อวิ๋นเจี่ยวก้มหน้ามอง เห็นเพียงแต่ยันต์ส่งสารภายในมือส่องประกายคำว่า “ถัง” ขึ้นมา เป็นสัญลักษณ์ว่าอีกฝ่ายของยันต์ส่งสารคือถังอี้นายท่านตระกูลถัง อีกทั้งยังเป็นการสื่อสารส่วนตัว เพียงแต่เสียงที่ส่งออกมาเหมือนจะเด็กกว่าถังอี้มาก เธอตระหนักได้ทันที “ถังเฉิน?”
“อาจารย์อวิ๋น ข้าเอง!” อีกฝ่ายรีบตอบกลับอย่างดีใจ
“เหตุใดยันต์ส่งสารของถังอี้ถึงไปอยู่ที่เจ้า” อวิ๋นเจี่ยวถาม
“ข้าอาศัยช่วงที่พ่อข้าหลับขโมยออกมา เขาไม่ทันสังเกต!” ถังเฉินใช้น้ำเสียงภาคภูมิใจตอบกลับ ไม่มีทีท่ารู้สึกผิดแต่อย่างใด “อาจารย์อวิ๋น ข้ามีเรื่องด่วนอย่างมาก ตอนนี้ท่านเปิดข่ายพลังขนส่งจากตระกูลถังไปชิงหยางได้หรือไม่ เรื่องนี้ข้าต้องพูดต่อหน้า”
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองเถิงสีอย่างไร้คำพูด ทำไมมีแต่คนมีเรื่องด่วน อีกทั้งยังล้วนเลือกพูดในเวลากลางคืนอีก คิดจะเปิดโต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกหรือไง
เมื่อคิดว่าเจ้าสำนักของแต่ละท่านต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะตอบกลับได้ เธอจึงหยิบยันต์ออกมาใบหนึ่งเพื่อเปิดข่ายพลังขนส่งด้านหลังตำหนัก จากนั้นพูดขึ้น “เสร็จแล้ว เจ้าข้ามมาเถอะ!”
คำว่าถังบนยันต์ส่งสารดับลงไป เวลาผ่านไปชั่วพริบตา ก็เห็นถังเฉินเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ อีกทั้งยังสวมชุดสีดำราวกับต้องการอำพรางตัว ท่าทางไม่เหมือนมาปรึกษาหารือ แต่กลับเหมือนมาขโมยของ
ดวงตาของเขาลุกวาวทันทีที่เห็นอวิ๋นเจี่ยว เขาขานเรียกอีกฝ่าย “อาจารย์อวิ๋น!” จากนั้นมองเห็นเยี่ยยวนที่อยู่ด้านข้าง เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ปู่ของอาจารย์ เขาจึงรีบทำการคารวะทันที “ท่านอาวุโส”
เยี่ยยวนไม่สนใจอีกฝ่าย เพียงแต่สายตาที่จับจ้องไปยังอวิ๋นเจี่ยวเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่กำลังจะล้นออกมา เหตุใดถึงมีผู้ชายมาหาเจ้าในยามดึกมากเช่นนี้?! เมื่อกี้เจ้ายังไล่ข้าไปอีก!!
