ตอนที่ 44 เฟิงซิ่วไฉ่
“หากไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดเล่า?”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขาดทุนเละเทะเลย” หยุนเชวี่ยนับนิ้วเพื่อคำนวณ “อาหารและน้ำที่เจ้ากิน อีกทั้งค่ายาหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญ…”
หากจะหาเงินหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญก็ต้องขายไก่ฟ้าตัวอ้วนสี่ถึงห้าตัว หยุนเชวี่ยยกยิ้มอย่างขมขื่น หากชายหนุ่มคนนี้เป็นอันธพาล นางคงไม่ช่วยเหลือเด็ดขาด!
“หากข้าไม่มีเงินเงินมาตอบแทนเจ้า ข้าจะเป็นวัวเป็นม้าให้เชวี่ยเอ๋อเอง” ชายหนุ่มหรี่ตามองนางพร้อมฉีกยิ้มกว้าง
“พูดได้ดี แต่หากเจ้ายังป่วยอยู่อย่างนี้คงทำงานไม่ได้” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกินอาหารเสร็จแล้ว หยุนเชวี่ยจึงถอดเสื้อของเขาออก “ข้าขอดูแผลหน่อย”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นอย่างเชื่อฟัง เสื้อของเขาเปิดออกเผยให้เห็นหน้าอกและหัวไหล่ขาวเนียน
“บาดแผลดีขึ้นกว่าเมื่อวานนิดหน่อย” หยุนเชวี่ยเอามืออังหน้าผากของชายหนุ่มพลางขมวดคิ้ว “แต่ตัวของเจ้ายังร้อนอยู่…”
ชายหนุ่มบังเอิญสบตากับหยุนเชวี่ย ขนตาดกดำและหนาเป็นแพของนางช่างงดงามยิ่ง ฉับพลันติ่งหูของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
“กินยาแล้วพักผ่อนต่อเถอะ” หยุนเชวี่ยกล่าวพร้อมทำความสะอาดบาดแผลให้ชายหนุ่มอย่างชำนาญ
“เชวี่ยเอ๋อ”
“หืม? มีอะไรหรือ?”
“ช่วยคิดชื่อให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? เผื่อวันหลังเจ้าจะได้เรียกชื่อนั้นกับข้า”
หยุนเชวี่ยผงะไปชั่วครู่ก่อนเงยหน้าขึ้นสบสายตาเว้าวอนเหมือนลูกหมาผู้ซื่อสัตย์ของชายหนุ่ม “เจ้าอยากเป็นคนรับใช้ของข้าจริงหรือ?”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“อืม…” เชวี่ยเอ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าพบเจ้าบนภูเขาในวันที่สิบเอ็ด ถ้าอย่างนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าสืออีแล้วกัน”
“สืออี… ชื่อเพราะดี” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมเผยแววตาอบอุ่น
หยุนลี่เต๋อกลับออกมาจากป่าพร้อมกับซากสัตว์ป่าเต็มตะกร้าไม้ไผ่ ส่วนหยุนเชวี่ยที่เก็บพุทราป่าได้เต็มตะกร้านั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
“เชวี่ยเอ๋อ ดูนี่สิ” หยุนลี่เต๋อชูมือขึ้น
“กระต่าย!” หยุนเชวี่ยรีบลุกขึ้นยืนทันที “กระต่ายตัวเป็น ๆ ท่านพ่อเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”
“การจับสัตว์บนภูเขาต้องใจเย็น ๆ วันนี้ข้าตั้งกับดักห้าถึงหกชุดจนในที่สุดก็ได้มาหนึ่งตัว” หยุนลี่เต๋อมอบกระต่ายให้หยุนเชวี่ย “จับดี ๆ ล่ะ อย่าให้มันหนีไปได้”
“มันคือตัวผู้หรือตัวเมียเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยจับหูกระต่ายพลางมองสำรวจ
“ตัวผู้”
“เยี่ยมไปเลย มันจะได้เป็นคู่กับกระต่ายตัวเมียที่บ้าน” หยุนเชวี่ยลูบขนกระต่าย “ท่านพ่อสร้างกรงกระต่ายที่หลังบ้านให้ข้าหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”
หยุนลี่เต๋อหัวเราะพลางผูกเชือกมัดสัตว์ที่ล่ามาได้ให้แน่นขึ้น “ได้สิ!”
