เนื้อหาจดหมายต้องมีคำอวยพรอันขำขันของหันหมิงชั่นและซูอวี้เหิงแน่นอน เหยาเยี่ยนอวี่อ่านอย่างรวดเร็ว ก็เห็นคุณหนูหันไม่ได้เอ่ยถึงท่านเซียวโหวแม้แต่น้อย นางไม่อยากจะเชื่อ ดังนั้นเลยสังเกตมองอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีจริงๆ จึงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
ทว่าหลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียด ตามนิสัยที่ชอบเปิดเผยและแสดงท่าทีอันโปร่งใสของหันหมิงชั่น หากนางใคร่จะตอบกลับในความรู้สึกที่มีต่อเซียวหลิน ต้องไม่มีทางลับๆ ล่อๆ อยู่แล้ว ไม่แน่อาจจะเชิญองค์หญิงใหญ่ไปปรึกษาหารือเรื่องงานสมรสกับตระกูลเซียวเลยก็ได้
ชาหนึ่งเหยือกยังไม่ทันดื่มหมด ด้านหน้าก็มีคนเข้ามารายงาน “ฮูหยินสั่งให้ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูรองรีบไปขึ้นรถม้าได้แล้วเจ้าค่ะ นายท่านผู้เฒ่า นายท่านใหญ่และนายท่านรองไปถึงแล้ว ฮูหยินบอกว่า เหล่าสตรีอื่นๆ ก็ไปถึงที่หมายแล้ว พวกเราไม่ควรไปสาย ไม่ควรเสียมารยาทเจ้าค่ะ”
เจียงฮูหยินน้อยพลันพูด “รู้แล้ว ข้ากับน้องรองจะไปเดี๋ยวนี้” ขณะที่กล่าว จึงพูดกับสาวใช้ทั้งสองของจวนองค์หญิงใหญ่ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างพอดี ในจวนจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ได้โปรดทั้งสองท่านให้เกียรติไปร่วมงานด้วยกันเถอะ”
ทั้งสองคนรู้ตัวว่าตนมีฐานะเป็นบ่าวไพร่ ไม่คู่ควรที่จะร่วมงาน เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “พวกเจ้ามาเป็นตัวแทนพี่หัน ข้าต้องดูแลให้ดีอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นรอให้ข้ากลับเมืองหลวงจะมีหน้าไปเจอกับพี่หันได้อย่างไร ไปด้วยกันเถอะ”
ทั้งสองคนต่างก็ตอบตกลง เจียงฮูหยินน้อยสั่งให้คนเข้ามาเอาของส่งไปในเรือนของเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วมอบหมายให้เฝิงหมัวมัวคอยดูแลรักษา ตนเองก็ดึงมือของเหยาเยี่ยนอวี่พลางเดินไปนั่งรถม้าที่อยู่ตรงหน้าจวน
ข้างทะเลสาบซีซินมีภัตตาคารที่สร้างตามริมทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของซีซิน สิ่งปลูกสร้างแบ่งเป็นด้านหน้าและด้านหลังสองตึก สิ่งปลูกสร้างครึ่งหนึ่งอยู่เหนือผืนน้ำ อีกครึ่งหนึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่ง เหตุเพราะเป็นสิ่งปลูกสร้างหลักของซีซิน ตึกด้านหลังถูกล้อมรอบด้วยดงไม้ไผ่ บรรยากาศตรงริมชายฝั่งเคล้าด้วยความเงียบสงบ
เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่ได้รับความนิยมจากผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งและมีอำนาจในเมืองเจียงหนิง วันนี้เป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ส่วนมากทุกคนก็มักจะมาสำรองโต๊ะที่นั่งที่นี่ แค่คำๆ เดียวของข้าหลวงเหยา ไม่ว่าใครที่จองโต๊ะที่นี่ ตระกูลเหยาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อนี้ทั้งหมด บุตรีคนรองของข้าหลวงเหยาได้รับพระราชทานงานพิธีสมรสจากฮ่องเต้กับแม่ทัพติ้งหย่วน ข้าหลวงใหญ่รู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง งานเลี้ยงนี้ได้เชิญชวนผู้ร่วมงานที่เป็นขุนนางระดับเจ็ดขึ้นไป แล้วยังมีญาติและสหายมาร่วมงาน
ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนที่ราชวงศ์นี้สร้างแคว้น ก็ไม่เคยมีบุตรีอนุภรรยาของขุนนางตระกูลใดที่ได้รับพระราชทานงานสมรสจากฮ่องเต้
นี่พูดได้ว่ามีเพียงข้าหลวงเหยาผู้เดียว แน่นอน ข้าหลวงเหยาก็ไม่ได้เติบโตมาแค่ข้าวสารกำมือเดียว ฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสที่ทรงเกียรติยศเช่นนี้ เขาต้องไม่ดูหมิ่นบุตรีอนุภรรยาคนนี้อยู่แล้ว คืนนั้นจึงสั่งให้บันทึกนามของเหยาเยี่ยนอวี่ลงไปในตำราบันทึกรายชื่อของตระกูล ให้นางอยู่สายของหวางฮูหยิน อนาคตจะออกเรือนโดยมีฐานะเป็นบุตรีของภรรยาเอก
ตอนนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ต้องหมอบกราบหวางฮูหยินอีกครั้ง แล้วยกน้ำชาพลางเรียกนางว่าท่านแม่ ตอนนี้ฐานะของคุณหนูรองเหยาสูงส่งขึ้นอีกขั้น
ตอนที่เจียงฮูหยินน้อยจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่ลงจากรถม้า สองพี่น้องเหยาเหยียนอี้และเว่ยจางกำลังยืนต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า
เหล่าสตรีต่างก็เข้าไปในตึกด้านหลัง ทว่ารถม้าจอดอยู่ตรงกลางระหว่างสองตึก เว่ยจางยืนอยู่ตรงหน้าตึกพลางมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่สวมใส่ชุดสีแดงเดินอยู่ด้านหลังเจียงฮูหยินน้อยด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา ผมเกล้ามวยกลับเมฆาทรงสูง จังหวะการเดินทำให้เครื่องประดับกระทบกันจนเกิดเสียง ลมพัดชายกระโปรงกว้างแผ่วเบา เปรียบเสมือนบุษบาผลิบาน ทั้งยังคล้ายกับสีสันสดใสของเมฆหมอก ดูงดงามอร่ามตายิ่งกว่าบุษบาสดที่โรยระหว่างทางเดินเชื่อมระหว่างสองตึก
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เว่ยจางเจอเหยาเยี่ยนอวี่ก็มักจะเห็นถึงการแต่งกายที่เรียบง่าย เครื่องประทินโฉมที่แต่งเติมอ่อนๆ ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาเป็นธรรมชาติ วันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เห็นนางสวมใส่ชุดอลังการเช่นนี้ ทันใดนั้นกลับทำให้เขามองจนตะลึงงันไปชั่วขณะ
ที่แท้นางก็แต่งกายเช่นนี้ได้! เว่ยจางเปรยประโยคหนึ่งในส่วนลึกของจิตใจ
เหยาเหยียนอี้หันข้างมองท่าทางที่ดูโง่เขลาของแม่ทัพเว่ยที่กำลังจับจ้องน้องรองของตน ปกติเขามักจะทำท่าทางหนักแน่นและน่าเกรงยาม ด้วยเหตุนี้เหยาเหยียนอี้กระตุกมุมปากเผยยิ้มจาง
เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเบี่ยงลำตัวเพื่อขวางสายตาของแม่ทัพเว่ย แล้วเดินไปประสานมือคารวะให้กับขุนนางระดับหกที่เพิ่งลงมาจากรถม้า “ใต้เท้าเหลียงมาแล้ว! ท่านพ่อพร่ำบ่นถึงท่านอยู่บ่อยครั้ง รีบเข้าไปด้านในกันเถอะ!”
พอเห็นทิวทัศน์อันงดงามถูกขวางไว้ ความคิดเคลิบเคลิ้มถูกขัดจังหวะ เว่ยจางก็ทำได้เพียงเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ พลางกล่าวทักทายผู้ที่มาเยือนพร้อมกับเหยาเหยียนอี้
ทั้งสองตึกของภัตตาคารซีซินต่างมีคนนั่งจนเต็มทุกที่ ซ้ำยังมีเสียงกรีดร้องอันวุ่นวายดังขึ้น
ทุกคนต่างบอกว่าตอนที่บุตรีภรรยาเอกของข้าหลวงเหยาออกเรือน ไม่เคยจัดงานเลี้ยงใหญ่เยี่ยงนี้
ทว่าพลันมีคนโต้เถียงกลับในขณะเดียวกัน จะเหมือนกันได้อย่างไร นี่เป็นตั้งงานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้แน่ะ!
