ตอนที่ 214 เรียกว่าข้าว่าพระราชินี

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

“เรียกหาอะไร”

“จอกศักดิ์สิทธิ์ทอง”

คำตอบของหลิวเชียนฮ่วนเป็นเหมือนสายฟ้า ผ่าหวังเสวียนจ้านกับอันหลินจนสะดุ้งโหยง

“วาดค่ายกลเรียกจอกศักดิ์สิทธิ์ทองหรือ”

“ท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้ล้อข้าเล่น”

อันหลินจ้องลวดลายซับซ้อนบนพื้นดินด้วยความเหลือเชื่อ อุทานด้วยความตกใจ

“คิกๆ ข้ากำลังล้อเจ้าเล่นอยู่นั่นแหละ เจ้าทึ่ม!”

นัยน์ตาของหลิวเชียนฮ่วนเปื้อนยิ้ม ย่นจมูกจิ้มลิ้มเล็กน้อยแล้วพูดยิ้มๆ

อันหลิน “…”

หวังเสวียนจ้าน “…”

เมื่อเห็นสองคนที่กุมขมับ หลิวเชียนฮ่วนก็พูดความจริงออกมาในที่สุด “ข้าเดาว่ามีพลังเชื่อมต่อระหว่างจอกศักดิ์สิทธิ์ บนจอกศักดิ์สิทธิ์มีลวดลายประหลาด น่าจะเป็นสัญลักษณ์พิเศษบางอย่างของจอกศักดิ์สิทธิ์ เติมสัญลักษณ์พิเศษเหล่านี้ลงบนค่ายกลตามปราณ ไม่แน่อาจจะทำให้ค่ายกลเชื่อมต่อกันจอกศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือก็ได้”

อันหลินกะพริบตาปริบๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่ก็รู้สึกว่าสุดยอดไปเลย

แต่หวังเสวียนจ้านกลับตาลุกวาว “ค่ายกลตามปราณคล้ายคลึงกับค่ายกลติดตามสายเลือดอะไรเทือกนั้นสินะ ค่ายกลติดตามสายเลือดสามารถใช้สายเลือดค้นหาสิ่งมีชีวิตที่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกันได้ แต่ค่ายกลตามปราณมีระดับสูงกว่าค่ายกลติดตามสายเลือดหลายขั้น ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับพลังด้านผลกรรม ไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่หลิวจะรู้จักค่ายกลแบบนี้ด้วย”

หลิวเชียนฮ่วนตอบยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ข้าทำได้แค่วาดค่ายกลตามปราณที่ง่ายที่สุดเท่านั้น สัญลักษณ์พิเศษบนจอกศักดิ์สิทธิ์จำต้องเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของมัน ค่ายกลนี้จึงจะได้ผล และยิ่งมีสัญลักษณ์พิเศษมากเท่าใด ระยะทางจะยิ่งใกล้ ประสิทธิภาพจะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง แผนผังค่ายกลที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่งก็ปรากฏให้เห็นบนพื้นดิน

ใบหน้าของหลิวเชียนฮ่วนซีดเผือด หน้าผากขาวผ่องมีเหงื่อซึม เห็นได้ชัดว่าแผนผังของค่ายกลนี้ค่อนข้างผลาญพลังงาน

ศูนย์กลางของค่ายกลมีลวดลายพิเศษของจอกศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า ถูกสลักไว้ภายในด้วยวิธีพิเศษบางอย่าง ถือเป็นการเชื่อมสัมพันธ์

จู่ๆ ก็มีเมฆและลมซัดสาด พลังปราณมหาศาลเริ่มหลั่งไหลมาบรรจบที่ค่ายกลตามปราณ พยายามกระตุ้นค่ายกล

อันหลินลอบกลืนน้ำลาย จับจ้องค่ายกลอย่างลุ้นระทึก

ทันใดนั้น ค่ายกลก็สาดแสงสีขาว

เข็มสีขาวสามอันปรากฏให้เห็นบนค่ายกล ชี้ไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน

“สำเร็จแล้ว!” หลิวเชียนฮ่วนอุทาน

อันที่จริงนางเพียงแค่ลองดูไม่ได้คาดหวังมากเท่าใดนัก ไม่คิดเลยว่าจะคลำทางจนถูก อารมณ์ในตอนนี้ ตื่นเต้นกว่าอันหลินกับหวังเสวียนจ้านหลายเท่า ราวกับถูกรางวัลใหญ่

“เข็มทิศทั้งสามหมายถึงทิศทางของจอกศักดิ์สิทธิ์หรือ เช่นนั้นทางไหนเล่าที่ถูกต้อง” หวังเสวียนจ้านพูดอย่างสงสัย

“ไม่ใช่ทั้งนั้น” ดวงตาสีม่วงของหลิวเชียนฮ่วนทอแสงน่าชม มือชี้บางแห่งบนค่ายกล “นี่ต่างหากทิศทางที่ถูกต้อง!”