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ทั้งสองพ่อลูกจึงเดินทางกลับบ้าน
“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยตะโกนออกมาอย่างมีความสุข
แม่นางเหลียนที่กำลังจุดฟืนทำอาหารอยู่ในครัวเบิกตากว้างเมื่อเห็นจำนวนสัตว์ที่หยุนลี่เต๋อล่ามาได้
“ท่านล่าสัตว์มาได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร! แล้วนั่นใช่กระต่ายตัวเป็น ๆ หรือไม่?”
“ท่านแม่ทำความสะอาดสัตว์เหล่านี้ให้หน่อยนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าจะเอามันไปส่งในเมืองเอง” ดวงตาของหยุนเชวี่ยเปล่งประกายขึ้นเมื่อนึกถึงจำนวนเงินที่จะได้รับ “เราต้องขายได้เกินหนึ่งร้อยเหรียญแน่เจ้าค่ะ!”
“ท่านพ่อและเชวี่ยเอ๋อ เหนื่อยมากแล้ว” หยุนเยี่ยนวางอาหารที่ปรุงสดใหม่ลงบนโต๊ะเล็ก “รีบไปล้างมือ แล้วมากินข้าวกันเถอะ”
ระหว่างมื้ออาหารเย็น
“เสี่ยวอู่จำสิ่งที่พี่เคยบอกเจ้าได้หรือไม่? เรื่องที่จะให้เจ้าไปเรียนหนังสือกับเฟิงซิ่วไฉ่น่ะ” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามหลังจากตักอาหารเข้าปาก
เสี่ยวอู่พยักหน้า
“อีกสักครู่เราจะไปที่บ้านตระกูลเฟิงด้วยกันนะ ข้าคิดว่าเฟิงซิ่วไฉ่ต้องทดสอบเจ้าแน่นอน เจ้าต้องตั้งใจทำมันให้ออกมาดีด้วยนะเข้าใจหรือไม่?”
เสี่ยวอู่พยักหน้าอีกครั้ง
แม่นางเหลียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล “เชวี่ยเอ๋อ มันจะได้ผลหรือ? คนผู้นั้นมีความสามารถมาก เสี่ยวอู่ของเราจะทำได้หรือ?”
“เสี่ยวอู่เก่งด้านการคำนวณ อีกทั้งฉลาดและความจำดี เขาต้องมีอนาคตไกลแน่นอน!” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางลูบศีรษะของเสี่ยวอู่ “เจ้าต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับพี่สาวนะ”
เมื่อรู้ว่าเสี่ยวอู่จะไปเรียนตำราที่บ้านของเฟิงซิ่วไฉ่ เหอยาโถวก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากจนต้องยกนิ้วให้เขา
“เฟิงซิ่วไฉ่เป็นคนดี เขาไม่เพียงแค่หล่อเหลาและมีกิริยามารยาทงดงามเท่านั้น แต่ยังมีหน้ามีตาในสังคมอีกด้วย หวังหลี่เจิ้งเคยพูดว่าภายภาคหน้าเฟิงซิ่วไฉ่ต้องเป็นขุนนางอนาคตไกลแน่นอน!”
“วันหน้าเจ้าอย่าลืมพูดเยินยอเสี่ยวอู่เช่นนี้ด้วยล่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางกระดิกนิ้วเรียกเหอยาโถว “มานี่สิ”
“หืม?” เหอยาโถวโน้มตัวไปด้านหน้า
หยุนเชวี่ยเอ๋อกระซิบว่า “หากเฟิงซิ่วไฉ่ปฏิเสธล่ะ…”
“ข้าจะไม่ยอมออกจากบ้านของเขาจนกว่าจะตอบตกลง เชวี่ยเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกังวลไป” เหอยาโถวตบหน้าอกพลางกล่าวคำมั่น
ดอกไม้งามแห่งหมู่บ้านไป่ซีไม่ใช่คนที่พูดจาส่งเดช
“พวกเจ้าอย่ากดดันเฟิงซิ่วไฉ่สิ อย่าทำให้เรื่องยุ่งยากนักเลย” แม่นางเหลียนถือจานผลไม้อบแห้งไว้ในมือ “ข้าได้ยินมาจากลุงใหญ่ว่าใกล้ถึงการสอบขุนนางแล้ว เราจะช้าไม่ได้แล้ว”
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวส่งยิ้มให้กันและกัน
หลังจากมื้ออาหารเย็นของครอบครัวเฟิงซิ่วไฉ่ ขณะที่แม่นางหยางกำลังทำความสะอาดจานชามอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกอยู่ด้านนอก
“ท่านป้าอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
“หืม” แม่นางหยางมองไปทางประตูและเห็นว่ามีผู้มาเยือนหกคนกำลังยืนยิ้มให้นางอยู่ที่หน้าประตู นางจึงรีบร้อนออกไปต้อนรับพวกเขา
“ซิ่วไฉ่… อาสองหยุนกับน้าเหลียนมาเยี่ยม รีบเอาน้ำชามาต้อนรับพวกเขาเร็ว!”
