมก็ให้เงินเธอไปแล้ว…” เหยียนซีตอบ

 

 

เป็นครั้งแรกที่ผู้จัดการมองเหยียนซีราวกับยากที่จะอธิบาย “นายก็ดูสิ เสื้อผ้าของท่านเทพล้วนเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ไม่ได้มีขายตามท้องตลาด ทำไมนายถึงคิดว่าเธออยากได้เงินนายแค่ไม่กี่แสนหยวน?”

 

 

เมื่อก่อนผู้จัดการยังคิดว่าเจียงซานอี้เล็งเห็นในรูปร่างหน้าตาและความสามารถของเหยียนซี

 

 

ทว่าตอนนี้…

 

 

แม้เหยียนซีจะกลายเป็นเพชรเม็ดงามแห่งวงการบันเทิง แต่ก็เทียบไม่ได้กับสองคนนั้น…

 

 

ที่ฉลาดปราดเปรื่อง…

 

 

เจียงซานอี้นักเรียบเรียงเพลงมือฉมังเป็นสมญานามที่ชาวเน็ตตั้งให้อย่างงั้นหรือ ? !

 

 

**

 

 

ด้านนอก เฉิงมู่ยังอยู่ในรถ

 

 

เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนเดินลงมากับฉินหร่าน เขาก็รีบวางโทรศัพท์และลงจากรถ

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร ฉินหร่านก็พูดแค่“อืม” เพียงคำเดียว

 

 

จากนั้นเธอก็หันไปด้านข้างแล้วโบกมือไปทางเหยียนซีและผู้จัดการ

 

 

“คุณชาย คุณฉิน” เฉิงมู่เรียกทั้งสอง จากนั้นก็มองไปทางด้านหลังฉินหร่านและเห็นเหยียนซีที่พันตัวแทบจะเป็นมัมมี่กำลังยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาทั้งสองคนพอดี

 

 

นั่นคือเพื่อนคุณฉิน?

 

 

ทำไมแต่งตัวประหลาดๆ?

 

 

เฉิงมู่เหลือบดูสักพักก็รู้สึกว่าสองคนนี้ดูดีกว่าหยางเฟยและกู้ซีฉือมาก จากนั้นก็ชักสายตากลับ

 

 

เฉิงเจวี้ยนขับรถอีกคัน

 

 

เฉิงมู่จึงขับรถกลับไปคนเดียว ตอนที่กลับมาถึงที่นั่งคนขับ เขาหยิบโทรศัพท์ที่เขาวางไว้ที่เบาะข้างๆ ขึ้นมาดู

 

 

เมื่อกี้เขาเพิ่งส่งข้อความให้โอวหยางเวย แต่โอวหยางเวยยังไม่ตอบ

 

 

เขาจึงวางโทรศัพท์ลง

 

 

บนรถอีกคัน

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ เฉิงเจวี้ยนขับรถเข้าสู่เส้นทางจราจร

 

 

เนื่องจากไม่ใช่เทศกาลวันหยุดอะไร จึงไม่มีสิ่งกีดขวางนอกจากสองไฟแดงแรกหรือทางยกระดับอื่นๆ

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถสองคันก็ขับตามกันมาจนถึงโรงจอดรถที่บ้านกู้ซีฉือ

 

 

เฉิงมู่มาช้ากว่าเฉิงเจวี้ยนไปหน่อยเดียว

 

 

เพราะขับมาได้ครึ่งทาง เขาก็ต้องไปรับข้าวกลับมาด้วย

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว คนในคฤหาสน์ของกู้ซีฉือยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันกันเลย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาจัดถ้วยพร้อมตะเกียบไว้อย่างดี

 

 

ตอนที่ฉินหร่านเข้ามาถอดเสื้อโค้ตในบ้าน เขาก็กำลังคุยกับเสี่ยวเอ้อร์ แต่ส่วนใหญ่เสี่ยวเอ้อร์ไม่ค่อยสนใจเขา

 

 

“กลับมาแล้วเหรอ?” ลู่จ้าวอิ่งหิวจะแย่อยู่แล้ว เขาคิดจะสั่งข้าวแต่คนทั่วไปเข้ามาที่นี่ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่รู้จะเปิดประตูบ้านกู้ซีฉือได้อย่างไร

 

 

เขากลัวว่าพอออกไปแล้วจะกลับเข้ามาไม่ได้

 

 

พอเห็นฉินหร่านกลับมาแล้วก็มองตาเขียว

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนกำลังจอดรถไว้ด้านหลัง ฉินหร่านโยนเสื้อโค้ตไว้บนโซฟาส่งๆ “ฉันจะขึ้นไปเรียกสองคนนั้นลงมา”

 

 

ตอนที่ฉินหร่านขึ้นไปชั้นสาม

 