อันหลินกับหวังเสวียนจ้านมองตามทิศทางที่หลิวเชียนฮ่วนชี้ ถึงได้พบว่าเข็มทิศที่ค่อนข้างเล็กและบาง ราวกับจะจางหายไปในค่ายกล กำลังชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

อันหลินได้สติ พูดอย่างกระจ่างใจว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เข็มทิศสามอันบอกตำแหน่งของจอกศักดิ์สิทธิ์โลหะกับจอกศักดิ์สิทธิ์เงินอื่นๆ ลวดลายพิเศษที่สลักลงในค่ายกล เป็นริ้วรอยของจอกเงินและจอกโลหะ ความสัมพันธ์ของพวกมันกับจอกเงินและจอกโลหะแน่นแฟ้นกว่า แต่จอกศักดิ์สิทธิ์ทองกลับแยกตัวเป็นเอกเทศ ความสัมพันธ์เบาบางกว่า เข็มทิศจึงไม่สะดุดมากขนาดนั้น”

หลิวเชียนฮ่วนดีดนิ้ว พูดยิ้มๆ ว่า “ถูกต้อง! เข็มทิศที่เล็กเหมือนเห็ดเข็มทองนี้ บอกทิศทางของจอกศักดิ์สิทธิ์เงิน คราวนี้พวกเรามีเป้าหมายแล้ว!”

เพิ่งสิ้นเสียง ค่ายกลก็ระเบิดดังกึกก้อง เข็มทิศแตกละเอียด แสงสว่างเลือนหาย

อืม…นี่เป็นเค้าลางที่ค่ายกลต้านไม่ไหว พังทลายด้วยตัวเอง

หลิวเชียนฮ่วนแลบลิ้นออกมาอย่างเก้อเขิน กล่าวว่า “อย่างไรเสียก็รู้ทิศทางแล้ว เราไปกันเถอะ!”

อันหลินกับหวังเสวียนจ้านพยักหน้า ตอนนี้อย่างน้อยก็มีเบาะแสแล้ว ย่อมไม่เสียเวลาอีก เหาะไปทางที่เข็มทิศของหลิวเชียนฮ่วนบอกทันที

ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเทือกเขาจงหลง

มีภูเขาที่หินดำสลับซับซ้อน ยอดเขามีหิมะขาวโพลน แม้ตอนนี้จะดึกดื่นค่อนคืนแล้ว แต่หิมะบนยอดเขากลับส่องแสงสีขาวนวลกระจ่างภายใต้แสงจันทร์ แลดูบริสุทธิ์และสงบ

พื้นที่ว่างแห่งหนึ่งตรงสันเขา มีแสงไฟกะพริบรำไร

“ตงเยี่ยน เหมือนจะมีคนอยู่บนภูเขาลูกนั้น!” นัยน์ตาของหงโต้วสว่างดุจโคม จ้องภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปสามลี้

ในค่ำคืนอันมืดมิด ไม่ว่าแสงไฟใดก็ดูสะดุดตาทั้งนั้น

ตงเยี่ยนก็แสดงสีหน้าสนอกสนใจเช่นกัน เอ่ยปากว่า “ไป เราไปดูกันหน่อย อำพรางร่องรอยด้วย!”

พวกมันคาดเดาว่าบนภูเขาลูกนั้น ต้องมีตัวแทนของอิทธิพลอื่นเป็นแน่ หากเข้าใกล้พวกเขาตอนนี้ จะเลือกวิธีที่สะดุดตาอย่างเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ แต่ต้องทะยานลงพื้น ใช้วิธีวิ่งไปแทน

หลังหดหู่อยู่ระยะหนึ่ง ตัวแทนทั้งสองของหอสร้างโลกก็ลุกขึ้นจากความซึมเซา แถมยังมีแผนการรบใหม่แล้ว ตอนนี้กุญแจสำคัญของแผนการก็คือ กวนน้ำจับปลา[1]

ใช่แล้ว พวกเขาต้องการจอกศักดิ์สิทธิ์ทองไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาไปแก่งแย่ง ไปช่วงชิง

เมื่อถึงช่วงเวลาที่คับขันที่สุด หงโต้วกับตงเยี่ยนที่ดักซุ่มอยู่ค่อยโผล่เข้าไปช่วงชิงทันใด

แม้ทำแบบนี้จะต่ำช้าไปบ้าง แต่ความสามารถของพวกมันในตอนนี้ ดูเหมือนจะทำได้แค่วิธีนี้…

ด้วยเหตุนี้ หงโต้วกับตงเยี่ยนจึงเข้าไปใกล้แสงไฟตรงสันเขาอย่างไม่หยุดหย่อน

จากนั้นพวกมันก็เห็นแสงไฟได้ชัดเจน มันเป็นกองไฟที่ลุกโหม ด้านบนกำลังย่างหมูป่าตัวหนึ่ง

หมูป่าตัวนี้ถูกย่างจนเกือบสุกแล้ว กลิ่นหอมยั่วยวนลอยล่องอยู่ในอากาศ

หญิงสาวรูปร่างสันทัดสวมชุดสีขาวกำลังพลิกตะแกรงย่างอย่างมีชีวิตชีวา

แววตาสุกใสสะท้อนแสงไฟ แลบลิ้นเลียริมฝีปากสีแดงระเรื่ออย่างหิวโหย

หงโต้วกับตงเยี่ยนที่ลอบสังเกตการณ์ตะลึงงัน หญิงคนนี้เป็นใคร!

