ตั้งแต่ร่างแผนการสิบปีของเสวียนเหมิน เพื่อยกระดับมาตรฐานความสามารถ และเผยแพร่ความรู้ให้ทั่วถึงแล้ว ในช่วงนี้อวิ๋นเจี่ยวมีเวลาว่างอย่างไม่เคยมีมานาน นอกจากไปสอนที่สำนักเทียนซือสัปดาห์ละสองถึงสามครั้งแล้ว นางก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก
อีกทั้งเรื่องของท่านมหาเทพทักษิณสวรรค์จบสิ้นลงแล้ว โลกสวรรค์เองก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อาจกำลังวุ่นวายกับการเก็บกวาดอำนาจที่หลงเหลือของทักษิณสวรรค์ จึงทำให้ไม่มีเวลาสนใจเสวียนเหมิน โลกมนุษย์เองก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
แม้แต่สำนักเทียนซือก็ได้รับภารกิจไหว้วานน้อยลง ช่วงก่อนเจ้าสำนักสวียังบ่นกับนางอยู่ว่าโอกาสการฝึกฝนของลูกศิษย์นับวันยิ่งน้อยลง ให้นางคิดหาวิธี ดูว่าจะพัฒนาความสามารถของลูกศิษย์ได้อย่างไรบ้าง อีกทั้งหลังจากเขารับเรื่องที่ชายแก่เป็นตัวแทนยมราชได้แล้ว เขาก็ให้ชายแก่ส่งยมทูตหรือราชาผีออกมาสอนลูกศิษย์
ชายแก่กลายเป็นอาจารย์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในสำนักเทียนซือ นอกจากนี้การกระทำของชายแก่ทำให้ราชาซิวหลิงเกิดความสนใจขึ้นมาตามกัน ถึงขั้นส่งวิญญาณมารออกมาช่วยด้วยในบางครั้ง สุดท้ายไม่ว่าจะลูกศิษย์เสวียนเหมิน หรือว่ายมทูตราชาผี หลังจากผ่านการประลองฝีมือแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีการพัฒนาขึ้น ทำให้ยมราชท่านอื่นก็เข้าร่วมด้วย
ด้วยเหตุนี้สำนักเทียนซือยังจัดเวทีการประลองเพื่อสายมิตรภาพอันดีระหว่างสองโลกขึ้นมา เวทีตั้งอยู่ในสำนักเทียนซือ ไม่ว่าคนหรือผีล้วนสามารถขึ้นมาประลองได้ ในเวลานั้นทำให้สองโลกไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิด ลูกศิษย์เสวียนเหมินในตอนนี้ หากไม่รู้จักยมทูตคนสองคนก็ไม่เรียกว่าฝึกฝนแล้ว!
ตอนที่อวิ๋นเจี่ยวรู้เรื่องนี้ ภายในสำนักเทียนซือก็เต็มไปด้วยยมทูตที่ถือโอกาสหยุดพักออกมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์แล้ว นางไม่ได้ห้ามอะไร เพียงแต่เตือนชายแก่ว่า ถึงเวลาจำหน่ายยันต์ปิดบังพลังวิญญาณในคลังออกไปได้แล้ว คงมีลูกศิษย์จำนวนมากในโรงเรียนต้องการ
นางคำนวณรายรับครึ่งปีมานี้ ทันใดนั้นรู้สึกปลาบปลื้มอย่างยิ่ง หากราคาสิ่งของไม่ขึ้น หลายสิบปีข้างหน้านางคงจะได้นอนหลับสบายใจแล้ว หาก…ไม่มีคนมานอนอยู่ในห้องนางแล้วไม่ยอมไป
อวิ๋นเจี่ยวหันไปมองคนที่พลางเคี้ยวขนม พลางขยับเข้าใกล้มาจับมือของนาง นางถอนหายใจทีหนึ่ง “อาจารย์ปู่ ดึกมากแล้ว!”
