ตอนที่ 359 หนึ่งคืนที่แสนจะวุ่นวาย
เธอครุ่นคิดบางอย่างด้วยท่าทีตื่นตะลึง ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงขึ้นในทันใด
เยี่ยชิงชิวกลับมาแล้ว แถมถิงเซินยังหายตัวไปอีก!
หัวใจพลันกระตุกวูบ เธอส่ายหน้าพลางพาตัวเองเดินจากไปด้วยจิตใจที่สับสน
เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้!
ถิงเซินน่าจะยังไม่รู้เรื่องที่เธอกลับมา…
บนห้องจัดเลี้ยงชั้นสอง เงาดำของร่างสูงสง่ายืนมองลงมาอย่างเงียบๆ ตรงหน้าต่าง ท่าทางของเขาดูเคร่งขรึมและดุดัน ดวงตาลึกล้ำเกินหยั่งถึงมองตามไปยังร่างบอบบางของเยี่ยชิงชิว ก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นไปบนรถเก๋งสีดำแล้วขับออกไป
บุหรี่ที่มอดไปเหลือเพียงครึ่งมวนที่อยู่ในมือเขามาตลอดถูกโยนทิ้งลงกับพื้นทั้งๆ ที่มันยังไม่ถูกสูบเลยแม้แต่ครั้งเดียว นัยน์ตาสีขนอีกาพลันวูบดำ ยากเกินจะคาดเดาอารมณ์ใดๆ ได้
สุดท้ายเขาก็หมุนตัวเดินจากไป ใบหน้าหล่อเหล่าเรียบนิ่งดั่งผืนน้ำ ทว่าก้านบุหรี่ครึ่งมวนที่ถูกโยนทิ้งลงบนพื้นไปเมื่อครู่กลับถูกขยี้จนเป็นผุยผง…
–
วันถัดมา หลังจากที่เฉินฝานซิงตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันจนเสร็จสรรพ เธอก็ขึ้นลิฟต์ไปหาสวี่ชิงจือที่ชั้นสิบสองเพื่อชวนอีกฝ่ายมาทานมื้อเช้าด้วยกัน
แต่ทว่าเธอเคาะประตูไปแล้วสักพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู
ในตอนนั้นเอง แม่บ้านทำความสะอาดได้เข็นรถเก็บอุปกรณ์ตรงมาทางนี้ เฉินฝานซิงจึงวอนให้เธอช่วยเปิดประตูให้
แต่เมื่อเดินเข้าไปแล้วเธอจึงได้พบว่าในห้องนั้นไม่มีใครอยู่ตั้งแต่แรก แม้แต่บนเตียงเองก็ยังสะอาดเอี่ยมแลดูเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีใครเคยแตะต้องมันมาก่อน ดูไม่เหมือนห้องที่เคยมีคนอยู่เลยสักนิด
เธอหันกลับไปมองหมายเลขห้องอีกครั้ง เพื่อย้ำให้แน่ใจว่านี่คือห้องของสวี่ชิงจือจริงๆ จากนั้นความไม่สบายใจก็พลันปรากฏขึ้นในอก
เธอรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเพื่อนรักอย่างไม่รอช้า ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มีคนรับสาย!
เธอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “ชิง…”
“ใคร”
เสียงแหบทุ้มทำเอาคำพูดของเฉินฝานซิงติดชะงักอยู่ในลำคอ สีหน้าเคร่งขรึมลงทันที
เนิ่นนาน ก่อนเธอจะค่อยๆ เปิดปากพูดอีกครั้ง เสียงเย็นเคลือบแฝงไปด้วยความสงสัย
“…หลีม่อ?”
“อืม”
เฉินฝานซิงกัดริมฝีปากพลางยกมือขึ้นกดหว่างคิ้วตัวเองที่จู่ๆ ก็ขยับเข้าหากันจนปูดนูน
–
ข่าวในอินเตอร์เน็ตเป็นประเด็นร้อนตลอดทั้งคืน จนถึงตอนนี้อุณหภูมิความร้อนยังคงไม่ลดน้อยลง
จนถึงตอนนี้ี หลานอวิ้นยังไม่มีการออกมาโต้ตอบใดๆ
เฉินฝานซิงถือมื้อเช้ามานั่งลงบนโต๊ะอาหารข้างหน้าต่างกับสวี่ชิงจือด้วยสีหน้าปลงตก สวี่ชิงจือยังคงไม่หยุดปัดไปมาบนหน้าจอโทรศัพท์ สีหน้าของเธอดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“ฝานซิง เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
เฉินฝานซิงมองเธอ ก่อนจะถอนหายใจพลางวางช้อนในมือลง หัวคิ้วร่นเข้าหากันเล็กน้อย เสียงเข้มเอ่ยขึ้น “เธอยังจะมีกะจิตกะใจมาสนเรื่องฉันอีก?”
