ตอนที่ 45 เฟิงซิ่วไฉ่ผู้หล่อเหลา
หยุนเชวี่ยได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของเหอยาโถวดังออกมา “อึก…”
“เสี่ยวอู่อยากเรียนหนังสือหรือ?” เฟิงสือยวินถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมก้มมองดวงตาสงบนิ่งของเสี่ยวอู่
เสี่ยวอู่พยักหน้าด้วยความจริงจัง
เฟิงสือยวินกล่าวขึ้น “การเรียนไม่ได้ใช้เวลาหนึ่งปี ครึ่งปี หรือชั่วข้ามคืนนะ”
เสี่ยวอู่พยักหน้าอีกครั้ง
“แท้จริงแล้วเสี่ยวอู่เป็นเด็กฉลาด เพียงแค่ไม่ชอบพูดเท่านั้น ข้าอยากให้เขาติดตามและเรียนรู้ตำรากับเฟิงซิ่วไฉ่เพื่อปูพื้นฐานก่อนเข้าโรงเรียนในปีหน้าเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยความเคารพ
แม้จะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันแต่เฟิงซิ่วไฉ่เป็นบัณฑิต อีกทั้งอายุมากกว่านางถึงสามหรือสี่ปี ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่สนิทสนมกันเท่าที่ควร
นางมักได้ยินหวังหลี่เจิ้งพูดเสมอว่าลูกชายคนโตของเขานิสัยดี ฉลาด และ มีความสามารถราวกับหยกที่หาได้ยากยิ่ง
นางเคยฟังคนอื่นชื่นชมเขามาตลอด แต่เมื่อได้มาเจอเฟิงซิ่วไฉ่ผู้มีพรสวรรค์และมีหน้าตาหล่อเหลาประกอบกับมารยาทอันงดงาม หยุนเชวี่ยจึงประทับใจเขาขึ้นมาทันที
เฟิงสือยวินกล่าวขึ้น “อย่างแรกข้าขอถามเจ้าว่าเหตุใดถึงต้องการเรียนตำรา?”
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมองหยุนเชวี่ยพลางกำมือแน่นก่อนเอ่ยตอบ “เรียนรู้สิ่งใหม่และเข้าใจสัจธรรมขอรับ”
แท้จริงแล้วคำถามนี้คือคำถามที่พี่รองเคยกำชับเขาไว้ก่อนหน้านี้ พี่รองช่างเฉลียวฉลาดจริง ๆ นางสามารถรู้ความต้องการของเฟิงซิ่วไฉ่ได้ด้วย
เฟิงสือยวินยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“เสี่ยวอู่เก่งด้านคำนวณ และยังสามารถจำบทกวีของท่านหวังหลี่เจิ้งได้อีกด้วย” เหอยาโถวกล่าวโอ้อวดอย่างรวดเร็ว
“จริงหรือ?” เฟิงซิ่วไฉ่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เจ้าจำกวีบทไหนได้บ้างล่ะ ท่องให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“การทบทวนความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา และสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ จึงนับได้ว่าเป็นครู”
“หากเรียนหนังสือแต่ไม่รู้จักใช้สมองคิดพิจารณาก็จะพบกับความสับสน หากมัวแต่เพ้อฝันแต่ไม่รู้จักหาความรู้ใส่ตนก็จะอยู่แต่ในวังวนแห่งความคิดอันอันตราย เปรียบเสมือนว่าควรเรียนและคิดไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้ไม่งง และไม่เกิดความล่าช้า”
“สุภาพบุรุษมักจะเป็นคนที่มีความคิดดี มีรูปลักษณ์และลักษณะท่าทางเป็นคนสบาย ส่วนคนไม่ดีนั้นมักมีความปรารถนาในใจมากเกินไปและมีจิตใจที่เป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา”
“มีข้าวกิน มีน้ำให้ดื่ม ใช้แขนเป็นหมอน ก็สามารถมีความสุขได้ ความมั่งคั่งและเกียรติยศที่เกิดจากวิธีการที่ผิดศีลธรรมคล้ายก้อนเมฆสำหรับตัวเรา เปรียบเสมือนว่าไม่สนความทุกข์ยากของชีวิตและไม่รู้สึกละอายที่มีชีวิตแบบนี้ ตราบใดที่ยังความสุข เราก็จะอยู่ได้อย่างสบายและพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่”
หวังหลี่เจิ้งเป็นคนแก่ที่อยากเรียนรู้ตำราจึงมักท่องวรรณกรรมอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เขาท่องบทกวีเหล่านี้ให้เสี่ยวอู่ฟังจนเด็กชายจำมันได้ขึ้นใจ
ประโยคหนึ่งต้องท่องจำตัวหนังสือหลายสิบตัวภายในครั้งเดียว แม้แต่เหอยาโถวยังไม่สามารถท่องจำได้ทั้งหมด นับประสาอะไรกับหยุนเชวี่ยที่ไม่เข้าใจความหมายของบทกวีเลย
หยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียนต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจและความภาคภูมิใจ แม้ประโยคเหล่านี้จะฟังแล้วคล้ายกับตอนที่พระสงฆ์สวดมนต์ไปบ้าง แต่ท่าทีพึงพอใจที่เฟิงซิ่วไฉ่แสดงออกมานั้นบ่งบอกว่าเสี่ยวอู่เป็นเด็กที่ฉลาดมาก
“เจ้าท่องบทกวีทั้งหมดนี้ทุกวันหรือ?” เฟิงซิ่วไฉ่เอ่ยถาม
เสี่ยวอู่พยักหน้า
“เจ้าเข้าใจความหมายของมันหรือไม่?”