อวิ๋นเจี่ยวถูกเขาจ้องมองจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย จึงทำได้เพียงยืนมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ จึงได้ปลอบประโลมอารมณ์ของอีกฝ่ายสำเร็จ ส่วนมืออีกฝ่ายยื่นถ้วยน้ำชาที่เพิ่งรินเสร็จไปให้ทางขวามือ พร้อมกับส่งสัญญาณให้ถังเฉินนั่งลง
ถังเฉินจึงได้นั่งลง อาจเป็นเพราะทุกคนนั่งอยู่ จึงไม่ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมเล็กๆ ของทั้งสองคนใต้โต๊ะ
“เจ้ามาหาข้าดึกเช่นนี้ มีเรื่องอะไร” ตามหลักแล้วถังเฉินเป็นลูกชายของถังอี้ เธอเคยสอนข่ายพลังให้เจ้าสำนักแต่ละสำนัก เธอจึงมีฐานะเทียบเท่ากับพ่อของเขา ปกติหากมีเรื่องก็มักจะส่งผ่านพ่อของเขามายังเธอ แม้แต่เรื่องการรักษาครั้งที่แล้วก็เป็นพ่อของเขาที่พูดขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่ถังเฉินมาหาเธอด้วยตนเอง
ถังเฉินรับชาที่เธอยื่นให้ ก่อนจะมองเถิงสีที่อยู่ด้านช้างด้วยสีหน้าลำบากใจ อาจเป็นเพราะตัวตนของอีกฝ่าย ทำให้เขาลังเลเล็กน้อย
“เขาเป็นศิษย์พี่ของข้า” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย “ไม่เป็นอะไร เจ้าพูดมาเถอะ”
ถังเฉินกำมือข้างตัวแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที จากนั้นหยิบลูกแก้วลูกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อข้างตัววางไว้บนโต๊ะ “หลายวันก่อน ตอนที่ข้าไปหลานเซ่อกวาดล้างวิญญาณอาฆาต ข้าพบสิ่งนี้บนตัวของผีร้ายนั้น”
อวิ๋นเจี่ยวมองพินิจดูอย่างละเอียด พบว่าลูกแก้วนั้นมีลักษณะสีขาวสะอาด ด้านบนมีลายเส้นสีเทา “สิ่งนี้มีอะไรพิเศษหรือ” เธอหยิบลูกแก้วขึ้นมา พบว่าด้านบนไม่มีพลังพิเศษอะไร เป็นเพียงลูกแก้วธรรมดา ดังนั้นจึงวางกลับไป ดูเหมือนว่ามันจะเป็นลูกแก้วหยกที่คุณภาพไม่ดีนัก
“ตอนแรกข้าก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษ” ถังเฉินขมวดคิ้วมุ่น สายตาที่จับจ้องไปยังลูกแก้วเต็มไปด้วยความหวาดเกรง ราวกับกำลังมองสัตว์ร้ายอะไรบางอย่าง “จนกระทั่งเลือดของข้าหยดลงบนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ…”
อวิ๋นเจี่ยวเห็นเขาหยุดชะงักลง จึงเอ่ยถามขึ้น “ลูกแก้วนี้กินเลือด?”
“ไม่ใช่! แต่ภายในลูกแก้ว…” เขาส่ายหัว สีหน้าร้อนใจเล็กน้อย ราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สักพักเขากัดฟันพร้อมพูดขึ้น “ข้าสาธิตให้ท่านดู ท่านก็จะเข้าใจ” เขายกมือข้างหนึ่งจับไปบนไหล่ของเถิงสี จากนั้นยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา พร้อมพูดด้วยท่าทางจริงจัง “อาจารย์ยื่นมือมาให้ข้า” ไม่รออวิ๋นเจี่ยวตอบตกลง เขาก็รีบคว้ามือของเธอไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว!” อวิ๋นเจี่ยวตะลึง เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
คนที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างสีหน้าดำลง ก่อนจะตบลงบนฝ่ามือที่ถังเฉินยื่นออกมา ได้ยินเพียงเสียงแคร่กสองที ก่อนที่หน้าโต๊ะจะแยกออกจากกัน และแหลกสลายกลายเป็นเศษไม้ ร่างตรงหน้าหายวาบไปในทันที
คิดว่าข้าตายไปแล้วหรือไง?!
(╰_╯)
อวิ๋นเจี่ยว: “…” มือข้ายังจับกระถางน้ำส้มสายชูอยู่ อีกทั้งยังเป็นน้ำส้มสายชูที่หมักเอาไว้นานแล้ว
เธอมองออกไปยังกำแพงด้านนอกตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่าด้านบนไม่มีร่างที่ต้องการแงะออกมา แม้แต่เถิงสีที่อยู่ตรงข้ามก็หายไป
“เอ๊ะ? คนละ?!” พวกเขาไม่ถูกอาจารย์ปู่ตบออกไป? เธอมองดูรอบด้าน แต่ก็ยังไม่พบร่างของทั้งสองคน จึงทำได้เพียงมองไปยังคนด้านข้าง “อาจารย์ปู่?”
