บทที่ 218: สามตัวเลือก

โบราณคดีนั้นเป็นหัวข้อที่ยากจะหาข้อสรุป แม้แต่ในอดีตชาติของโรเอลเอง นักโบราณคดีก็ยังโต้เถียงกันอย่างดุเดือดทุกครั้งเกี่ยวกับสิ่งของต่าง ๆ ที่พวกเขาขุดขึ้นมาได้

แม้ว่าอายุขัยเฉลี่ยของผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นจะมากกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตรวจเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายศตวรรษก่อน

ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ไวน์เห็ดถูกผลิตขึ้นครั้งแรกที่ชายแดนของจักรวรรดิออสทีนโบราณในยุคที่สอง ซึ่งรสชาติของไวน์เห็ดก็แย่มาตั้งแต่ในตอนนั้นแล้ว

ประการแรก คนสติดีที่ไหนจะกลั่นแอลกอฮอล์จากเห็ด? และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเห็ดที่ใช้กลั่นไวน์เห็ด ยังเป็นเห็ดสายพันธุ์พิเศษที่รู้จักกันในชื่อ ชานซ์ มันเป็นเห็ดที่มีสีสันสดใส และทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยเมื่อบริโภคเข้าไป

อันที่จริงเห็ดชานซ์นั้นมีพิษอ่อน ๆ

ผู้คนในสมัยนั้นใช้เห็ดชานซ์ในการกลั่นไวน์ ไม่ใช่เพราะว่าสมองของพวกเขาทำงานผิดปกติแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าคนสมัยนั้นยากจนขาดแคลนอาหาร

ดินแดนของจักรวรรดิออสทีนโบราณแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง ถือเป็นยุคทองของอารยธรรมมนุษย์อย่างแท้จริง ทว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในแถบชายแดนภูเขาอันห่างไกล ก็ยังต้องทนทุกข์กับมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ไม่ดีนัก การขาดผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ ทำให้ผลผลิตและเสบียงของพวกเขามีจำกัด ดังนั้นการกลั่นไวน์จากเมล็ดพืชจึงเป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินไป

ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่มีธัญพืชให้ใช้ พวกเขาจึงใช้วัตถุดิบอื่นบนภูเขาแทน หลังจากลองผิดลองถูกหลายครั้ง พวกเขาก็คิดว่าเห็ดชานซ์ที่มีพิษอ่อน ๆ นี้คือตัวเลือกที่ดีที่สุด

พวกเขาไม่ได้กินเห็ดชานซ์เป็นอาหารอยู่แล้ว มันจึงไม่ได้มีผลอะไรกับเสบียงอันมีค่า ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการกลั่นยังได้ทำลายพิษ และช่วยให้มันเป็นสิ่งที่ปลอดภัยสำหรับการดื่ม แม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็นเล็กน้อยก็ตามที

อย่างที่นักปรัชญาบางคนเคยกล่าวไว้ในอดีตว่า ‘ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือการนำสิ่งที่ไร้ประโยชน์มาใช้ให้เกิดประโยชน์’ ไม่นานนักไวน์เห็ดจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายสำหรับท้องถิ่นชายแดนและบนภูเขา

กระทั่งในช่วงปีแรก ๆ ของยุคที่สามหลังจากมนุษยชาติย้ายมาทางตะวันตกของทวีปเซีย เนื่องจากอารยธรรมมนุษย์ถดถอยลงอย่างมาก ทำให้เสบียงขาดแคลนอย่างรุนแรง คนส่วนใหญ่จึงกลับไปผลิตไวน์เห็ด เพื่อสนองความอยากในแอลกอฮอล์ของพวกเขา

แม้ว่าไวน์เห็ดจะเลื่องชื่อด้วยราคาที่ต่ำ และสามารถผลิตได้ง่ายในช่วงเวลาอันยากลำบาก แต่มันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความโหดร้ายของการคัดเลือกทางธรรมชาติได้ เมื่อความมั่นคงกลับคืนสู่อารยธรรมมนุษย์ และพื้นที่รกร้างได้ถูกพัฒนาจนเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่เพาะปลูกอันอุดมสมบูรณ์ มาตรฐานการครองชีพก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถผลิตไวน์ประเภทอื่น ๆ ได้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไวน์เห็ดก็ปรากฏชัดอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือรสชาติของมัน

ไม่ว่าจะดัดแปลงสูตรอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถขจัดรสชาติอันแปลกประหลาดที่เกิดจากเห็ดหมักออกไปได้ ทำให้คนส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นไวน์ทดแทนที่ด้อยกว่าไวน์ปกติ ดังนั้นเมื่อสภาพแวดล้อมดีขึ้น มนุษย์ก็แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าโดยธรรมชาติ และปฏิเสธที่จะกลับไปดื่มไวน์เห็ดที่ทำอย่างหยาบ ๆ นี้ไป

“งั้นพวกเขาก็เลิกผลิตไวน์เห็ดกันแล้วเหรอ?”

“ไม่มีโรงกลั่นเบียร์ที่มีชื่อเสียงที่ไหนผลิตไวน์เห็ดอีกต่อไปแล้วครับ มีเพียงแค่ชาวภูเขาที่ยังผลิตพวกมันอยู่บ้างเป็นครั้งคราว บริเวณใกล้ ๆ ป่าเครอนมีหมู่บ้านชื่อ พอนเดเร่ ซึ่งเคยผลิตไวน์นี้เมื่อหลายศตวรรษก่อนตั้งอยู่ ที่นั่นมีซากโรงเบียร์ที่เคยใช้ผลิตไวน์เห็ดในสมัยนั้นตั้งอยู่ครับ”

นี่ถือว่าเป็นโชคดีของโรเอล โดยทั่วไปแล้วโรงเบียร์ที่หยุดการผลิตไปแล้วเมื่อหลายศตวรรษก่อนนั้นควรจะถูกรื้อถอนไปหมดแล้วในตอนนี้ อย่างไรก็ตามชาวบ้านสมัยนั้นได้สร้างโรงเบียร์นี้จากหินที่มีความทนทาน อีกทั้งพวกเขายังไม่สามารถทำใจทำลายโรงเบียร์นี้ทิ้งได้เนื่องจากรู้สึกผูกพันกับมัน มันจึงถูกใช้เป็นที่ทำการของหัวหน้าหมู่บ้าน และคลังอาวุธของทหารอาสาสมัครในท้องที่อยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะกลายเป็นคลังเก็บของของโบสถ์ในปัจจุบัน

โชคดีที่โรงเบียร์อยู่ภายใต้เขตอำนาจของหัวหน้าหมู่บ้าน ดังนั้นขั้นตอนการถ่ายโอนจึงมีรายละเอียดที่ค่อนข้างชัดเจน หน่วยข่าวกรองจึงเข้าไปสอบถามรายละเอียดได้ค่อนข้างง่าย หลังจากการซักถามข้อมูลมาจากผู้คนในท้องที่ พวกเขาก็ได้รู้ว่าโรงเบียร์นี้ได้หยุดการผลิตไปเมื่อประมาณ 350 ปีก่อน ซึ่งเป็นยุคเดียวกับที่สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์โลก

“นอกจากนี้ เรายังได้ยินข่าวลือว่าไวน์เห็ด เคยถูกเรียกว่า ‘ไวน์มนุษย์หมาป่า’ และ ‘น้ำค้างของมนุษย์หมาป่า’ ด้วยครับ”

“น้ำค้างของมนุษย์หมาป่างั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ ข่าวลือมาจากเหล่านักล่าที่เข้าไปในป่าเครอน พวกเขาได้พบกับตู้สินค้าที่เคยบรรจุไวน์เห็ดอยู่บ่อย ๆ เป็นครั้งคราว ทำให้พวกเขาเชื่อกันว่า มนุษย์หมาป่านั้นชื่นชอบไวน์เห็ด ซึ่งนำไปสู่ชื่อเล่นว่า ‘น้ำค้างของมนุษย์หมาป่า’ ครับ”

“เข้าใจแล้ว…”

โรเอลอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเทรนท์ขี้เมา เด็กชายรู้สึกว่าเขาอาจจะรู้ความจริงเบื้องหลังข่าวลือนี้ และด้วยข้อมูลที่เขารวบรวมมาได้นั้น ทำให้โรเอลมีแผนการคร่าว ๆ แล้วว่า ขั้นตอนต่อไปที่เขาต้องทำคืออะไร

ก่อนอื่นโรเอลควรไปที่หมู่บ้านพอนเดเร่เพื่อหาไวน์เห็ด หลังจากนั้นก็รวบรวมข้อมูลจากคนในหมู่บ้านพอนเดเร่ และเดินทางไปยังทางใต้มุ่งหน้าสู่ป่าเครอน

ขณะนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แม้โรเอลไม่ค่อยแน่ใจนักว่าพวกเทรนท์มีนิสัยใจคออย่างไร แต่พวกเขาก็น่าจะมีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติในฤดูใบไม้ผลิ แต่ปัญหาก็คือ เขาจะติดต่อกับเทรนท์ขี้เมาได้อย่างไร? เดินไปรอบ ๆ ป่าแล้วตะโกนเรียกอีกฝ่ายงั้นเหรอ?

จะว่าไปแล้ว ต้นไม้ดื่มไวน์เห็ดได้ยังไงกัน ดูดไวน์โดยใช้รากงั้นเหรอ? นอกจากนี้เห็ดเองก็เติบโตบนต้นไม้ การดื่มไวน์ที่หมักโดยใช้เชื้อราที่เติบโตบนร่าง มันไม่ต่างจากการที่มนุษย์…

“แหวะ!”

แค่จินตนาการถึงภาพอันน่าสยดสยองก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โรเอลหยุดคิดต่อ เขารีบหยุดความคิดนั้น และเบนความสนใจไปที่เรื่องอื่น … เช่น เขาควรพาคนไปด้วยกี่คน และเขาจะไปที่นั่นได้อย่างไร

โรเอลไม่ค่อยเชื่อข่าวลือที่ว่ามีมนุษย์หมาป่าอยู่ในป่าเครอน แต่ชื่อเสียงที่ไม่ดีของมันก็น่าจะมีเหตุผลบางอย่างเบื้องหลัง นอกจากนี้ยังมีบันทึกว่ามีสัตว์อสูรมากมายโผล่ออกมาจากป่าเครอน ดังนั้นที่นี่จึงถือเป็นสถานที่อันตรายจริง ๆ ไม่ผิดแน่ อีกทั้งเด็กชายก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องเข้าไปในป่าเครอนลึกแค่ไหนถึงจะได้เจอกับเทรนท์ขี้เมา ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

อีกตัวแปรที่สำคัญก็คือป่าเครอนนั้นตั้งอยู่ติดกับดินแดนแห่งความโกลาหลแทนเซ่น ที่ซึ่งพวกนอกรีตและลัทธิชั่วร้ายมารวมตัวกัน แม้ว่าคนเหล่านั้นไม่ค่อยเดินทางออกจากดินแดนแห่งความโกลาหล แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะสร้างจุดลาดตระเวนหรือฐานบางอย่างในป่าเครอน ถ้าโรเอลเข้าไปสำรวจภายในป่า มันก็มีโอกาสที่เด็กชายจะต้องปะทะกับพวกเขาเหล่านั้น

การต่อสู้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องพบกับลัทธิชั่วร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรเอล ซึ่งเป็นขุนนางของจักรวรรดิเซนต์เมซิท โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและลัทธิชั่วร้ายถือเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ โรเอลจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาได้รวบรวมกลุ่มคนที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ สำหรับการเดินทางครั้งนี้

ซึ่งตอนนี้โรเอลก็มีอยู่สามตัวเลือก

ตัวเลือกที่หนึ่ง โรเอลสามารถเกณฑ์ทหารจากเขตการปกครองแอสคาร์ดให้ไปด้วยกันกับเขาได้ ข้อดีก็คือเด็กชายสามารถมั่นใจในความแข็งแกร่ง ความจงรักภักดี และวินัยของทหารเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี แต่ข้อเสียก็คือพวกเขาต้องใช้เวลานานในการเดินทางมาที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะต้องได้รับอนุญาตจากคาร์เตอร์ ทำให้ขั้นตอนการส่งมอบกองทัพนั้นลำบากมาก

