อวิ๋นเจี่ยวเปิดย่ามเก็บของออก จากนั้นหยิบยันต์ออกมาหนึ่งใบ นาทีถัดมาอาวุธในตำหนักต่างลอยขึ้นมา เรียงแถวบินเข้าในย่ามเก็บของราวกับถูกพลังบางอย่างชักจูง เธอพลางเก็บอาวุธพลางถาม “สำนักเทียนซือเก็บกวาดไปถึงไหนแล้ว” ไม่รู้ว่าตำหนักใหญ่ที่เฟิงเสี่ยวหวงทำพังซ่อมเสร็จแล้วหรือยัง
เมื่อเจ้าสำนักสวีได้ยิน คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาทันที ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาพร้อมพูดขึ้น “เฮ้อ! เรื่องนี้ค่อนข้างยาก ที่สำคัญคือเก็บกวาดยาก คนในสำนักเทียนซือมีไม่พอ คงเก็บกวาดไม่เสร็จในระยะเวลาสั้น ข้าได้แจ้งไปยังสำนักต่างๆ ให้ส่งลูกศิษย์ออกมาช่วย อืม…คงต้องอีกสองสามเดือนถึงจะเสร็จ”
“สองสามเดือน?!” อวิ๋นเจี่ยวผงะ ไม่ใช่พังไปแค่ครึ่งตำหนักหรือ ซ่อมแซมเป็นเวลานับหลายเดือนแล้ว ยังไม่เสร็จอีกหรือ ทำไมยังต้องขอความช่วยเหลือจากสำนักอื่น แค่ลูกศิษย์ของสำนักเทียนซือก็มีนับพันคนแล้ว
“ต้องการคนมากขนาดนี้เชียวหรือ”
“แน่นอน!” เขาพยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะไล่ทีละรายการ “ถึงจะยุ่งยากไปบ้าง แต่อาจารย์ไว้วางใจได้ คนพวกข้าได้จัดการแบ่งเรียบร้อยแล้ว มีทั้งกลุ่มถลกหนัง กลุ่มปล่อยเลือด กลุ่มดึงเส้นเอ็น อีกทั้งยังมีกลุ่มวางข่ายพลังจัดเก็บ เหล่าลูกศิษย์ล้วนมีประสบการณ์มาก่อน ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
“เดี๋ยว…” อะไรกัน ซ่อมแซมตำหนักใหญ่เกี่ยวอะไรกับถลกหนังปล่อยเลือด “หลายวันนี้สำนักเทียนซือทำอะไรกันแน่…”
“รวบรวมวัตถุดิบ!” เจ้าสำนักสวีตอบ จากนั้นเผยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องทำ
“อาจารย์อวิ๋นท่านไม่เห็นว่าร่างเดิมของเหล่าเทพที่ตกลงมาหลังจากที่พลังสลายหายไปมันมีขนาดใหญ่แค่ไหน แค่จิ้งจอกเก้าหางตัวนั้น ขนาดของมันจะเทียบเท่ากับตำหนักใหญ่อยู่แล้ว อีกทั้งยังทำจวนของลูกศิษย์พังไปหลายคน! พวกข้าจึงต้องรีบแก้ชิ้นส่วนมันเสีย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมังกรตัวนั้นเลย! มันทำภูเขาพังทลายลงมาครึ่งหนึ่ง โชคดีที่ไม่ได้ตกลงมาในสำนักเทียนซือ เพียงแต่ขนของจิ้งจอกนั้นไม่เลว ห้องหลอมอาวุธบอกว่าสามารถนำเป็นหลอมเป็นอาวุธลับได้ นอกจากนี้ยังมี…”
เจ้าสำนักสวีแทบจะกลายร่างเป็นอิ้งหลุน เขาพูดเรื่องการเก็บวัตถุดิบกับเธออย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ขนยันกระดูก แม้แต่ส่วนที่ไม่อาจพูดได้ก็มีวิธีการจัดการ คนทั้งคนกลายเป็นเหมือนคุณลุงที่รับหน้าที่จัดงานเลี้ยงปีใหม่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขปนความปวดร้าว
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
เยี่ยยวน: “…”
ทันใดนั้นก็เกิดคว่ามสงสัยว่า ตนเองสอนอะไรผิดให้ลูกศิษย์เสวียนเหมินไปหรือเปล่า
อวิ๋นเจี่ยวเพิ่งจะตระหนักได้ว่าหลายวันนี้พวกเขากำลังวุ่นวายอยู่กับอะไร เหล่าเทพของทักษิณสวรรค์ที่ปรากฏก่อนหน้านี้ ล้วนอยู่ในร่างมนุษย์ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดลึกลงไป ตอนนี้เธอเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเหล่าเทพที่ถูกอิ้งหลุนดึงวิญญาณออกมาได้กลับสู่ร่างเดิมของพวกเขาแล้ว อีกทั้งเหล่าเทพของทักษิณสวรรค์ล้วนไม่ได้มาจากโลกล่าง เมื่อนึกไปถึงขนาดของเฟิงเสี่ยวหวง คูณไปอีกหลายร้อย…
นี่ไม่ใช่แค่กองวัตถุดิบ แต่เป็นคลังวัตถุดิบ!
มิน่าเจ้าสำนักสวีถึงได้บอกว่าต้องขอความช่วยเหลือจากสำนักอื่น ร่างใหญ่ขนาดนั้น รัศมีหลายสิบลี้ของสำนักเทียนซือคงจะไม่มีที่ยืน หากไม่ใช่ร่างเทพไม่เน่าเปื่อยง่าย พวกเขาคงแยกชิ้นไม่ทัน
อวิ๋นเจี่ยวจุดเทียนให้ทักษิณสวรรค์อย่างเงียบๆ มอบวัตถุดิบไกลนับพันลี้ นอกจากจะมีค่ามากแล้วจิตใจก็มีค่ามากเช่นกัน!