เสี่ยวอู่แต่พยักหน้าก่อนส่ายศีรษะอีกครั้ง
หยุนเชวี่ยรีบอธิบายทันที “ท่านหวังหลี่เจิ้งเคยบอกความหมายแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สอนอย่างลึกซึ้งจึงทำให้ไม่เข้าใจเท่าใดนัก เสี่ยวอู่เป็นเด็กเรียนรู้ไว หากเฟิงซิ่วไฉ่สั่งสอนเขาสักครั้งหรือสองครั้ง เขาจะต้องจำได้แน่นอน”
เฟิงสือยวินเอียงศีรษะพร้อมเอามือแตะคางอีกครั้ง ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เสี่ยวอู่อย่างพินิจ
“เสี่ยวอู่ พี่รองจะถามปัญหาเรื่องเลขกับเจ้า แต่เจ้าต้องตั้งใจฟังให้ดีล่ะ” หยุนเชวี่ยเห็นว่าเฟิงสือยวินเกิดความลังเล นางจึงเร่งรีบตีเหล็กเมื่อยังร้อน
“มีซาลาเปาอยู่หนึ่งร้อยลูก แบ่งให้คนหนึ่งร้อยคน ผู้ใหญ่สามคนกินสามลูก ส่วนเด็กสามคนกินหนึ่งลูก ข้าอยากถามว่าผู้ใหญ่และเด็กจะได้กินซาลาเปาทั้งหมดกี่คน?”
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงยกเว้นหยุนเชวี่ย เฟิงสือยวิน และเสี่ยวอู๋ต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง
“เจ้าเด็กคนนี้… โลภมากอยากกินซาลาเปาอีกแล้วหรือ?” แม่นางเหลียนพึมพำออกมา
“แค่ก ๆ” หยุนลี่เต๋อถึงกับสำลัก
เสี่ยวอู่ขมวดคิ้วแน่น มือของเขาวางอยู่บนหน้าตักพลางเคาะนิ้วเป็นจังหวะ ขณะที่ดวงตาสีเข้มสั่นระริก
“ผู้ใหญ่ยี่สิบห้าคนและเด็กเจ็ดสิบห้าคน” เสี่ยวอู่เอ่ยตอบหลังจากเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่
เฟิวสือยวินรีบคำนวณในใจทันที แต่เมื่อรู้คำตอบแล้วเขาก็ต้องตกตะลึง
หยุนเชวี่ยส่งยิ้มพร้อมลูบศีรษะของเสี่ยวอู่ด้วยความชื่นชม “เรื่องที่เสี่ยวอู่เก่งเรื่องคำนวณคือความจริง หากไม่เชื่อเฟิงซิ่วไฉ่สามารถทดสอบเขาอีกครั้งได้เลย”
“ไม่จำเป็นหรอก” เฟิงสือยวินหันไปประสานมือทำความเคารพหยุนลี่เต๋อพร้อมกล่าวชม “สองพี่น้องแห่งตระกูลหยุนช่างเฉลียวฉลาดจริง ๆ ขอรับ”
“เสี่ยวซิ่วไฉ่ชมเกินไปแล้ว” หยุนลี่เต๋อรีบประสานมือตอบอย่างงุ่มง่าม
เหอยาโถวเป็นกังวลจึงถามออกไปว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะรับเสี่ยวอู่เป็นศิษย์หรือไม่?”
“อารองหยุนตั้งใจเอาของกำนัลเหล่านี้มาแล้ว หากจะไม่รับก็คงเสียมารยาท” เฟิงสือยวินยกมือขึ้นแตะบ่าของเสี่ยวอู่ “ไม่จำเป็นต้องเรียกว่าอาจารย์กับศิษย์หรอก ให้เรียกข้าว่าพี่ก็พอ”
เมื่อเฟิงซิ่วไฉ่ตอบตกลง สีหน้าของทุกคนจึงเต็มไปด้วยความสุข
แม่นางเหลียนดีใจจนหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “ข้าดีใจมาก ข้าไม่คาดคิดเลยว่าวันหนึ่งเสี่ยวอู่จะสามารถอ่านออกและเขียนได้…”
หยุนลี่เต๋อตกตะลึงจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ใบหน้าของเขาซีดเผือด ในขณะที่ริมฝีปากยกยิ้มอย่างจริงใจ
หยุเชวี่ยจับมือเสี่ยวอู่พลางกล่าวด้วยความยินดี “เสี่ยวอู่รีบไปทำความเคารพพี่สือยวินสิ!”
