สำนักเทียนซือใช้เวลากว่าสองเดือนเต็มยังจัดการคลังวัตถุดิบที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าไม่ได้ แต่โรงเรียนเสวียนเหมินกลับต้อนรับนักเรียนกลุ่มที่สองแล้ว เนื่องจากแผนการอีกสิบปีข้างหน้าของอวิ๋นเจี่ยว ทำให้การเปิดเรียนในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงโรงเรียนเสวียนเหมิน แต่ยังมีโรงเรียนสาขาหนึ่ง สาขาสอง และสาขาสาม โรงเรียนสาขาทั้งสามจัดตั้งอยู่ภายในสำนักใหญ่
จากการวิจัยอย่างละเอียดของอวิ๋นเจี่ยว นางพบว่าข้อได้เปรียบของโลกมนุษย์เมื่อเทียบกับอีกสองโลกมีเพียงข้อเดียว ก็คือจำนวนประชากร! ไม่ว่าโลกสวรรค์หรือยมโลก จำนวนคนรวมกันยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของโลกมนุษย์ ส่วนจำนวนประชากรหมายถึงอะไร…ประชากรก็คือทรัพย์สิน!
โลกนี้เดิมทีเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์อยู่แล้ว เช่นนั้นเหตุใดจึงกำหนดการฝึกฝนไว้เพียงเสวียนเหมินเท่านั้น เพราะว่านอกจากนางแล้ว ทุกคนต่างมีเส้นชีพจรเสวียน ซึ่งหมายความว่าอันที่จริงแล้ว ทุกคนล้วนมีศักยภาพของเสวียนเหมิน มีเพียงยกระดับคุณภาพของประชากร ถึงจะสามารถยกระดับความสามารถของโลกมนุษย์ได้ ดังนั้นนางคิดว่าเรื่องของการศึกษา ไม่อาจจำกัดไว้เพียงภายในเสวียนเหมินเท่านั้น แต่ควรพัฒนาเป็นการศึกษาระดับประเทศ
อันที่จริงแล้วแต่ละสำนักเองมักจะรับสมัครเด็กที่มีพรสวรรค์จากข้างนอกเข้ามาเป็นลูกศิษย์เสวียนเหมินอยู่แล้ว เพียงแต่การรับลูกศิษย์ของเสวียนเหมินไม่ได้มีกฎเกณฑ์มาก อีกทั้งพรสวรรค์ไม่อาจเห็นได้ตั้งแต่แรก ทั่วไปแล้วการคัดเลือกลูกศิษย์ของแต่ละสำนักมักเป็นไปตาม…โชคชะตา โดยพื้นฐานแล้วแค่เพียงถูกชะตา พร้อมทั้งอีกฝ่ายก็ตกลง พวกเขาก็จะรับกลับมา ตอนนี้แค่เปลี่ยนแปลงวิธีการคัดเลือกลูกศิษย์ เพิ่มจำนวนการรับลูกศิษย์เท่านั้น จึงดำเนินไปอย่างง่ายดาย
ส่วนคนอื่นที่อยากเรียน แต่ไม่มีหนทางนั้น พวกเขาก็สามารถถ่ายทอดวิชาพื้นฐานของเสวียนเหมินออกไป พร้อมทั้งตีพิมพ์ตำราที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ แค่เพียงฝึกฝนจนสำเร็จ จากนั้นผ่านการทดสอบของสำนัก ก็สามารถเข้าร่วมสำนักได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีโอกาสสอบเข้าโรงเรียนเสวียนเหมิน สัมผัสกับวิชาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
หลังจากที่อวิ๋นเจี่ยวเสนอเงื่อนไขนี้ออกไป สิ่งที่น่าประหลาดคือไม่มีใครในเสวียนเหมินคัดค้านแม้แต่คนเดียว อีกทั้งแต่ละคนยังทำหน้าตื่นเต้น พร้อมทั้งแสดงความกระตือรือร้นต่อการเปิดโรงเรียนเพิ่มอีกด้วย นอกจากนี้เจ้าสำนักแต่ละคนยังเสนอให้มีการทดสอบของอาจารย์รอบสอง โดยให้ลูกศิษย์ที่โดดเด่นในห้องสองห้องสามห้องสี่เข้าร่วม แม้แต่ข้อสอบยังเตรียมการไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