“จะว่าไปแล้ว ตงเยี่ยน ที่อยู่บนศีรษะนาง ใช่…” หงโต้วกระซิบด้วยเสียงสั่นเครือแฝงความตื่นเต้น ใบหน้ามีแต่ความตกตะลึง

ตงเยี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าก็คิดว่าใช่ จอกศักดิ์สิทธิ์แน่นอนไม่ผิดแน่…”

ใช่แล้ว หญิงชุดขาวท่าทางน่ารักคนนี้สวมมงกุฎงดงามวิจิตรเหนือศีรษะ ด้านหน้าสุดมีเค้าโครงของจอกศักดิ์สิทธิ์

จอกศักดิ์สิทธิ์ทองถูกสวมอยู่บนศีรษะของนาง ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่ายำเกรงหรือกดดันเลยสักนิด กลับดูไม่สมจริงและตลกเล็กน้อย เจือความไร้เดียงสาของเด็ก เสมือนว่ามงกุฎจอกศักดิ์สิทธิ์ทองเป็นของเล่นที่งดงามอย่างไรอย่างนั้น

ตงเยี่ยนกับหงโต้วเริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว แม้จะรู้ว่ามันเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ทองจริง แต่มันไม่ง่ายอย่างที่เห็นแน่

แต่หากว่า…

หากว่าการชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ ไม่ได้ยากอย่างที่จินตนาการ แค่อาศัยความพยายามของพวกมันก็ชิงมาได้เล่า

ผู้ที่สวมมงกุฎจอกศักดิ์สิทธิ์ทองเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น!

พวกมันเป็นอิทธิพลแรกที่พบจอกศักดิ์สิทธิ์ทอง จะไม่ทำอะไรเลยจริงๆ หรือ

หงโต้วกับตงเยี่ยนเริ่มยับยั้งชั่งใจไม่ไหวแล้ว ข้อได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวของพวกมัน เกรงว่าจะมีแค่มาถึงที่นี่ก่อน ความคิดที่ว่าโชคอาจเข้าข้างลุกลามประหนึ่งไฟป่า ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่

“ข้าจะไปลองหยั่งเชิง ตงเยี่ยน เจ้าลงมือเมื่อมีโอกาส!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหงโต้วก็ตัดสินใจแล้ว

ตงเยี่ยนไม่แสดงท่าที ชัดเจนว่าเห็นด้วยกับวิธีของหงโต้ว

เด็กผู้หญิงเงยหน้าขึ้นจากตะแกรงย่าง มองมนุษย์หินที่โผล่มาตรงหน้ากะทันหัน

ในใจหงโต้วกระสับกระส่ายยิ่งนัก เมื่อสบตากับเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่เจอกลิ่นอายน่ากลัวแต่อย่างใด จึงใช้สมอง ตั้งใจว่าจะใช้วิธีเจรจาอย่างสันติเปิดประเด็น

“สวัสดีน้องสาว”

หงโต้วโบกมือให้เด็กผู้หญิงซื่อๆ พยายามเก็บงำความชั่วร้ายของตน

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มของเด็กหญิงก็เย็นเยือกขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของหงโต้ว

ความรู้สึกอันตรายแผ่คลุมหงโต้วตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้มันตัวเกร็งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ร่างกายมหึมาและทนทานของมันกำลังจะร่นถอย หมัดขาวปลอดก็กระแทกลงกลางหน้าอกของมัน

“เรียกข้าว่า…พระราชินี!”

เสียงสดใสดังกึกก้อง สะเทือนจนท้องนภาสั่นไหว

ตูม! พลังหมัดทำให้ปฐพีแตกระแหง ภูเขาสั่น

พายุหมัดอันยิ่งใหญ่ทิ้งร่องลึกที่ลุกลามไปไกลสุดลูกหูลูกตาบนพื้น สุดท้ายกลายเป็นแรงดันพุ่งขึ้นท้องฟ้าไกลโพ้นหลายลี้

หงโต้วเบิกตากว้าง ปากพ่นลาวา ร่างหินอันแข็งแกร่งแตกระแหง

ม่านสีทองดูดซึมพลังหมัดไปกว่าครึ่ง มิเช่นนั้นหงโต้วคงพิการไปแล้ว

“หงโต้วแห่งหอสร้างโลก ตกรอบ!”

เสียงประกาศดังขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง

………………….

[1] กวนน้ำจับปลา หมายถึง ฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุน