ความโกรธแค้นภายในดวงตาของทั้งสี่คนยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น มีคนหนึ่งหันไปมองเจ้าสำนักสวีที่อยู่กลางตำหนักด้วยความโกรธ “พี่ลั่วต้องเผชิญกับอันตรายก็เพราะว่าต้องการมาเวทีประลองของสำนักเทียนซือ เรื่องนี้สำนักเทียนซือต้องรับผิดชอบ
“ทุกท่านอย่าเพิ่งวูว่าม” เจ้าสำนักสวีปลอบประโลม ทั้งร้อนใจทั้งงุนงง ทำได้เพียงเดินมาหาอวิ๋นเจี่ยวเพียงขอความช่วยเหลือ
อวิ๋นเจี่ยวทักทายเจ้าสำนักสวีและราชาซิวหลิง ก่อนจะกวาดตามองคนทั้งสี่ จากนั้นถึงเริ่มสอบถามสถานการณ์
เจ้าสำนักสวีอธิบายอย่างละเอียด ทั้งสี่คนนี้เหมือนกับเถิงสี ล้วนเป็นคนของเขตหมิ่นเฟินในยมโลก อีกทั้งมาตามหาวิญญาณที่ชื่อลั่วคายหยวนเช่นเดียวกัน ลั่วคายหยวนข้ามมายังโลกมนุษย์จากเขตซิวหลิงเมื่อสามวันก่อน แต่ว่าเจ้าสำนักสวีตรวจสอบบันทึกการเข้าออกหลายครั้ง มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่เคยมายังสำนักเทียนซือ
สิ่งที่น่าแปลกคือ ทางเขตซิวหลิงกลับมีบันทึกการเข้าออกของเขา ซึ่งหมายความว่าเจ้าสำนักสวีได้ขึ้นมายังโลกมนุษย์จริง เพียงแต่ไม่ได้มาสำนักเทียนซือ
อวิ๋นเจี่ยวเองก็ไม่เข้าใจ ถึงแม้แต่ละเมืองของยมโลกจะเปิดประตูผีทุกเจ็ดวัน แต่สถานที่ล้วนถูกกำหนดไว้ จุดหมายปลายทางก็คือสำนักเทียนซือ ไม่มีทางเปิดไปที่อื่น เช่นนั้นลั่วคายหยวนหายตัวไปได้อย่างไรกัน
“เจ้าสำนักสวี!” เธอนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “ท่านได้ตรวจสอบหินบันทึกภาพหรือไม่” ด้านข้างของประตูเขตแดนมีหินบันทึกภาพ สามารถบันทึกภาพการเข้าออกของวิญญาณ
คิ้วของเจ้าสำนักสวีขมวดมุ่น “หินบันทึกภาพสามารถเก็บรักษาบันทึกได้ภายในสามวัน เมื่อกี้พวกเราได้ตรวจสอบแล้ว ไม่มีบันทึกของสามวันก่อน”
“บังเอิญเช่นนี้?” อวี๋จื้อพูดขึ้นมา “ทางออกของประตูผี มีเพียงสำนักเทียนซือ สหายลั่วจะไม่เคยมาที่นี่ได้อย่างไร ข้าว่าท่านกำลังแก้ตัว”
ไม่เพียงแต่เขา คนในตำหนักต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้บังเอิญเกินไป ราวกับหลักฐานทุกอย่างล้วนชี้มียังสำนักเทียนซือ
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันที่จะคิดอย่างละเอียด
ถังเฉินที่อยู่ด้านข้างกลับชี้ไปยังอาวุธในมือของคนทั้งสี่
“เอ๊ะ สัญลักษณ์บนอาวุธของท่านช่างคุ้นตายิ่งนัก”
ทั้งสี่คนผงะ
“จริงสิ!” เขาราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ เอี้ยวตัวไปเปิดย่ามเก็บของข้างตัวออก “ตอนที่ข้ากำจัดผีร้ายนั้น ข้าพบอาวุธแปลกประหลาดชิ้นหนึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง ด้านบนมีสัญลักษณ์เหมือนของท่าน ข้าจึงเก็บกลับมาด้วย ชิ้นนี้!” พูดเสร็จเขาห็หยิบดาบยามสีดำออกมา ดาบนั้นมีสีดำทั้งด้าม ด้านบนยังมีพลังวิญญาณอบอวลอยู่ ตัวดาบมีสัญลัษณ์ก้อนเมฆเหมือนกับอาวุธของคนทั้งสี่
ยังไม่ทันรอเธอได้มองอย่างชัดๆ ทั้งสี่คนก็เบิกตาโพลง อวี๋จื้ออุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“ดาบของสหายลั่ว!” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาด้วยความโกรธเคือง เขาหิ้วคอเสื้อของถังเฉินขึ้น “เจ้าทำอะไรกับสหายลั่ว”
“ท่านทำอะไร! สหายลั่วอะไร” ถังเฉินผงะ ก่อนจะดิ้นหลุดจากมือของเขา “ข้าไม่เคยพบ”
“ดาบนี้เป็นอาวุธของคนในเขตหมิ่นเฟิน!” อวี๋จื้อยิ่งโกรธมากขึ้น เขาชี้ไปยังดาบบนมือของอีกฝ่าย
“ดาบอยู่วิญญาณอยู่! นอกจากวิญญาณสลาย มิเช่นนั้นดาบนี้ไม่อาจตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้”
ถังเฉินผงะ ก่อนจะอธิบาย “ข้าแค่กำราบวิญญาณตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ทำลายวิญญาณของเขา”
“เจ้าโกหก!” อีกคนเดินหน้าขึ้น พร้อมกับพูดด้วยความโกรธเคือง “สหายลั่วเป็นคนของเขตหมิ่นเฟิน เจ้าจะกำราบเขาได้อย่างไร!”
พูดจบ เขาก็ดึงมีดเล่มใหญ่ด้านหลังออกมา ถังเฉินเองก็โมโห เขาหยิบอาวุธออกมาเช่นเดียวกัน
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ทำ!”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะลงมือ
อวิ๋นเจี่ยวยื่นมือออกไปตบหลังหัวของคนทั้งสอง “ทะเลาะอะไรกัน?! พูดดีๆ!”
“ศิษย์น้อง!” เถิงสีทำหน้าร้อนใจ อีกฝ่ายเป็นคนของเขตหมิ่นเฟินของพวกเขา
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเถียงกัน!” อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองคนทั้งสี่ “ตอนนี้ตามหาคนให้เจอก่อน ถังเฉิน ผีร้ายที่เจ้ากำราบอยู่แห่งใด”
“ฮะ?” ถังเฉินผงะ ก่อนจะเอ่ยตอบ “อยู่ในหลานเซ่อ ห่างจากที่นี่หลายร้อยลี้ ผีร้ายนั้นมีพลังมากจนน่าทึ่ง ข้าจึงผนึกเขาไว้ในบ่อน้ำโบรณแห่งหนึ่ง อีกทั้งได้กำชับคนที่อยู่บริเวณนั้นไม่ให้เข้าใกล้”
“เร็ว นำทางไปหลานเซ่อ!”
“ได้!” ถังเฉินรีบพยักหน้า
คนทั้งหลายออกเดินทางอย่างไม่ได้ลังเล
หลานเซ่อห่างจากสำนักเทียนซือเพียร้อยลี้ ถือเป็นเมืองเล็กที่ค่อนข้างเจริญ จากการคมนาคมที่พัฒนาของเสวียนเหมินในปัจจุบัน พวกเธอใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็มาถึงบ่อน้ำโบราณที่ถังเฉินบอก
เพียงแต่เวลานี้ ผนึกบนบ่อย้ำโบราณถูกทำลายไปแล้ว บริเวณรอบข้างหลงเหลือเพียงพลังวิญญาณจางๆ อย่าว่าแต่ผีร้าย แม้แต่เสี้ยววิญญาณก็ไม่เหลือ
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?!” ถังเฉินผงะด้วยความเหลือเชื่อ พลังของผีร้ายนั้นเป็นที่ตกตะลึงอย่างมาก อีกทั้งตัวเขาไม่เชี่ยวชาญในข่ายพลัง ดังนั้นเขาใช้เวลาเป็นวันจึงจะผนึกสำเร็จ แต่เขากลับไปยังไม่ถึงหนึ่งคืน ผนึกก็ถูกทำลายเสียแล้ว
“สหายลั่ว!” ทั้งสี่คนยืนอยู่ด้านข้างของบ่อน้ำโบราณที่ว่างเปล่า ความโกรธภายในตัวไม่อาจข่มเอาไว้ได้อีกต่อไป พวกเขาต่างควักอาวุธในมือออกมาชี้ไปยังถังเฉิน “เจ้าฆ่าสหายเขตหมิ่นเฟินของพวกข้า!”
“ข้าไม่ได้ทำ! ข้าเพียงแค่ผนึกผีร้ายนั้นเอาไว้ ไม่ได้ทำให้เขาตาย!” ถังเฉินรีบอธิบายขึ้น “อีกทั้งข้าเพิ่งกลับไปคืนนี้”
ทันทีที่เขาพูดจบ อีกฝ่ายยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น “ตะเกียงวิญญาณของสหายลั่วก็เพิ่งดับลงในคืนนี้! เจ้ายังบอกว่าไม่ใช่เจ้า?”
“ไม่ใช่ข้าจริงๆ!” ถังเฉินไม่อาจหาคำอธิบายได้
ทั้งสี่คนไม่อยากฟังเขาอธิบายอีกต่อไป พลังวิญญาณบนตัวหลั่งไหลออกมาเป็นจำนวนมาก พวกเขาคิดจะลงมืออย่างไม่สนใจอะไร
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบยันต์ป้องกันออกมาหนึ่งใบ แปะไว้บนตัวของถังเฉินที่ยังงุนงงอยู่ ทันใดนั้นแสงสีทองส่องสว่างขึ้นรอบด้าน ต้านทานการโจมตีของทั้งสี่คนเอาไว้
“สำนักเทียนซือคิดจะปกป้องฆาตรกรหรือ” คนทั้งสี่ยิ่งโกรธมากขึ้น พวกเขาจ้องมองมายังเหล่าอวิ๋นเจี่ยวด้วยความโกรธ
“พวกท่านใจเย็นก่อน!” อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังคนทั้งสี่ เธอไม่คิดว่าเรื่องการหายไปของวิญญาณเพียงตนเดียวจะกลายเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองโลกได้ อีกทั้งนิสัยของอีกฝ่ายบุ่มบ่ามยิ่งกว่าเถิงสีเสียอีก
“หากถังเฉินเป็นคนทำ เมื่อกี้เขาคงไม่หยิบดาบเล่มนั้นออกมา!
ทั้งสี่คนผงะ ก่อนจะสบตากัน แต่ความโกรธยังคงไม่จางหายไป “ถึงแม้จะไม่ใช่เขา แต่ก็ต้องเป็นฝีมือของเสวียนเหมิน”
“ไม่แน่” อวิ๋นเจี่ยวหยิบลูกแก้วที่ถังเฉินนำมาออกมา “ตอนที่ถังเฉินปิดผนึก เขาไม่เพียงพบดาบเล่มนั้น แต่ยังมีของสิ่งนี้ อีกทั้งมัน…มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเป็นของโลกสวรรค์”
“โลกสวรรค์อีกแล้ว!” เจ้าสำนักสวีอุทานออกมา บนใบหน้าเจือปนไปด้วยความโกรธ แม้แต่ราชาซิวหลิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
สีหน้าของทั้งสี่คนมีความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่เชื่อเท่าไร หนึ่งในนั้นพูดด้วยเสียที่โกรธเคือง
“แค่ลูกแก้วลูกเดียว ไม่อาจยืนยันได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า อย่างไรก็ตามการตายของสหายลั่วต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน” คนทัส้วสี่จ้องเขม็งไปยังถังเฉิน
“เรื่องนี้ยังต้องการเวลาในการสืบ หรือไม่…” ในขณะที่อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะเสนอขอเวลา
อาวุธในมือของอีกฝ่ายกลับปรากฏแสงสีแดงขึ้น สัญลักษณ์ก้อนเมฆบนนั้นส่องสว่างขึ้นมา
คนทั้งสี่มีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป แม้แต่เถิงสีเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นสัญญาณที่อาจารย์กำลังกลับสู่การป้องกัน ไป!”
พูดจบพวกเขาก็หันหลังกลับยมโลกไปทันที เหมือนว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่าง ไม่ทันแม้กระทั่งบอกลาอวิ๋นเจี่ยว คนอื่นเองก็ไม่รีรอ พวกเขาทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว “พวกข้าจะกลับมาทวงคืนความยุติธรรมอย่างแน่นอน!” จากนั้นก็หายตัวไป
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
ชายแก่: “…”
ถังเฉิน: “…”
เจ้าสำนักสวี: “…”
เรื่องยังพูดไม่จบก็จากไปคืออะไรกัน