“อืม” อีกฝ่ายตอบกลับ แต่มือของเขากลับเบียดเข้าระหว่างนิ้วของนางไป จนกระทั่งมือของทั้งคู่จับกัน
“ควรนอนแล้ว!” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้นอีกครั้ง
เขาตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่ต้องนอน”
“…” อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุก ท่านไม่ต้อง ข้าต้อง! ดึกขนาดนี้แล้วท่านยังไม่กลับเจดีย์ไป เหมาะสมเหรอ?!
มองดูคนที่ดื้อดึงจะอยู่ในห้องนางไม่ยอมกลับไป นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่กำลังจะคุยกับอีกฝ่ายด้วยเหตุผล
พลังวิญญาณแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งลอยเข้ามาจากข้างนอก เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “ศิษย์น้องอวิ๋น เจ้าช่วยข้า…” เถิงสีลอยเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน ก่อนจะเงยหน้าพบกับคนที่ทำหน้าเย็นชานั่งอยู่
คำพูดของเขาชะงักไปทันที ก่อนจะทำการคารวะอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ “อาจารย์ปู่”
เยี่ยยวนไม่ได้ตอบ เพียงแต่รังสีความเย็นบนตัวหนักขึ้น ทำให้เถิงสีรับรู้ถึง…แรงอาฆาต?
ไม่ๆๆ ! เขาต้องคิดไปเองแน่ๆ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ปู่มาอยู่ในห้องศิษย์น้องอวิ๋นตอนดึก อีกทั้งยังนั่งเบียดอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน แต่ในฐานะที่ถูกอาจารย์ล้างสมองมาตั้งแต่เด็กถึงความเก่งกาจของอาจารย์ปู่ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้
อืม! ต้องใช่แน่!
“ศิษย์พี่เถิงสี” อวิ๋นเจี่ยวผงะ เนื่องจากเวลาพักผ่อนของยมโลกและโลกมนุษย์แตกต่างกัน ดังนั้นหากคนด้านล่างต้องการขึ้นมาหานาง โดยปกติแล้วจะส่งสารมาทักทายก่อนตอนกลางวัน หากมากะทันหันอย่างเถิงสี นอกเสียจากว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวชักมือของตนเองกลับมา พร้อมลุกขึ้นรินน้ำชาให้เขา
เถิงสีรู้สึกอุณหภูมิในห้องลดลงไปอีก แต่เขาเป็นคนไม่คิดอะไร หลังจากรับน้ำชามาก็นั่งลงที่ด้านข้างของทั้งสองคน “มีเรื่องด่วน” เขาดื่มน้ำคำหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างร้อนรน “เขตหมิ่นเฟินของข้ามีสหายท่านหนึ่งหายตัวไป สหายที่สนิทสนมกับเขาบอกว่า สามวันก่อนหลังจากที่เขาได้ยินว่ามีการจัดเวทีประลองที่โลกมนุษย์ให้วิญญาณและลูกศิษย์เสวียนเหมินได้ประลองกัน เขาจึงเกิดความอยากรู้จึงขึ้นมาโลกมนุษย์ แต่จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่ได้กลับไป”
“มีเวทีการประลองที่ว่าอยู่จริง” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “เวทีนั้นเป็นฝีมือของพวกชายแก่ เพียงแต่เวทีการประลองเปิดทุกเจ็ดวัน หากเขาขึ้นมาสามวันก่อน มีความเป็นไปได้ว่ายังไม่เริ่มประลอง” อาจยังอยู่ที่สำนักเทียนซือ
“ข้าก็ได้ยินกติกานี้มาเหมือนกัน” สีหน้าของเถิงสีดูกระวนกระวายมากขึ้น “แต่เมื่อวานลูกศิษย์ที่เฝ้าดูตะเกียงวิญญาณบอกว่า ตะเกียงวิญญาณของสหายท่านนี้เกิดความเคลื่อนไหวผิดปกติ ไฟในตะเกียงอ่อนลงราวกับกำลังจะดับ!”
