ค่ำคืนที่เหน็บหนาว
อวิ๋นเจี่ยวส่งชายแก่ที่ล่องลอยดุจวิญญาณออกจากประตูห้องไป ก่อนจะเก็บกระดาษที่ล่วงหล่นอยู่เต็มพื้นขึ้นมา เดิมทีเธอคิดจะเขียนแผนการในอีกสิบปีข้างหน้าต่อ เพียงแต่ปลายพู่กันนั้นกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
ครั้งแรกในชีวิตที่แผนการของเธอกระตุก สมองของเธอเต็มไปด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าควรจะเขียนอะไรต่อ เธอเงยหน้าขึ้นมองยอดเจดีย์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล คิ้วของเธอขมวดขึ้นทีละน้อย
อันที่จริงแล้ว เธอดูออกว่าอาจารย์ปู่จริงจัง ถึงแม้ตัวของเธอจะไม่เคยมีความรัก แต่อีกฝ่ายจริงใจหรือไม่ เธอพอจะดูออก
ถึงแม้วิธีการสารภาพรักของอาจารย์ปู่จะ…แตกต่างจากคนอื่นไปเล็กน้อย ตรงไปตรงมากับเรื่องการชอบใครคนหนึ่งมาเกินไป แต่เขาไม่ได้ล้อเล่นอย่างแน่นอน เขาเพียงแค่รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเรื่องที่เขาชอบเธอ ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาอย่างนั้น อีกทั้งยังคิดจะกระโดดข้ามช่วงจีบ ไปยังตอนคบหาดูใจ
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ต่อต้านเรื่องการคบแฟน แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก สำหรับนักเรียนดีเด่นที่ใช้เหตุผลมากกว่าความรู้สึกแล้ว เรื่องความรักระหว่างชายหญิงไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไร อีกทั้งตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขันของเสวียนเหมิน ทำให้เธอไม่อยากแบ่งความสนใจไปให้อย่างอื่น
ใช่ อาจารย์ปู่หน้าตาดี มีความสามารถ อีกทั้งยังไม่ค่อยฉลาด! ช่างเป็นคู่ครองที่สมบูรณ์แบบอย่างหาได้ยาก แต่ก็เพราเหตุนี้ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ตามหลักแล้ว หากพูดถึงเรื่องหน้าตา อาจารย์ปู่มีใบหน้าที่ทำให้คนอยากจะทุ่มตัวเข้าหาได้ทุกเวลา แต่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย
เธอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสมาตลอด ต่อมามองว่าเขาเป็นลูก ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ เธอไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยอะไรกับอาจารย์ปู่แม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อได้ยินคำสารภาพรักของอีกฝ่าย จึงทำให้เธอตกตะลึงอย่างมาก
คนที่เธอคิดว่าชอบเพศเดียวกัน ไม่คิดว่าเขาจะเป็นไบ อีกทั้งยังจะมาจีบเธอ!
ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด! อีกทั้งยังแจกแจงเหตุผลกับอีกฝ่าย บอกอีกฝ่ายอย่างชัดเจนว่า พวกเธอสองคนเป็นไปไม่ได้!
จากนั้น…อาจารย์ปู่กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว
ไม่ก้าวออกจากเจดีย์แม้แต่ก้าวเดียว อวิ๋นเจี่ยวเองก็รู้สึกหงุดหงิดมากเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เธอสงบจิตใจลงไม่ได้ เดิมทีเธอวางแผนไว้ว่าจะเขียนแผนการอีกสิบปีข้างหน้าภายในสามวัน แต่ปรากฏว่าเจ็ดวันแล้วก็ยังเขียนไม่เสร็จ
เธอมองไปยังยอดเจดีย์ที่เงียบสงัดอีกครั้ง สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวออกมา เธอวางพู่กันลง ก่อนจะเดินไปยังทิศทางของยอดเจดีย์ ช่างเถอะ เธออาจจะควรคิดเรื่องจักรวาลอันยิ่งใหญ่ทิ้งไปก่อน เลือกฝึกอย่างอื่นบ้าง ไม่แน่ว่าจะไปรอดทั้งสองอย่างก็ได้
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ขึ้นมาบนยอดเจดีย์มากเท่าใดนัก เวลาปกติเธอจะให้ชายแก่ขึ้นมาเรียก ส่วนตอนกินข้าว หรือแจกขนมไม่จำเป็นต้องเรียกแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้น เธอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ายอดเจดีย์วันนี้แตกต่างไปวันอื่น ราวกับวันนี้…เงียบสงัดยิ่งกว่าวันอื่น
ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือไม่ แต่เธอรู้สึกว่าภายในเจดีย์เต็มไปด้วยความอ้างว้าง เธอเดินขึ้นบันไดมายังด้านบนสุด เมื่อขึ้นมาถึงก็พบคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้เธอ
ร่างที่สง่างามนั้นกำลังก้มหน้า หันตัวเข้ากำแพง รังสีที่แผ่ออกมาเต็มไปความท้อถอย ทันใดนั้นอวิ๋นเจี่ยวเหมือนมองเห็นคนตัวเล็กที่กำลังนั่งวาดวงกลมอยู่มุมกำแพง
“อาจารย์ปู่” เธอเรียก
ร่างตรงหน้ากำแพงนั้นแข็งทื่อไป เขาไม่ได้หันหลังกลับมา แต่กลับยิ่งท้อถอยมากกว่าเดิม ทั้งที่รอบกายของเขาโอบล้อมไปด้วยพลังสีขาว แต่บริเวณรอบข้างกลับมืดมน