บนใบหน้าของเยี่ยยวนยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะหันหน้าเหลือบมองมุมกำแพงทีหนึ่ง “ตรงนั้น”
“ฮะ?” อวิ๋นเจี่ยวมองดูมุมกำแพงที่ไร้ร่างของคนทั้งสอง นาทีถัดมามิติทางนั้นกลับมีการเคลื่อนไหว เถิงสีและถังเฉินที่หายตัวไปปรากฏอยู่บริเวณมุมกำแพง เพียงแต่สีหน้าของเถิงสีเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ส่วนถังเฉิน…กำลังจับข้อมือที่หลุดออกไปของตนเอง
“…”
“เกิดอะไรขึ้น” อวิ๋นเจี่ยวโบกมือให้ถังเฉินเข้ามารักษา พลางถาม “พวกเจ้าเคลื่อนไหวไปที่นั่นอย่างกะทันหันหรือ” ทั้งที่เมื่อกี้ยังอยู่ข้างโต๊ะอยู่เลย
ถังเฉินมองเยี่ยยวนอย่างหวาดกลัว แต่ก็ยังคงเดินเข้ามา ในขณะที่กำลังจะอธิบาย เถิงสีกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง “ไม่ใช่ ศิษย์น้องอวิ๋น เมื่อกี้พวกข้าไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ทิวทัศน์ที่นั่นพวกข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
“ขนส่ง?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ
“ไม่ใช่…” เถิงสีทำหน้าลำบากใจราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก่อนจะพูดขี้น “ศิษย์น้องเจ้าลองไปดูก็รู้เอง หรือไม่…”
“มิติเม็ดทรายเท่านั้น” อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ เยี่ยยวนที่ทำหน้าไม่พอใจอยู่ด้านข้างก็พูดแทรกขึ้น สายตาเย็นชาผ่านคนทั้งสอง ก่อนจะหยุดลงบนตัวของถังเฉิน บังอาจคิดจะจับมือศิษย์หลานข้าอีกรอบ ฝันไปเถอะ!
ถังเฉินตัวสั่นเทาอย่างไร้สาเหตุ มีเพียงเขาที่รู้ความน่ากลัวมนฝ่ามือของอีกฝ่าย หากไม่ใช่ขนส่งเข้าไปในลูกแก้วพอดี มือของเขาข้างนั้นคงไม่ได้แค่กระดูกหัก แต่คงได้พิการเป็นแต่
“มิติเม็ดทราย?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ แม้แต่การรักษาก็ชะงักไป เธอเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ปู่ ก่อนจะถามขึ้น “อะไรคือมิติเม็ดทราย”
เยี่ยยวนโบกมือหนึ่งที ลูกแก้วที่ถังเฉินนำมาก็ลอยออกมาจากมุมกำแพง เขาหมุนลูกแก้วในมือก่อนจะพูดขึ้น “คือของสิ่งนี้ ด้านในมีโลกอีกใบ ถึงแม้จะอยู่ภายในสามโลก แต่กลับอยู่นอกสามโลก”
ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“นี่ถือเป็นวิธีการฝึกฝนอย่างหนึ่ง มีความคล้ายกับย่ามเก็บของ แต่ว่ามิติด้านในใหญ่กว่า สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตได้ ดังนั้นจึงทีโลกที่อิสระอยู่ด้านใน”
อวิ๋นเจี่ยวตะลึง เหตุใดคำอธิบายนี้เหมือนมิติติดตัวในนิยายแฟนตาซี?
ที่แท้นี่ก็คือนิ้วทองที่ตัวเองต้องมี!
(⊙_⊙)