“อะไรนะ!” อวิ๋นเจี่ยวตะลึง ตะเกียงวิญญาณของวิญญาณแตกต่างจากของคนเป็น ตะเกียงวิญญาณของคนเป็นหากดับไปแสดงว่าคนนั้นเสียชีวิตแล้ว แต่หากตะเกียงวิญญาณของวิญญาณดับไป แสดงว่า…วิญญาณสลาย
“เขาต้องเผชิญกับอันตรายเป็นแน่ ดังนั้นอาจารย์จึงให้ข้าขึ้นมาตามหาคน” เถิงสีพูดอย่างเป็นกังวล “พวกข้าติดต่อเขาไม่ได้เลย ศิษย์น้องอวิ๋น เจ้ารู้จักคนในเสวียนเหมินมาก เจ้าช่วยข้าตามหาสหายท่านนี้ได้หรือไม่”
“ได้ สหายท่านชื่ออะไร” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะถาม
“ลั่วคายหยวน!”
อวิ๋นเจี่ยวหยิบยันต์ส่งสารออกมา ก่อนที่จะถามท่านอาวุโสที่ดูแลเวทีการประลองก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นลองถามในกลุ่มส่งสารของโรงเรียนว่ามีใครเคยพบเห็นวิญญาณที่ชื่อลั่วคายหยวนหรือไม่
แต่ที่น่าแปลกคือ ไม่มีคนเคยพบคนนี้แม้แต่คนเดียว แม้แต่ท่านอาวุโสที่ดูแลประตูระหว่างสองโลกก็ไม่พบชื่อของคนนี้อยู่ในรายชื่อเข้าออกเขตแดน
“เป็นไปไม่ได้” เถิงสีทำหน้าเหลือเชื่อ “วันนั้นมีสหายหลายท่านเห็นเขาข้ามประตูมายังโลกมนุษย์กับตา ทำไมถึงไม่เคยไปสำนักเทียนซือ”
“สมุดรายชื่อสำนักเทียนซือน่าจะไม่มีปัญหา” อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น “ตอนนี้ไม่มีชื่อของเขา มีความเป็นไปได้สองอย่าง หากเขาไม่ใช้ชื่อปลอม ก็คือเขาไม่เคยมาสำนักเทียนซือ” อันที่จริงแล้วนางคิดว่าเป็นแบบที่สองมากกว่า เพราะว่าประตูที่ใช้สำหรับข้ามมายังสำนักเทียนซือ ล้วนเป็นฝีมือของยมราชแต่ละเมือง ทางยมโลกมียมทูตเฝ้าอยู่ ในมือของยมทูตมีสมุดบันทึกความเป็นความตาย เรื่องการปลอมชื่อคงยากที่จะเกิดขึ้น
เถิงสีเองก็คิดเหมือนกัน เขายิ่งกระวนกระวายมากขึ้น “เช่นนี้จะทำอย่างไร”
“หรือข้าลองถามลูกศิษย์สำนักอื่นว่าเคยพบเห็นเขาหรือไม่” พูดจบนางก็ส่งสารไปยังเจ้าสำนักของแต่ละสำนัก พร้อมทั้งเล่าเรื่องวิญญาณหายตัวไปให้พวกเขารับรู้
ความสัมพันธ์ระหว่างสองโลกเพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญของเสวียนเหมิน แม้แต่เจ้าสำนักที่ถูกปลุกขึ้นมาก็รีบลุกขึ้น พร้อมทั้งบอกว่าจะให้ลูกศิษย์ออกไปตามหาคน…อ่อ ไม่ใช่ ตามหาวิญญาณ
ทั้งสองคนจึงได้แต่รอผลอย่างใจเย็น ในขณะที่อวิ๋นเจี่ยวกำลังคิดจะถามถึงสถานการณ์ของลั่วคายหยวนนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากยันต์ส่งสารอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งยังปนไปด้วยความลังเลและประหม่า
“อาจารย์อวิ๋น…ท่านอยู่หรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
คำทักทายที่ใช้นี้คืออะไรกัน