“รอเก็บกวาดเสร็จ โรงเรียนเสวียนเหมินของพวกเราคงมีอาวุธเทพจำนวนไม่น้อย” เจ้าสำนักสวียิ้มตาหยี ทันใดนั้นเขาเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ…แต่เนื้อเหล่านั้นไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ไม่มีแม้แต่ที่ฝัง จริงสิ! อาจารย์อวิ๋น ท่านยังต้องการเนื้อมังกรหรือไม่ เดี๋ยวข้าให้ลูกศิษย์ส่งมาให้” มีมังกรตั้งหลายตัว!
“ไม่…ไม่ต้อง!” อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุก เธอกลัวเฟิงเสี่ยวหวงเกิดผลกระทบทางจิตใจ อย่างน้อยอิ้งหลุนยังต้องการเขาช่วยปลูกผัด
“อ่อ” เจ้าสำนักสวีพยักหน้าอย่างผิดหวัง ในใจกำลังคำนวณจำนวนหลุมสำหรับการฝัง
“จริงสิ ข้าให้ชายแก่วาดยันต์ให้พวกท่าน สลายพลังเทพและพลังชีวิตที่หลงเหลือ พวกท่านสามารถฝังมันลงไปพร้อมกัน” เร่งความเร็วในการเน่าเปื่อย ง่ายต่อการฝัง วิธีนี้อิ้งหลุนใช้ตอนที่ฝังร่างของเฟิงเสี่ยวหวง
เจ้าสำนักสวีตาลุกวาวขึ้นในทันที ก่อนจะตบเข้าที่หน้าขาของตนเอง “ดีจริง เช่นนั้นก็รบกวนสหาย…ไป๋?” เขาลังเลเล็กน้อย เมื่อตระหนักได้ว่าชายแก่เป็นยมราช
ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่เหล่าลูกศิษย์เองก็เช่น เมื่อรู้ว่าเรียนการขับไล่ผีกับยมราชมาเป็นเวลานานขนาดนี้ ต่างรู้สึกเหลือเชื่อ
อวิ๋นเจี่ยวเห็นเขาลังเล จึงอธิบายขึ้น “ชายแก่ยังไม่ถือว่าเป็นยมราชจริงๆ พวกข้ามีคนรู้จักด้านล่าง ตอนนี้แค่ทำหน้าที่แทนเขาชั่วคราวเท่านั้น”
“เช่นนี้นี่เอง!” เจ้าสำนักสวีทำสีหน้าผ่อนคลายลงไม่น้อย เขายังคิดว่าสหายไป๋ใช้วิธีปลอมตัวเป็นคนเป็น ที่แท้เขาก็เป็นคนเป็น
เจ้าสำนักสวีเงยหน้ามองท้องฟ้า เขาลุกขึ้นยืนเพื่อลาอีกฝ่าย “จะค่ำแล้ว ข้าต้องรีบกลับไปเก็บศพ…เอ่อ วัตถุดิบ ไม่รบกวนอาจารย์แล้ว ข้าขอตัว”
“ได้!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน พร้อมส่งคนไปถึงข่ายพลังขนส่ง
ก่อนจะนึกถึงแผนการในอีกสิบปีข้างหน้าของตนเองคงจะถึงเวลาเขียนออกมาแล้ว
เมื่อเธอกลับถึงห้องตำรา ก็พบคนที่ไม่พูดไม่จาเมื่อสักครู่เกาะเข้ามาอีกรอบ มือหนึ่งอ้อมกอดเอวของเธอ จากนั้นหยิบขนมสีเขียวสลับแดงออกมาหนึ้งชิ้น ส่งตรงมายังริมฝีปากเธอ “กินหรือไม่”
เขาถามอย่างจริงจัง ใบหน้ายังคงเรียบเฉย เพียงแต่ดวงตาทั้งคู่ลุกวาวเป็นประกาย จับจ้องมายังริมฝีปากของเธอ
อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “อาจารย์ปู่ วิธีการแต๊ะอั๋งของท่านเปลี่ยนบ้างได้หรือไม่” ป้อนขนมทุกครั้ง อยากจะแกล้งทำเป็นไม่รู้มันยากนะ
เยี่ยยวน: “…”
สักพัก…
“ขอหวานหน่อย”
“ออกไป!”
“…”
(இдஇ;)
น้อยใจ…
ทั้งที่เมื่อวานพูดไว้แล้ว ยอมให้ชอบ ทำไมไม่ให้หวาน?!
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าอาจารย์ปู่เข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกับการมีความรัก ตั้งแต่เมื่อคืน เขาก็เกาะติดเธอไม่ปล่อย คิดแต่จะพุ่งเข้าหาเธอ หาโอกาสเกาะติดเธออยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนวิธีการขอกอดขอจูบ อ่อไม่..ขอหวานหวาน
ไม่ยอมยังไม่ได้ เพราะว่าเธอผลักอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ ไม่ว่าเธอจะอธิบายว่าความสัมพันธ์ต้องค่อยเป็นค่อยไป ความรักต้องเดินไปทีละก้าว แต่เขาก็ยังพูดอย่างหน้าตาเฉยว่าว่าตนเองเดินมาทีละก้าว ไม่ได้ใช้คาถาอะไรทั้งนั้น
อวิ๋นเจี่ยว: “…” อัจฉริยะทางตรรกะเสียจริง!
สุดท้ายเธอไม่มีวิธีจึงปล่อยเขาไป กอดไปกอดมา…ก็คุ้นชินเสียแล้ว!
╮(╯_╰)╭