ทุกคนต่างพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เป็นเช่นนั้น คิดว่าไม่ว่าบุตรีของขุนนางตระกูลใดในเจียงหนานที่ได้รับเกียรติยศจากฮ่องเต้พระราชทานก็ต้องมีสถานการณ์เหมือนวันนี้อยู่แล้ว เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่หามิได้! หากไม่เตรียมการไว้หน่อย คงเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม
เหยาเยี่ยนอวี่ติดตามเจียงฮูหยินน้อยเข้าไปยังสิ่งปลูกสร้างด้านหลัง มีเหล่าฮูหยินคอยกล่าวทักทายและผู้คนต่างชื่นชมทั้งทางขึ้นชั้นบนตลอดจนเดินไปถึงข้างกายของหวางฮูหยิน
วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสวมชุดทางการออกงานเช่นกัน นางกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลักพลางเสวนากับเหล่าฮูหยินผู้เฒ่า เวลานี้นางที่เป็นฮูหยินชั้นเก๋ามิ่งของขุนนางระดับสอง จะไม่ออกหน้าออกตาได้อย่างไร
เห็นเหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแย้มยิ้มบางๆ พลางโบกมือ “ยัยหนูรองมานี่”
เหยาเยี่ยนอวี่มองหวางฮูหยินเพียงพริบตาเดียว หวางฮูหยินตบมือของนางเบาๆ เพื่อสื่อให้นางไป สถานการณ์เช่นนี้ในวันนี้ หากฮูหยินผู้เฒ่ายังรู้จักรักษาหน้าสักหน่อย ก็คงไม่มีทางทำตัวดื้อดึงเรื่อยเปื่อยหรอก เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่า พร้อมค้อมตัวน้อมทำความเคารพ จากนั้นก็ไปนั่งข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า
“ฮูหยินผู้เฒ่าช่างมีวาสนายิ่งนัก!” มารดาชั้นเก๋ามิ่งระดับสองของหลิวจี๋เจ้อร์ขุนนางใหญ่ผู้ปกครองลุ่มแม่น้ำแย้มยิ้มพลางมองเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมเอ่ยชมขึ้น “หลานสาวที่ดีเยี่ยงนี้อยู่ตรงหน้า ทำให้คนรู้สึกอิฉาจริงๆ”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกรื่นเริงยิ่งนัก ยกมือลูบจับใบหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้เป็นคนที่เอาอกเอาใจเก่งตั้งแต่เล็ก”
เหยาเยี่ยนอวี่คิดในใจ แม่เฒ่าผู้นี้ช่างเสแสร้างกลั่นทำได้เก่งจริงๆ เวลานี้ไม่ได้เป็นเวลาที่เอาไม้เท้าตีข้าหรอกหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลายท่านที่อยู่ด้านข้างต่างชื่นชมเหยาเยี่ยนอวี่ และต่างรู้สึกอิจฉาฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่มีบุญวาสนาเช่นนี้ ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกประหลาดใจนัก คนพวกนี้ไยถึงสรรหาคำพูดเสนาะหูได้หลากหลายรูปแบบเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างพูด กลับไม่พูดคำซ้ำกันเลย
ขณะที่เอ่ยพูดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหนานปั๋วก็มาถึง
นางก็มีศักดิ์เป็นฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนกัน แล้วยังเป็นน้องสะใภ้ฝ่ายตระกูลผู้ให้กำเนิดของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอีก ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหนานปั๋วเดินเข้ามา ก็ต้องนั่งอยู่ทางฝั่งฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเป็นเรื่องธรรมดา
เหยาเยี่ยนอวี่จึงหลีกที่นั่ง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งดึงมือนางไว้ แล้วพูดขึ้น “หลานนั่งอยู่ที่นี่เถอะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหนานปั๋วนั่งลงพลางรักการทักทายจากผู้อื่นไปด้วย พร้อมมองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงพริบตาเดียว ด้วยเหตุนี้จึงคลี่ยิ้มพลางพูด “ยินดีด้วยกับคุณหนูรองด้วย! ฮ่องเต้พระราชทานคู่สร้างคู่สมให้เจ้าจริงๆ เมื่อครู่ตอนที่ข้าลงรถม้าก็เห็นแม่ทัพติ้งหย่วน ช่างเป็นบุรุษที่มีรูปร่างหน้าตาดียิ่งนัก! คุณหนูรองช่างมีบุญวาสนาจริงๆ!”
เหยาเยี่ยนอวี่ถูกคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ทำให้ตื่นตกใจ แม้กระทั่งยังลืมที่จะเขินอาย กลัวว่านางจะเอ่ยคำพูดที่จะให้ตนไปรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับหลานชายของนางอีก ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เอ่ยคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าสาวน้อย ยัยหนูรองของพวกเราคงรู้สึกเขินอายแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่าจากแต่ละตระกูลต่างหัวเราะร่วนกันขึ้นมา
ทางฝั่งหวางฮูหยินสั่งการเจียงฮูหยินน้อยไปไม่กี่คำ เจียงฮูหยินน้อยจึงเดินเข้ามาพร้อมยิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจ “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เหล่าคุณหนูทางฝั่งโน้นอยากจะพูดคุยเล่นกับน้องรองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพูดกับเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้ม “หลานไปเถอะ ไปพูดคุยเล่นกับสหายพวกนั้นเสียหน่อย ประเดี๋ยวค่อยกลับมา”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันเหยียดกายลุกขึ้นขานรับ “เจ้าค่ะ” เอ่ยจบก็หันหลังจากไป จากนั้นก็ทำสีหน้าที่เจ้าเล่ห์ให้เจียงฮูหยินน้อย พลางถอนหายใจออกมายาวๆ