สวี่ชิงจือหน้าชาวาบ เธอยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่างและกระตุกมุมปากขึ้นเบาๆ สีหน้าดูหม่นหมองลงเล็กน้อย
“ฉันกับเขาดื่มกันหนักไปหน่อย มันก็แค่อุบัติเหตุเล็กน้อย โตๆ กันแล้วทั้งนั้น เราคุยกันเคลียร์แล้ว!”
“เธอพูดเคลียร์แล้วหรือหลีม่อพูดเคลียร์แล้ว”
สวี่ชิงจือข่มตาหลับลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงพร่า
“พอเถอะฝานซิง เรื่องนี้ปล่อยๆ มันไปเถอะ ตอนนี้งานฉลองของวิทยาลัยก็ผ่านไปแล้ว สิ่งเดียวในหัวฉันคืออยากให้จือชิ่นเขาไปตั้งอยู่ในสกุลป๋อได้อย่างราบรื่น ส่วนเรื่องอื่นคิดไปก็ไร้ประโยชน์”
พูดถึงตอนนี้ สวี่ชิงจือหยุดไปสักพักก่อนถามขึ้น “คนนั้นของเธอล่ะ”
เฉินฝานซิงเลิกคิ้วขึ้นพลางหยิบส้อมตักผักสลัดในจานขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว “กลับไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว”
–
เมื่อกินมื้อเช้าเสร็จ ทั้งคู่ก็ไม่คิดจะอยู่ที่วิทยาลัยต่อ จึงได้พากันเดินทางออกมาจากที่นั่น
แต่ไม่ทันถึงบริษัท เฉินฝานซิงก็ได้รับโทรศัพท์จากเฉินซั่งหวา
“ฝานซิง หลานกลับมาหน่อย ปู่มีเรื่องจะคุยกับหนู”
เฉินฝานซิงขมวดคิ้วชนกัน ยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉินซั่งหวาก็เสริมขึ้น “ที่บ้านมีแค่ปู่คนเดียว หลานต้องมาให้ได้นะ”
ตอนที่ 360 เพื่อเขาแล้ว หนูจะไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นคนอ่อนแอจนถูกข่มเหงได้อีก!
ที่ลานหลังบ้านของสกุลเฉิน เฉินฝานซิงเดินเข้ามายังห้องของเฉินซั่งหวา เธอมองไปยังใครอีกคนที่อยู่ในห้องด้วยความประหลาดใจ
“…คุณปู่”
เฉินซั่งหวานั่งพิงตัวอยู่ตรงหัวเตียง เขาเคลื่อนดวงตาสีขุ่นคู่นั้นขึ้นมองเธอ ก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำด้วยความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
“เฉินฝานซิง ปู่ขอโทษนะ ปีนั้น…”
เขาจุกจนพูดไม่ออก
นัยน์ตาเธอสั่นระริก อีกทั้งหัวใจพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม ทว่าสุดท้ายเธอก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ถามขึ้นเสียงเย็นยะเยือก
“ปู่เรียกหนูมามีธุระอะไรคะ”
ความห่างเหินของหลานสาวเพิ่มความปวดร้าวให้เฉินซั่งหวาเป็นเท่าทวี แต่เขาก็ยังหันไปมองชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เมื่อชายคนนั้นได้รับสัญญาณ เขาจึงก้าวขึ้นมาแล้วยื่นเอกสารให้เฉินฝานซิงฉบับหนึ่ง
“คุณหนูใหญ่ นี่คือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นที่คุณท่านเหลืออยู่ตอนนี้ ท่านได้ส่งมอบเป็นชื่อคุณแล้วครับ”
เฉินฝานซิงเม้มปากพร้อมทั้งกวาดสายตามองเอกสารฉบับนั้น “ค่าชดเชยอีกแล้วหรือ”
เฉินซั่งหวาผ่อนลมหายใจทิ้งอย่างหนักหน่วง “ฝานซิง นอกจากของพวกนี้แล้ว หนูคิดว่าปู่ยังจะมีอะไรอีก”
เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจรับเอกสารฉบับนั้นมา
เธอเปิดมันออกดู เมื่อแน่ใจแล้วก็ยัดมันกลับลงไปในซอง