“ท่านไม่ได้ลงไปกินข้าวเจ็ดวันแล้ว” เธอเดินตรงไป ก่อนจะหยุดอยู่ตำแหน่งที่ห่างจากเขาสองก้าว
“ท่านไม่หิวหรือ”
เขายังคงไม่ตอบ ยังคงมองไปยังกำแพงตรงหน้า ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ชายแก่เหลือข้าวไว้ให้ ท่านจะลงไปกินก่อนหรือไม่” อวิ๋นเจี่ยวผ่อนเสียงลง เกลี้ยมกล่อมอีกฝ่ายเสียงเบา
เขายังคงไม่ขยับ ราวกับอาจารย์ปู่ที่หวงของกินนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อน
“หรือไม่ ข้าผัดผักให้ท่านอีกสองสามอย่าง อยากกินอะไรก็ได้” อวิ๋นเจี่ยวยังคงเกลี้ยกล่อม
มือข้างลำตัวของเขากำแน่นขึ้น สักพักถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “ไม่ต้อง…ตั้งแต่แรก”
“…” อวิ๋นเจี่ยวผงะไป เธอรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนหัวใจถูกทิ่มแทง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ…เจ็ดวันแล้ว ยังอารมณ์ไม่ดีอีกหรือ” อกหักเข้าใจยากขนาดนี้เลยหรือ
หัวของเขาก้มต่ำลงไปอีก ก่อนจะพูด “…อารมณ์ไม่ดีอีกต่อไปแล้ว”
“อย่าเศร้าโศกขนาดนั้นสิ” อวิ๋นเจี่ยวพูดปลอบใจ “ต่อไปท่านต้องได้เจอหญิงสาวที่ชอบมากกว่าข้า หรือ…ชายหนุ่ม?”
“ไม่!” ครั้งนี้ตอบอย่างรวดเร็ว มั่นใจอย่างมาก อีกทั้งยังเจือปนความโกรธเล็กน้อย
อวิ๋นเจี่ยวตกใจในน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเขา มองดูคนที่กำลังโกรธตรงหน้า หัวใจของเธอก็อ่อนระทวยลง ก่อนจะถามย้ำขึ้นอีกครั้ง “เสียใจขนาดนี้เลย?”
หัวที่ก้มต่ำของเขาแทบจะชนเข้ากับกำแพง เขาเงียบไปสักพัก ในขณะที่เธอคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบกลับนั้น เสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายก็ลอบออกมา “เจ้าบอกว่า…ไม่ชอบ” ทั้งที่ทำของอร่อยมากมายขนาดนั้นให้เขากิน ทั้งที่บอกว่าเขาเก่งที่สุด ทำไมถึงไม่ชอบ?!
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเลวขึ้นมา เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นพ่นออกมายาวๆ ราวกับละทิ้งการดิ้นรน ก่อนจะเดินขึ้นหน้า “หรือไม่…ข้าตอบตกลง ลองดู?”
ร่างตรงหน้าแข็งทื่อ ก่อนจะหันกลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับจับเข้าที่แขนของเธอ “จริงเหรอ!” เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะ เอาแต่จ้องมองเธออย่างอย่างนั้น “เจ้าจะ…ชอบข้าจริงๆ แล้ว?”
“แค่ลอง” อวิ๋นเจี่ยวถูกเขาจับจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ในขณะที่กำลังจะดิ้นหลุดออกจากมือของอีกฝ่ายนั้น เธอก็เหลือมองเห็นสายตาเศร้าสร้อยของอักฝ่าย ทำให้เธอต้องหยุดการกระทำลง ก่อนจะอธิอบาย
“ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะชอบท่านได้หรือไม่ ถือว่าให้โอกาสพวกเราสองคนลองดูก่อน ดีหรือไม่”
เขาจ้องมองลึงเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง สักพัก เขายกมุมปากขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มให้เธอ
“ได้!”
ในชั่วขณะนั้น อวิ๋นเจี่ยวราวกับมองเห็นดอกไม้นับร้อยผลิบาน สรรพสิ่งฟื้นฟู ราวกับมีทิวทัศน์อันงดงานที่ไม่อาจบรรยายได้ปรากฏต่อหน้าของเธอ งดงามจนทำให้คนลืมหายใจ
ปัง!
ทันใดนั้นเธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกระแทกเข้าที่หัวใจย่างหนักหน่วง หัวใจของเธอเต้นขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทุกอย่างบนโลกใบนี้สลายหายไป เหลือเพียงคนที่กำลังคลี่ยิ้มอยู่ตรงหน้า
ทันนั้น เธอเหมือนกับว่าจะเห็นจักรวาลของตนเองกำลังหันหลังจากเธอไป ข้างหูเหลือเพียงแต่เสียงเต้นของหัวใจ
ส่วนเยี่ยยวนไม่ต้องมีอาจารย์สอน เขาเอื้อมมือกอดคนตรงหน้าที่นิ่งไปเอาไว้ หลายวันมานี้ หัวใจนที่ขาดหายไปเสี้ยวหนึ่งได้ถูกเติมเต็มในวันนี้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงได้คืบจะเอาศอก โน้มหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที “ขอหวานก่อน” พูดจบเขาก็ประทับริมฝีปากลงไป
คนที่กำลังหลงใหลในความงดงามนั้นตื่นขึ้นมาทันที เธอสะบัดมือออกไปตามสัญชาตญาณ
แคร่ก!
เสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งชั้นเจดีย์ พร้อมกับเสียงของบางอย่างแตกหัก
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
เยี่ยยวน: “…”