 

กู้ซีฉือก็ยังยืนอยู่ข้างๆ กองเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างๆ ดังขึ้น แต่เขาก็ไม่สนใจ

 

 

“พี่กู้” เจียงตงเย่หยิบโทรศัพท์เขาขึ้นมาดู “ดูเหมือนจะโทรมาจากต่างแดน”

 

 

กู้ซีฉือไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ตัดสายซะ”

 

 

สายพวกนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสแห่งวงการแพทย์ เนื่องจากองค์กรการแพทย์แถลงการณ์ออกไปในช่วงเช้า จึงทำให้วงการแพทย์เดือดดาล

 

 

“ครับ” เจียงตงเย่วางสายทันที

 

 

ฉินหร่านพิงประตูดูทั้งสองคนได้สักพักพลางเอามือแตะคาง

 

 

จนกระทั่งเจียงตงเย่หันมาเจอเธอเข้า เธอถึงจะเอ่ยถาม “ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่?” 

 

 

“ยี่สิบหก” เจียงตงเย่ผงะไปชั่วขณะก่อนจะตอบ

 

 

“อ๋อ” ฉินหร่านพยักหน้าแล้วมองเขาอีกครั้ง “แล้วคุณรู้ไหมว่าเขาอายุเท่าไหร่?”

 

 

เธอยื่นมือชี้ไปทางกู้ซีฉือ

 

 

เจียงตงเย่หัวเราะ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขามีข้อมูลของกู้ซีฉืออยู่ในมือ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดี “ยี่สิบสี่”

 

 

ฉินหร่าน “…”

 

 

ที่แท้เขาก็รู้นี่นา?

 

 

**

 

 

ตอนที่ทั้งสามลงมาข้างล่างพร้อมกัน เฉิงเจวี้ยนกับเฉิงมู่ก็กลับมาแล้ว

 

 

ส่วนลู่จ้าวอิ่งกำลังจัดจาน

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน ฉันได้ไพ่เทพสามใบแล้วนะ” ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจหลังจากทานอาหารเสร็จ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เธอไปเอาไพ่เทพมาจากไหนตั้งเยอะแยะ?”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับไพ่เทพมากนัก

 

 

แต่ตอนที่เห็นชาวเน็ตคุยกันก็จำได้แม่นว่าถึงแม้จะอยู่ในทีมOST แต่ตราบใดที่ไม่ใช่สมาชิกตัวจริง การที่จะได้ไพ่เทพมานั้นไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ

 

 

และฉินหร่านเองก็เคยให้ไพ่เทพสามใบกับเฉิงเจวี้ยนเมื่อสามปีก่อนมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นทีมOSTยังไม่มีไพ่เทพออกมา

 

 

พอตอนเย็นเธอก็ให้ไพ่เทพสามใบกับเขาอย่างง่ายดาย

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาสองคนก็ไม่ใช่สมาชิกทีมOST

 

 

“เอามาจากคนอื่น” ฉินหร่านเพิ่งจะทานเค้กที่ร้านกาแฟไปสองชิ้น ตอนนี้เธอจึงไม่ได้หิวมาก เธอตอบลู่จ้าวอิ่งส่งๆ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามันแปลกๆ

 

 

ทว่าในหัวของเขากลับนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่ามันแปลกตรงไหน

 

 

เขาจึงลืมมันไปและนึกถึงคำถามอื่น “จริงด้วย วันนี้เธอออกไปเจอเพื่อนที่ไหนน่ะ?”

 

 

เมื่อได้ยินคำถามนี้กู้ซีฉือก็เงยหน้าพลางถามเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอยังมีเพื่อนคนอื่นในเซี่ยงไฮ้ด้วยเหรอ?”

 

 

“เปล่า” ฉินหร่านหยิบตะเกียบคีบชิ้นเนื้อ “ก็เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตทั่วไป” 

 

 

“เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต?” วันนี้เฉิงเจวี้ยนเห็นหน้าเหยียนซีไม่ค่อยชัด และแน่นอนว่าถึงเขาจะเห็นชัดก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นนักร้องที่โด่งดังมีชื่อเสียง

 

 

“อือ รู้จักกันมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยเจอกันมาก่อน” ฉินหร่านกินเนื้อแล้วค่อยกลืนลงไปก่อนจะตอบ “วันนี้เขาอยู่เซี่ยงไฮ้พอดี เราสองคนก็เลยไปเจอกันหน่อย”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอแล้วพยักหน้า

 

 

เมื่อเจียงตงเย่กับลู่จ้าวอิ่งได้ยินฉินหร่านบอกว่า “เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต” ก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

 

 

เพราะทั้งสองยังจำเฒ่าเว่ย “คนขายศิลปะ” ได้แม่น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองตรงไปที่เฉิงมู่

