อวิ๋นเจี่ยวตัวแข็งทื่อไปในทันที สมองที่หมุนเร็วในเวลาปกติกลับขาวโพลน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร ข้างหูกลับได้ยินเสียงที่ปนดีใจของอีกฝ่ายขึ้นมา
“…หวาน” ดวงตาของคนที่เฉยชาเป็นประจำนั้นกลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจ พร้อมทั้งความต้องการอยากจะทำซ้ำอีกรอบ
อวิ๋นเจี่ยวครานี้ถึงได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของนางดำทะมึนลงในทันที พยายามข่มความอยากชกหน้าใครบางคนลง ก่อนจะถามขึ้นอย่างจริงจัง “อาจารย์ปู่กำลังแต๊ะอั๋งข้าเหรอ”
“อืม?” เยี่ยยวนยังคงค้างท่าประคองหน้าของนางเอาไว้ ดวงตาเย็นชานั้นเต็มไปด้วยความเปิดเผย ไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งแต๊ะอั๋งคนอื่นไปเมื่อสักครู่ อีกทั้งยังถามขึ้นอย่างคนอยากรู้ “อะไรคือแต๊ะอั๋ง?”
แครก สีหน้าเคร่งขรึมของอวิ๋นเจี่ยวปรากฎรอยร้าวขึ้นมา ก่อนจะกัดฟันตอบกลับ “แต๊ะอั๋งก็คือการที่ท่านจูบข้าโดยไม่ขออนุญาตจากข้าก่อน!” ไม่โกรธๆ เขาคืออาจารย์ปู่ของเรา ตัดตอนไม่ได้
เยี่ยยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาฉายแววสงสัย ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “แต่ว่าเจ้าหวานมาก!” เขาเพียงแค่ทำตามใจของตัวเอง
มุมปากของนางกระตุก “แต่ก็หอมมั่วไม่ได้” หวานคืออะไรกัน
คิ้วของเยี่ยยวนขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม ราวกับไม่พอใจในคำตอบของนางอย่างมาก เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักหน่วง “เช่นนั้นก็ถือว่าแต๊ะอั๋งเถอะ!”
พูดจบ เขาก็โน้มตัวเข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม จนแทบจะกอดอวิ๋นเจี่ยวเอาไว้ทั้งตัว ริมฝีปากที่เพิ่งผละออกไปประทับลงที่เดิมอย่างแม่นยำ
ชอบ อยากชิมอีก
เห้ย!
มุมปากของอวิ๋นเจี่ยวกระตุก ครานี้นางมีการเตรียมตัว เอื้อมมือออกไปปิดหน้าของคนที่เข้าใกล้อีกครั้ง ไม่เคยเจอท่านปรมาจารย์ที่หน้าหนาขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งยังทำท่าทางเปิดเผยขนาดนี้
“ไม่ได้!”
“ทำไม” สายตาของเยี่ยยวนฉายแววฉงน คิดจะดึงมือของนางออก
“ท่านนั่งก่อน!” อวิ๋นเจี่ยวตกใจในความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย พลางคิดจะใช้มือดันหน้าอกของอีกฝ่ายให้ออกไป แต่กลับพบว่าดันไม่ออกแม้แต่น้อย “นั่งดีๆ พวกเราค่อยๆ พูด!”
เยี่ยยวนมองดูศิษย์หลานที่มีสีหน้าต่อต้าน ภายในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง พร้อมทั้งเจ็บแปลบเล็กน้อย เขาปล่อยคนตรงหน้า และนั่งกลับไปอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก สายตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ ศิษย์หลานไม่เคยปฏิเสธเขาแม้แต่ครั้งเดียว
อวิ๋นเจี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายทีเพื่อข่มเสียงกรีดร้องที่อยู่ภายในใจ นางหันไปมองคนที่ทำหน้าฉงน ไม่รู้ว่าตัวเองได้ก่อเรื่องใหญ่หลวงอะไรลง ก่อนจะพูดขึ้น “อาจารย์ปู่ ท่านรู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไร”
“จูบเจ้า” เขาตอบอย่างไม่ลังเล ภายในดวงตาไร้วี่แววของความเขินอาย อีกทั้งยังพูดเสริมขึ้น “หวานมาก!”