เสี่ยวอู่มองเฟิงซิ่วไฉ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกล่าวทำความเคารพ “ข้าขอคารวะท่านพี่สือยวินขอรับ”
มุมปากของเฟิงซิ่วไฉ่ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนพูดกับเสี่ยวอู่ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “พรุ่งนี้มาหาข้าหลังมื้อกลางวันนะ”
เสี่ยวอู่พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
เหอยาโถวที่ยืนอยู่ด้านข้างโพล่งขึ้น “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้ามาเรียนด้วยได้หรือไม่?”
เจ้าเหอยาโถวคนนี้ช่างทะเล้นเสียจริง! หยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะภายในใจ
เฟิงซิ่วไฉ่ไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่เหลือบมองเขาเงียบ ๆ ซึ่งการกระทำนี้ส่งผลให้เหอยาโถวรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ไม่ใช่ว่าเฟิงซิ่วไฉ่เข้าใจทุกเรื่องหรือ หวังหลี่เจิ้งเอาแต่พูดเยินยอเจ้าเรื่องบทกวี…” ยังไม่ทันพูดจบ หยุนเชวี่ยก็เอื้อมมือมาปิดปากเหอยาโถวเสียก่อน
“พี่สือยวินเจ้าคะ เขาเพียงแค่หยอกล้อ อย่าถือโทษโกรธเขาเลยนะเจ้าคะ” หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนหันไปพูดกับเสี่ยวอู่
หากเหอยาโถวต้องการเรียนหนังสือจริงก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แต่หยุนเชวี่ยรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเพียงต้องการเล่นสนุกและต้องการนั่งจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาของเฟิงสือยวินเท่านั้น
หากเหอยาโถวเข้ามายุ่งวุ่นวายจะทำให้เสี่ยวอู่เสียเวลาในการเรียน อีกทั้งยังถือว่าเป็นการรบกวนเฟิงสือยวินที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบขุนนางด้วย
เฟิงซิ่วไฉ่นั่งเงียบตลอดการสนทนา จนกระทั่งครอบครัวของหยุนลี่เต๋อกล่าวคำอำลา เขาจึงมองแผ่นหลังของเหอยาโถวและพี่น้องทั้งสองคนจนลับตาไปก่อนส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
เมื่อออกจากบ้านของเฟิงซิ่วไฉ่ ทั้งหกคนก็เดินไปตามถนนที่ทอดยาว
หยุนเชวี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้า ลมเย็นพัดโชยปะทะใบหน้า ดวงจันทร์ส่องแสงนวลสว่าง ดวงดาวกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า… ข้าหวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีสำหรับครอบครัวของเรานะ
เสี่ยวอู่เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ ตราบใดที่มีคนเต็มใจสอนตำรา เขาจะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่ เมื่อนึกถึงเรื่องที่น้องชายของนางจะได้เรียนตำราทีไร หยุนเชวี่ยก็รู้สึกมีความสุขทุกที
เสี่ยวอู่ที่เดินอยู่ข้าง ๆ หันมองใบหน้าของพี่สาว ซึ่งใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่เปล่งประกายอย่างมีความสุข
หยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะพูดสั่งสอนน้องชายสักสองสามประโยค “ เสี่ยวอู่ เจ้าต้องติดตามสือยวินเพื่อเรียนรู้นะ การรีบร้อนเรียนตำราเพื่อที่จะมีชื่อเสียงนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญของการเรียนคือความรู้และความเข้าใจสัจธรรมที่มากขึ้น… รู้หรือไม่?”
เสี่ยวอู่ตัดสินใจและคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะตั้งใจเรียน เขาจึงพยักหน้าตอบรับหยุนเชวี่ย
หลังจากสั่งสอนน้องชายแล้ว หยุนเชวี่ยพลันเหลือบไปเป็นเหอยาโถวที่กำลังจะเดินตกถนนพลางตะโกนด้วยความตกใจ
“เหอยาโถว!” หยุนเชวี่ยเอื้อมมือออกไปคว้าเสื้อของเหอยาโถว “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? เกือบตกไปในคูน้ำแล้วนะ”
เหอยาโถวหลุดออกจากห้วงความคิด สายตาของเขาว่างเปล่าขณะพึมพำว่า “หากเทียบกับชายบนภูเขาแล้ว ข้าคิดว่าเฟิงซิ่วไฉ่หล่อเหลากว่า…”
หยุนเชวี่ยตกตะลึงจนกล่าวไม่ออก…