 

 

เฉิงมู่รับรู้ได้ถึงสายตาของทั้งสองคน เขาวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้าพลางนึกถึงคนที่เจอในวันนี้ “ดูเหมือนจะไม่เคยเจอสองคนนั้นมาก่อน”

 

 

เฉิงมู่มองไม่เห็นหน้าเหยียนซีและไม่เคยเจอผู้จัดการเหยียนซีมาก่อนจริงๆ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดฉินหร่านก็มีเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตอยู่หนึ่งคน ไม่ง่ายเลยจริงๆ

 

 

**

 

 

ห้าโมงเย็น

 

 

อวิ๋นเฉิง

 

 

วันนี้วันจันทร์ ฉินอวี่ได้เดินทางออกจากอวิ๋นเฉิงไปเมืองหลวงแล้ว ก่อนหน้านี้หนิงฉิงก็วางแผนจะไปกับเธอด้วย

 

 

แต่เนื่องจากตอนนี้หนิงเวยกำลังป่วยจึงไม่มีใครคอยดูแลเฉินซูหลาน หนิงฉิงไม่สบายใจ เธอจึงอยู่ที่อวิ๋นเฉิงต่อหลังจากไปส่งฉินอวี่

 

 

ช่วงบ่าย เธอออกจากสถานเสริมความงามกลับไปยังบ้านตระกูลหลิน

 

 

ป้าจางกุลีกุจอขึ้นมาช่วยเธอถอดเสื้อโค้ตออก ท่าทีของเธอที่ปฏิบัติต่อหนิงฉิงแทบจะไม่ต่างอะไรกับตอนที่ปฏิบัติต่อหลินหว่านเมื่อก่อน

 

 

ขณะที่ป้าจางเพิ่งแขวนเสื้อโค้ตไว้บนชั้นแขวน โทรศัพท์ในกระเป๋าหนิงฉิงก็ดังขึ้น

 

 

หนิงฉิงเดินไปที่โซฟาพลางก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋า

 

 

เมื่อพบว่าเป็นสายจากโรงพยาบาล เธอก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็กดรับสาย “คุณหมอ?”

 

 

ทางโรงพยาบาลไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกให้หนิงฉิงรีบไปโรงพยาบาล

 

 

หลินฉีเองก็เพิ่งกลับมา เมื่อเห็นหนิงฉิงตัวแข็งทื่อก็อดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะถามอย่างอ่อนโยน “มีอะไรเหรอ? เดี๋ยวเราไปทานข้าวกับพ่อผมที่นั่นกัน”

 

 

ทันใดนั้นหนิงฉิงก็กระวนกระวายใจขึ้นมา หนังตาข้างขวากระตุก เธอจับแขนหลินฉีอย่างแรง “ไป…ไปโรงพยาบาล!”

 

 

เมื่อพูดถึงโรงพยาบาล หลินฉีไม่จำเป็นต้องคิดอะไรก็รู้แล้วว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับเฉินซูหลานที่นั่น

 

 

เขาสวมเสื้อนอกที่เพิ่งถอดเมื่อกี้ใส่ใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายหานายท่านหลิน

 

 

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเลิกงาน

 

 

จราจรติดขัดอย่างหนักตลอดเส้นทาง

 

 

พวกเขาใช้เวลากว่าสี่สิบนาทีกว่าจะถึงโรงพยาบาล

 

 

เฉินซูหลานยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน

 

 

“คุณหมอคะ” หนิงฉิงไม่ได้พกกระเป๋ามาด้วย โทรศัพท์ก็ลืมไว้ที่บ้าน เธอตรงเข้าไปคว้าตัวคุณหมอเจ้าของไข้ที่เพิ่งเดินออกจากห้องฉุกเฉิน “แม่ฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”

 

 

คุณหมอเจ้าของไข้เฉินซูหลานถอนหายใจ แววตาหม่นหมองเล็กน้อย “ร่างกายของเธอมาถึงจุดสิ้นสุดการต่อสู้แล้ว สรุปก็คือ…”

 

 

“เป็นไปได้ยังไง? ไหนว่าทำcnsแล้วนี่คะ? ยาก็ไม่มีแล้วเหรอ?” ร่างหนิงฉิงสั่นเล็กน้อย

 

 

“ไม่ใช่ครับ ข่าวเช้านี้…” คุณหมอพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ผมโง่เอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น เชิญเข้าไปดูคุณเฉินก่อนเถอะครับ ตอนนี้เธอยังมีสติชัดเจน…สภาพจิตใจก็ยังดีอยู่มาก คนที่ควรแจ้งพวกคุณก็แจ้งเถอะครับ”

 

 

พอพูดเสร็จ เขาก็เดินออกไปข้างนอกและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาฉินหร่าน