“หนูถามอะไรคุณปู่สักอย่างได้ไหม”
เฉินซั่งหวาเคลื่อนดวงตาขึ้นมองเธอ “ถามมาสิ”
“หนูผิดอะไรกันแน่ ตระกูลเฉินของพวกคุณถึงได้ทำกับหนูแบบนี้”
เฉินซั่งหวานิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว
“หนูไม่ได้ผิดอะไรเลย หนูแค่…เกิดมาไร้วาสนา”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลาหนึ่ง
“เหอะ”
เนิ่นนาน กว่าที่เธอเค้นเสียงหัวเราะออกมา
ที่แท้ชะตาเธอก็ถูกลิขิตไว้ตั้งแต่นาทีที่ลืมตาดูโลกแล้ว
“หนูรู้อยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดว่าการที่หนูเกิดมาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เพราะแบบนั้นอาจจะเป็นการดูถูกคุณแม่ของหนูได้”
เธอว่าพลางก้มลงมองเอกสารในมือแล้วพูดต่อ
“ในเมื่อมันคือค่าชดเชย งั้นหนูก็จะรับไว้ แต่คุณปู่ก็อย่าหวังว่าหนูจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของหลานอวิ้น และก็จะไม่รับช่วงต่อหลานอวิ้นด้วย”
“เพราะถึงยังไงหนูก็ไม่เคยรู้สึกอะไรกับหลานอวิ้นอยู่แล้ว ตรงกันข้าม ยิ่งพวกเขารักมันมากเท่าไหร่ หนูก็ยิ่งอยากจะทำลายมันมากเท่านั้น”
นัยน์ตาของเฉินซั่งหวาประกายแสงหม่น “ฝานซิง อย่าปล่อยให้ความเคียดแค้นชิงชังควบคุมจิตใจหลาน หลานยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายอย่างที่ต้องไปทำ ปล่อยพวกเขาไปเถอะนะ…”
ความเย้ยหยันอัดแน่นอยู่ในดวงตาของเฉินฝานซิง “ปล่อยพวกเขา? อย่างกับพวกเขาเคยปล่อยหนู”
“ทั้งสกุลเฉิน ก็มีแค่คุณปู่คนเดียวที่ยังพอมีความจริงใจอยู่บ้าง เพราะงั้นตอนที่คุณปู่อยากเจอหนู หนูถึงได้มาไงล่ะ”
“คุณปู่ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งดูอย่างที่ที่คนพวกนั้นเคยทำกับหนูไปนั่นแหละดีแล้ว หนูก็แค่ใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน หนามยอกเอาหนามบ่ง ดีมาก็ดีไป ร้ายมาก็ร้ายตอบเท่านั้นเอง”
“หลานจะใจดำขนาดนั้นได้ลงคอจริงๆ เลยเหรอ”
เฉินฝานซิงส่ายหน้า “สำหรับสกุลเฉิน หัวใจของหนูมันตายไปนานแล้ว ตอนนี้หัวใจของหนูมีอยู่เพื่อคนคนเดียวเท่านั้น”
เฉินซั่งหวามีสีหน้าตื่นตะลึง นัยน์ตาประกายความประหลาดใจ เสี้ยวนาทีหลังจากนั้นเขาได้เอ่ยขึ้นอีกเสียงแผ่ว
“ชีวิตคนเราจะต้องโดนทำร้ายไม่มากก็น้อย…”
“ไม่ เขาไม่เหมือนกัน! หนูถูกทำร้าย แต่ดูเหมือนเขาจะเจ็บปวดยิ่งกว่าหนู! เพื่อเขาแล้วหนูจะไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นคนอ่อนแอจนถูกข่มเหงได้อีก!”
เฉินฝานซิงพูดจบก็กวาดตามองเฉินซั่งหวาอย่างเรียบเฉย “ยังจะให้หุ้นหนูอยู่ไหม”
เสียงหายใจหนังหน่วงเปลี่ยนเป็นเสียงลากยาว สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปัดมือ “หลานเอาไปเถอะ”
เฉินฝานซิงพยักหน้ารับเรียบๆ “ค่ะ งั้นคุณปู่ก็พักผ่อนเถอะค่ะ หนูขอตัวก่อน”
เธอว่าเสร็จก็ยกแว่นตากันแดดขึ้นสวม แว่นคันนั้นเสริมให้ใบหน้าเฉยเมยของเธอยิ่งดูเย็นชามากขึ้น เธอค่อยๆ หมุนตัวเดินจากไปราวกับไม่เหลือเยื่อใย