“…” หวานอะไรกัน! ถึงแม้จะเป็นโรคอัมพาตมาเป็นเวลานาน แต่ในเวลานี้ใบหน้าของอวิ๋นเจี่ยวก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนางเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้ว่าทำอะไรผิด นางก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนวิธีการพูดอีกแบบหนึ่ง “ใจเย็น…อาจารย์ปู่ พูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเคยมีแฟนไหม หรือมีหญิงสาวที่ชอบไหม”
สายตาของเขาฉายแววรังเกียจออกมา ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่ชอบผู้หญิง”
“…” โอเค ที่แท้ก็ยังเป็นพี่สาวน้องสาว ไม่ใช่ชายแท้
นางถอนหายใจ แต่กลับได้ยินเขาพูดขึ้นอีก
“ข้าชอบแค่เจ้า”
“…”
…
ไป๋อวี้รู้สึกว่าหลายวันมานี้บรรยากาศในอารามแปลกประหลาดไป ชีวิตในช่วงนี้ของเขาราวกับสบายขึ้นไม่น้อย ไม่เพียงแต่เจ้าหนูไม่เร่งการบ้านของตนเองแล้ว แม้แต่อาจารย์ปู่ก็ไม่ค่อยลงจากเจดีย์ด้วย แม้แต่เวลากินข้าวก็ไม่พบร่างของเขา
ตอนแรกไป๋อวี้คิดว่าอาจารย์ปู่มีเรื่องสำคัญจึงไม่ได้ลงมา ภายในใจแอบตื่นเต้นเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ได้กินมื้อดีแล้ว ไม่ต้องเกรงกลัวที่จะกินเนื้อ ทำให้แต่ละมื้อเขากินข้าวมากขึ้นสองชาม สุดท้ายวันแรก สองวันแรกไม่เห็นอาจารย์ปู่ลงมา วันที่สาม วันที่สี่ก็ไม่มี ทันใดนั้นเขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย จนกระทั่งวันโดนต่อย…เฮ้ย วันฝึกซ้อม เขาก็ไม่พบร่างของอาจารย์ปู่
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ช่างไม่ปกติ! แต่ว่าเจ้าหนูยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือแผนการ ไม่เรียกให้เขาขึ้นไปหาคนบนเจดีย์ยังไม่พอ ยังทำหน้าเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ลงมาเสียอีก ไป๋อวี้ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดปกติ ยิ่งคิดยิ่งใจไม่ดี หรือว่าอาจารย์ปู่จงใจ อย่างหลายวันนี้เขาอู้การฝึกฝน ดังนั้นจึงวางแผนหาวิธีการสั่งสอนให้เขาลืมไม่ได้ไปชั่วชีวิต
“เจ้าหนู ข้าผิดไปแล้ว!” ไป๋อวี้รับแรงกดดันนี้ไม่ไหว จึงยอมรับความผิดด้วยตนเองก่อน “ข้าไม่ควรแอบอ่านนิยายตอนกลางคืนแล้วไม่ทำการบ้าน ไม่ควรหลอกเจ้าว่าแผลยังไม่หายดีเพื่อไม่สอนหนังสือ ไม่ควรแอบกินขนมของอาจารย์ปู่ทุกครั้งที่ไปจับจ่ายของที่ตลาด จริงสิ! ข้ายังหลอกเอากระเทียมของอิ้งหลุนไปขายหลายมัด แอบเก็บเงินของตัวเอง…”
อวิ๋นเจี่ยว “…” อะไรกัน
“ท่านทำอะไร ลุกขึ้น!” สีหน้าของนางดำทะมึน
“ไม่! เจ้าหนู นอกจากเจ้าจะบอกอาจารย์ปู่ให้อภัยข้า มิเช่นนั้นข้าจะไม่ลุก” ไป๋อวี้ทำท่าทางราวกับจะร้องไห้ เพียงแต่ไม่เห็นน้ำตา
“เกี่ยวอะไรกับอาจารย์ปู่” นางแค่ไม่มีเวลาสนใจการบ้านของเขาเท่านั้น
“เอ๊ะ?” ไป๋อวี้ผงะ “อาจารย์ปู่ไม่ได้ออกมาหลายวัน ไม่ได้เป็นเพราะโกรธข้าหรือ”
อวิ๋นเจี่ยวเหลือบตามองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านคิดว่าท่านหน้าใหญ่ขนาดนั้นเหรอ”
“…”
ฉึบ เขาได้ยินเสียงมีดปัก
เขางุนงงไปครึ่งวัน ก่อนจะตั้งสติกลับมาได้ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืน ไร้ซึ่งท่าทางน่าสงสารเมื่อครู่ “เช่นนั้น…เหตุใดอาจารย์ปู่ถึงไม่ยอมลงมา” เวลาอื่นก็แล้วไป แม้แต่กินข้าวก็ยังไม่เห็นหน้า ช่างเหลือเชื่อเสียจริง!
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองเจดีย์สูงที่ห่างออกไปไม่ไกล ก่อนจะตอบ “อกหักกระมัง”
“หักอะไร” อะไรหัก อาจารย์ปู่ทำอาวุธอะไรหักหรือ ชายแก่ไม่เข้าใจ
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ นึกย้อนไปถึงเรื่องในวันนั้น ก่อนจะพูดขึ้น “วันนั้นกลับมาจากสำนักเทียนซือ อาจารย์ปู่โกรธมาก ข้าจึงคุยกับเขา”
“ใช่” แต่เหตุใดจึงโกรธ อวิ๋นเจี่ยวกลับมาดึกอาจไม่ทันเห็น แต่ตอนที่เขากลับมานั้น ไม่รู้ว่าอิ้งหลุนไปทำอะไรไว้ อาจารย์ปู่เกือบจะต่อยเขาจนตาย อีกทั้งยังระเบิดหลังเขาไปกว่าครึ่ง! จนกระทั่งตกดึกถึงได้หยุดลง เฟิงเสี่ยวหวงตอนนี้ยังคงวุ่นวายอยู่กับการถมภูเขา ช่วยอิ้งหลุนสร้างแปลงปลูกผัก อาจารย์ปู่เหมือนไม่ได้ลงจากเจดีย์ตั้งแต่วันนั้น
“จากนั้นละ?” เขาถามขึ้นอย่างอยากรู้ เจ้าคุยอะไรกับอาจารย์ปู่
“จากนั้น…” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว ราวกับพบปัญหายากอะไรบางอย่าง จากนั้นนางจึงพูดขึ้น “เขาสารภาพรักกับข้า”
“สารภาพรักคืออะไร” ชายแก่ไม่เข้าใจ
“อ่อ ก็คือเขาบอกชอบข้า!”
“…”
โครม!
ชายแก่ขาพลิก ก่อนจะล้มลงไป พร้อมทั้งทำให้พู่กันและหมึกบนโต๊ะของอวิ๋นเจี่ยวร่วงเต็มพื้นไปด้วย
อะไรนะ! เขา…เขาหูฝาดหรือ?!
อาจารย์ปู่…กับเจ้าหนู?!!
w(゚Д゚)w
“จากนั้น…” อวิ๋นเจี่ยวเสริม “ข้าปฏิเสธเขา!”
“…”
ฟู่~
_(´ཀ`」∠)_