อวิ๋นเจี่ยวตอนแรกยังเป็นกังวลใจเรื่องต้นทุนการดำเนินการของสำนัก เพราะการรับคนเข้ามาเพิ่มหนึ่งคน รายจ่ายของสำนักก็จะมากขึ้นตามไปด้วย แค่นึกถึงสองคนภายในสำนักตน นางก็รู้สึกได้ว่าลูกศิษย์ไม่ได้เลี้ยงง่าย
จนกระทั่ง เจ้าสำนักแต่ละสำนักส่งเงินมาให้นางเป็นประจำอย่างไร้สาเหตุ เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่า เงินเหล่านั้นคือกำไรจากตำราเรียน ในตำราเรียนพื้นฐานเหล่านั้นมีหนึ่งถึงสองเล่มเป็นฝีมือของนาง ส่วนชายแก่ได้ลงมือวาดตำราภาพสองเล่ม จุดประสงค์ในตอนนั้นเพื่อเป็นการผลักดันการศึกษาอย่างกว้างขวางเท่านั้น พวกนางจึงได้วาดภาพและเขียนตำราความรู้ขั้นพื้นฐานของเสวียนเหมิน ไม่เคยคิดว่าจะเก็บค่าลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
ไม่คิดว่าแต่ละสำนักนำตำราเหล่านี้ไปคัดลอกนับร้อยพันเล่ม พร้อมทั้งวางจำหน่ายในเมืองต่างๆ เพียงแต่ราคาที่จำหน่ายก็ไม่ได้สูงอะไร หนึ่งเล่มแค่ไม่กี่ตำลึงเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะสามารถจำหน่ายได้จำนวนมากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังส่งผลให้ราคากระดาษสูงขึ้นอีกด้วย
แต่ละสำนักได้กำไรมหาศาลอย่างไม่ตั้งใจ พวกเขาไม่กล้าที่จะเก็บเอาไว้เอง ดังนั้นจึงดึงเงินออกมาส่วนหนึ่ง ส่งมาให้นางกับชายแก่ สุดท้ายอวิ๋นเจี่ยวลองคำนวณดู ถึงได้พบว่าเงินที่พวกเขาส่งมานั้น มากกว่าเงินที่นางได้จากการเปิดโรงเรียนกว่าสิบเท่าอย่างน้อย
อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ต่างตกตะลึงกับทรัพย์ที่หล่นลงมานี้ จนเกือบจะผันตัวไปขายตำราแทนแล้ว เพียงแค่คิดก็พอจะรู้ว่าแต่ละสำนักที่จำหน่ายตำราออกไปหลายสิบเล่มจะร่ำรวยแค่ไหน
อวิ๋นเจี่ยวตอนแรกยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้รับความนิยมเช่นนี้ ถึงแม้โลกใบนี้เสวียนเหมินจะมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ชีวิตของประชาชนธรรมดานั้นล้าหลังกว่ายุคสมัยปัจจุบันอยู่มาก ถึงแม้ประชาชนเหล่านี้จะได้รับความช่วยเหลือจากนักพรตเสวียนเหมิน มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าประวัติศาสตร์ที่นางเคยศึกษามาก อีกทั้งยังไม่ค่อยได้ประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอะไร เพราะว่าภัยพิบัติในโลกแห่งนี้สามารถจัดการด้วยยันต์เพียงไม่กี่ใบ อีกทั้งเสวียนเหมินเองก็คงไม่นิ่งดูดาย
ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดี แต่ถึงกระนี้ เหล่าคนที่วุ่นวายกับการใช้ชีวิตคงไม่ไปซื้อตำราเล่มเดียวกันมาอ่านเหมือนกันทุกคน ถึงแม้นางจะมั่นใจในตำราที่ตนเองเขียน แต่ก็ไม่ได้หลงตัวเองถึงขั้นที่ทุกคนจะชอบอ่าน เพราะว่ายังมีคนจำนวนมากไม่รู้จักหนังสือ