“พี่สะใภ้อย่าลำบากเลย” เหลียนซื่อเผยท่าทีเกรงใจและไม่รู้ว่าต้องเริ่มพูดอย่างไรดีจึงมอบของฝากที่เตรียมมาให้แม่นางหยางก่อน
“มันคืออะไรหรือ?” แม่นางหยางมองดูของในมือ
“ครอบครัวของข้ามีเรื่องขอร้องให้ท่านป้าช่วยเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางดันตัวเสี่ยวอู่ไปด้านหน้า
“มีอะไรหรือ? เหตุใดถึงต้องขอร้อง? พวกเจ้าไม่ใช่ใครที่ไหนเสียหน่อย คนบ้านใกล้เรือนเคียงต้องช่วยกันอยู่แล้ว” แม่นางหยางเหลือบไปเห็นเนื้อสัตว์และเหล้าสาลี่หมักในมือของหยุนลี่เต๋อ “นั่น…”
“พี่สะใภ้เจ้าคะ” แม่นางเหลียนใช้ศอกกระทุ้งแขนของสามีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนยิ้มและกล่าวเข้าประเด็น “คือว่า… เสี่ยวอู่ของเราอยากเรียนกับเฟิงซิ่วไฉ่น่ะเจ้าค่ะ”
“ใช่ขอรับ!” หยุนลี่เต๋อพยักหน้าอย่างรวดเร็วพลางวางของฝากที่นำมาไว้บนโต๊ะไม้หน้าบ้าน
“เรียนหรือ?” แม่นางหยางอุทานด้วยความตกใจก่อนมองเสี่ยวอู่อย่างลังเล
ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่เคยพูดออกมาแม้แต่คำเดียว เหตุใดสามีภรรยาคู่นี้ถึงอยากให้เขาเรียนตำรา… พวกเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?
“แท้จริงแล้วเด็กคนนี้ฉลาดมาก เพียงแค่เขาชอบทำอะไรโง่ ๆ และไม่ค่อยพูดเท่านั้นเองขอรับ” หยุนลี่เต๋อถูฝ่ามือไปมา เนื่องจากไม่เคยพูดชื่นชมลูกตนเองต่อหน้าคนอื่น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกประหม่า
“ถูกต้องขอรับท่านป้าเฟิง ท่านดูเหล้าหมักโถนี้สิ” เหอยาโถวชี้ไปที่โถเหล้าหมักพร้อมพูดโอ้อวด
“มันคือของรางวัลที่เสี่ยวอู่ได้จากการประลองในเมือง ซึ่งการประลองนี้มีผู้เข้าแข่งขันสิบคนและเสี่ยวอู่เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดและฉลาดที่สุดขอรับ”
“นอกจากนี้เสี่ยวอู่ยังเก่งด้านคำนวณ เขาสามารถคิดเลขได้เร็วและแม่นยำกว่าลูกคิดของนักบัญชีด้วยนะขอรับ”
หยุนเชวี่ยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “อีกทั้งเสี่ยวอู่ยังมีความจำดีมาก เขาสามารถจำกลอนที่ท่านลุงหวังหลี่เจิ้งท่องให้ฟังเมื่อหลายวันก่อนได้ด้วยเจ้าค่ะ”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่แม่นางหยางอย่างมีความหวัง
แม่นางหยางไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร จึงเชิญทุกคนเข้าไปในบ้าน “เข้าไปในบ้านก่อนเถอะ เรื่องนี้ต้องถามลูกชายของข้าก่อน ซิ่วไฉ่…”
ประตูที่ติดกับห้องโถงเปิดออก เด็กชายตัวสูง รูปหน้าหล่อเหลาราวกับหยก สวมเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยยิ้มทักทายทุกคนอย่างสุภาพ
“ฟะ เฟิงซิ่วไฉ่” เหอยาโถวตกตะลึงจนลิ้นแทบจะพันกัน
“ท่านอาสองหยุน ท่านน้าหยุน นั่งลงเถิดขอรับ” เฟิงสือยวินกล่าวทักทายด้วยความสุภาพก่อนหันไปพยักหน้าให้เหยุนเชวี่ยและเหอยาโถว