ที่สำคัญก็คือ ป่าเครอนนั้นไม่ได้อยู่ใกล้กับเขตการปกครองแอสคาร์ดเลย ทำให้กองทัพของเขาต้องผ่านเมืองโรซ่าเพื่อไปที่นั่น ซึ่งบรูซเองก็คงไม่อนุญาตให้กองทัพต่างอาณาจักรเข้ามาในดินแดนของโรซ่าโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรได้ง่าย ๆ แน่ มิฉะนั้นคงจะมีการทักท้วงมาจากคนอื่น ๆ ในสภา

ตัวเลือกที่สอง โรเอลสามารถขอความช่วยเหลือจากนอร่าได้ ไม่มีทางที่องค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะเดินทางออกนอกอาณาจักรโดยไม่มีองครักษ์เดินทางไปด้วย นอกจากนี้เธอยังมากับบิชอปฟิลิปในครั้งนี้เสียด้วย ซึ่งเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงที่โรเอลเคยพบมาก่อน กองกำลังของเธอมีจำนวนไม่มากนัก ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางไปที่ต่าง ๆ ได้โดยไม่เป็นจุดสนใจเท่าไหร่นัก

ทว่า ข้อเสียก็คือภูมิหลังของคนเหล่านี้ยิ่งใหญ่เกินไป ทำให้ยากสำหรับโรเอลที่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา นอกจากนี้นอร่าเองก็เพิ่งบอกเขาเมื่อวานนี้ว่าเธอจะต้องกลับไปที่แนวหน้าในไม่ช้า ดังนั้นมันจึงไม่สะดวกเท่าไหร่ที่โรเอลจะขอยืมคนของเธอไป

ตัวเลือกที่สาม โรเอลสามารถขอความช่วยเหลือจากชาร์ล็อตได้ ป่าเครอนติดกับอาณาเขตของเมืองโรซ่า ทำให้มันสะดวกมาก ๆ สำหรับเมืองโรซ่าที่จะส่งทหารของพวกเขาไป ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะที่เป็นอาณาจักรแห่งการค้าขาย ทำให้เมืองโรซ่ามักจะส่งขบวนพ่อค้าจำนวนมากไปยังจักรวรรดิออสทีน จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะไปเยี่ยมชมหมู่บ้านพอนเดเร่ เพื่อซื้อไวน์เห็ด

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โรเอลกังวลก็คือความภักดีของทหาร เป็นที่ทราบกันดีว่าเมืองโรซ่าต้องพึ่งพาพวกนอกรีตเป็นกำลังทหาร มันคงจะเป็นเรื่องโง่มากหากโรเอลจะคาดหวังให้พวกเขาจงรักภักดีต่อเขา ในตอนที่ต้องเผชิญกับอันตราย

ท้ายที่สุดแล้ว แม้เงินจะมีค่า แต่มันก็ไม่มากเท่ากับชีวิต

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว โรเอลก็ตัดสินใจที่จะกำจัดตัวเลือกแรกไป แต่เด็กชายไม่สามารถตัดสินใจระหว่างตัวเลือกที่สองกับตัวเลือกที่สามได้… จนกระทั่งเสียงของเปตราดังขึ้นในหัวของเขา

“เจ้าหนู เจ้ายังไม่รับผู้ศรัทธาของข้าเป็นพรรคพวกอีกงั้นเหรอ?”

“เธอมีผู้ศรัทธาด้วยเหรอ? เยี่ยมไปเลย! พวกเขาอยู่ที่ไหนกันล่ะ? เธอเรียกพวกเขามาหาฉันได้ไหม?”

“หมายความว่ายังไง? พวกเขาอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ?… เจ้ามองไม่เห็นทหารที่ยืนอยู่รอบ ๆ ตัวเจ้ารึไง?”

เทพธิดาแห่งผืนปฐพีถามด้วยความสงสัย