แต่ต่อมานางลองคิดอย่างละเอียดดูแล้วก็เข้าใจขึ้นมา ตำราเหล่านี้อาจเหมือนกับพจนานุกรมในยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่รู้จักหนังสือทั้งหมดบนนั้น แต่แค่เพียงคนที่พอจะรู้จักหนังสือก็ต้องมีติดมือเองไว้คนละเล่ม
อีกทั้งหลังจากมีพจนานุกรมเล่มนี้แล้ว ทำให้แต่ละสำนักผลักดันวิชาอื่นในเสวียนเหมินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากวิชาที่จำเป็นต้องเข้าสำนักแล้ว ตำราที่เกี่ยวกับการชักนำพลังพื้นฐานนั้นสามารถเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน
อีกทั้งการกระทำเช่นนี้ของเสวียนเหมิน กระตุ้นก่อให้เกิดอาชีพใหม่จำนวนหนึ่ง เหล่าอุปกรณ์เครื่องเขียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ละเมืองยังมี ‘ห้องเรียนพิเศษเพื่อการสอบ’ ปรากฏขึ้น สอนเหล่านักพรตพเนจรเกี่ยวกับพื้นฐานการสอบเข้าเสวียนเหมิน
อวิ๋นเจี่ยวปลาบปลื้มใจอย่างมากต่อความกระตือรือร้นในการศึกษาของโลกมนุษย์ ลูกศิษย์เสวียนเหมินกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นไปตามทิศทางการศึกษาที่นางคาดหวังเอาไว้
ทำให้นางคาดหวังลักษณะของโลกมนุษย์ในอีกสิบปีข้างหน้าอย่างมาก ปลาบปลื้มจนกระทั่งนางอยากกลับไปออกข้อสอบอีกหลายชุด!
…
“อาจารย์อวิ๋น ตรงนี้!” เจ้าสำนักสวีที่เดินนำทางหยุดลง ก่อนจะชี้ไปยังพื้นหญ้าสีเขียวตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้น
ท่านอาวุโสที่ตามมาด้านหลังก็หยุดลง พร้อมกับทำท่าทางหนักใจอย่างมาก
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะหันไปมองพื้นหญ้าตรงหน้า เจ้าสำนักสวีส่งสารมาบอกนางแต่เช้าว่าสำนักเทียนซือเกิดเรื่องแล้ว น้ำเสียงกระวนกระวายอย่างมาก นางจึงรีบข้ามมาดู
แต่พวกเขากลับพานางมาที่นี่
นางกวาดตามองพื้นหญ้าตรงหน้า ก่อนจะพูด “ที่นี่มีอะไรผิดปกติ…” นางพูดไปได้เพียงครึ่งเดียวก็หยุดลง สายตาของนางหยุดอยู่ตรงกลางของพื้นหญ้า บริเวณนั้นมีพืชสีเขียวขจีอยู่หนึ่งต้น “พรรณไม้เทพ!”
เมื่อกี้นางไม่ทันสังเกต แต่เมื่อดูอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าต้นหญ้าสีเขียวตรงกลางนั้นล้อมรอบไปด้วยพลังเทพ เพียงแต่พลังนั้นเจือจางอย่างมาก หากไม่สังเกตคงไม่สามารถเห็นได้
ต้นหญ้านี้มีสีเขียวกว่าต้นอื่นๆ อีกทั้งมีรูปลักษณ์ไม่แตกต่างจากวัชพืชรอบด้าน นางเดินขึ้นหน้าสองก้าว ก่อนจะลองสัมผัสดู พบว่าเป็นพลังเทพจริงๆ แต่เหตุใดที่นี่จึงมีพรรณไม้เทพ?
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สีหน้าของท่านอาวุโสดูหนักใจมากยิ่งขึ้น “อาจารย์อวิ๋น นี่คือพรรณไม้เทพจริงหรือ”
“ใช่!” นางพยักหน้า
พวกเขาสบตากัน ก่อนที่หัวหน้าห้องเจียวจะถามขึ้น “อาจารย์อวิ๋นดูออกหรือไม่ ว่าสวรรค์มีแผนการอะไร”
“ฮะ?” หมายความว่าอย่างไร