เล่มที่ 9 บทที่ 252 เด็กที่พูดปดจมูกจะยาว

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เหตุใดถึงถามเช่นนี้?

เซียวจื่อเซวียนรีบพยักหน้าไม่หยุด พร้อมกล่าววาจาน่าฟัง “ดีแน่นอนขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ดีต่อข้าที่สุด” ตั้งแต่เขาจำความได้ บิดามารดาก็ล้มป่วย เพราะพวกท่านเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องดูแลเขา ดังนั้น ในความทรงจำของเซียวจื่อเซวียน เซี่ยยวี่หลัวดูแลอย่างละเอียดทั่วถึง เอาใจใส่มากกว่าตอนท่านพ่อท่านแม่ดูแลเสียอีก

เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า “ดี เรียกจื่อเมิ่งมา พี่สะใภ้ใหญ่มีนิทานเรื่องหนึ่ง อยากเล่าให้พวกเจ้าฟัง”

เซียวจื่อเซวียนได้ยินว่ามีนิทาน จึงพุ่งพรวดออกไป เรียกเซียวจื่อเมิ่งมา

เซี่ยยวี่หลัวถือตะหลิวด้วยมือขวา มือซ้ายหิ้วตะกร้าเล็ก ภายในตะกร้าเป็นผักที่หั่นไว้แล้ว เทน้ำมันลงในกระทะที่อุ่นร้อนจนแดง เซี่ยยวี่หลัวใช้ตะหลิวคนทีหนึ่ง เห็นว่ามีควันลอยขึ้นจากน้ำมันแล้ว จึงเทผักลงไปผัด เซี่ยยวี่หลัวกระแอมทีหนึ่ง เริ่มเล่านิทาน

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีช่างไม้วัยชราผู้หนึ่ง เขาทำหุ่นเชิดขนาดเล็กขึ้นมาหนึ่งตัว เพราะช่างไม้ชรามีฝีมือยอดเยี่ยม หุ่นเชิดที่ทำขึ้นมาจึงเหมือนกับมนุษย์ก็มิปาน ช่างไม้ชราโปรดปรานมาก ทั้งยังตั้งชื่อให้เขาว่าผี่นั่วเฉา*…”

เซี่ยยวี่หลัวเล่านิทานด้วยน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู มีเสียงสูงต่ำและจังหวะน่าฟัง เด็กสองคนฟังอย่างเพลิดเพลิน ภายในห้องครัว นอกจากเสียงตะหลิวกระทบกระทะ ก็มีเพียงเสียง “ซ่าซ่า” ของผักที่อยู่ในกระทะ รวมทั้งเสียงฟืนไหม้ “เปรี๊ยะ” ที่ดังจากเตาไฟ เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอย่างตั้งอกตั้งใจ เด็กสองคนรวมรวมสมาธิตั้งใจฟัง

“ถึงแม้ว่าผี่นั่วเฉาจะน่ารักมาก แต่เขาเป็นหุ่นเชิดน้อยที่ชอบพูดปด เพื่อเป็นการลงโทษ นางฟ้าจึงร่ายมนตร์ใส่เขา ขอเพียงผี่นั่วเฉาพูดปด จมูกก็จะยาวขึ้น มีแต่ต้องพูดความจริง จมูกถึงจะกลับสู่สภาพเดิม”

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวช้าๆ เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ก็หันมองไปทางเซียวจื่อเซวียนแวบหนึ่ง

เพียงเห็นเซียวจื่อเซวียนที่ตั้งใจฟังนิทานอยู่ตลอดสีหน้าดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที เขาสบเข้ากับสายตาของเซี่ยยวี่หลัว รีบหลบสายตา ไม่กล้าสบตาด้วย

เรื่องราวหลังจากนั้น คนที่ตั้งใจฟังอย่างละเอียดเหลือเพียงเซียวจื่อเมิ่งคนเดียว ส่วนเซียวจื่อเซวียนกลับรู้สึกจิตใจไม่สงบ

ผัดอาหารสองอย่างเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวก็เล่านิทานจบแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวยกอาหารไปยังห้องโถง เซียวจื่อเซวียนไม่กล่าวอะไรมาตลอด ท่าทางซึมเศร้า

เซี่ยยวี่หลัวถอนหายใจทีหนึ่ง นางไม่อยากเล่านิทานเรื่องนี้ นิทานเรื่องนี้สื่อเป็นนัยถึงเซียวจื่อเซวียน ส่วนเขาก็เหมือนจะเข้าใจเช่นกัน

อาหารมื้อนี้ เซียวจื่อเมิ่งกินอย่างมีความสุข ระหว่างทานอาหารก็กล่าวถึงนิทานเรื่องผี่นั่วเฉาที่เซี่ยยวี่หลัวเล่า เซียวยวี่ก็ฟังอย่างสนอกสนใจ เขาไม่เคยฟังนิทานเรื่องนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวฟังมาจากที่ใด

เมื่อเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของเซียวยวี่ เซี่ยยวี่หลัวเพียงกล่าวอย่างเรียบสงบ “ท่านตาเล่าให้ข้าฟัง”

เซียวยวี่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งทันที ท่านตาของนางช่างเป็นผู้มากความสามารถ ทำเป็นทุกอย่าง

เซี่ยยวี่หลัวผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก อย่างไรเสียต่อไปหากมีเรื่องที่นางไม่อาจอธิบายได้ ก็โยนให้ท่านตาทั้งหมด จะเชื่อก็เชื่อ หากไม่เชื่อ จะไปถามท่านตาของนางหรืออย่างไร?

เซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ กินอาหารด้วยสีหน้าที่ยากจะบรรยาย จากนั้นจึงไปล้างชาม เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่สนใจเขา พาเซียวจื่อเมิ่งกลับห้อง

เซียวจื่อเซวียนล้างชามด้วยจิตใจที่ไม่สงบ ก่อนจะมายังหน้าประตูห้องเซี่ยยวี่หลัว

เขาอยากผลักเปิดประตูเข้าไป แต่ก็รู้สึกขลาดกลัว ลูบจมูกเป็นครั้งคราว ก่อนกัดริมฝีปาก สีหน้าท่าทางดูทุกข์ระทม

เด็กที่พูดปด จมูกจะยาวจริงหรือ?

เซียวจื่อเซวียนรู้สึกกลัวยิ่งนัก กำลังคิดจะเคาะประตู ประตูก็เปิดออก เซียวจื่อเมิ่งกระโดดโลดเต้นออกมา “พี่รอง พี่สะใภ้ใหญ่จะพบท่านเจ้าค่ะ ท่านเข้าไปสิ ข้าจะไปให้อาหารกระต่ายก่อน”

เซี่ยยวี่หลัวสังเกตเห็นความผิดปกติของเซียวจื่อเซวียนหลังจากฟังนิทาน นางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เด็กคนนี้ตกใจกลัว นางเพียงอยากให้เด็กได้เข้าใจ ว่าการพูดปด เป็นเรื่องไม่ดี

ถึงแม้นางจะรู้ว่าจุดประสงค์การพูดปดของเซียวจื่อเซวียนนั้นทำไปเพราะหวังดีต่อนางและเซียวยวี่ ทว่า พูดปดก็คือพูดปด

เซียวจื่อเซวียนเข้าไปด้วยท่าทางคอตก พอเข้าประตู ก็แทบจะร้องไห้ “พี่สะใภ้ใหญ่…”

เมื่อเซี่ยยวี่หลัวเห็นท่าทางอึดอัดและน้อยเนื้อต่ำใจของเขา ก็รู้สึกหัวใจอ่อนยวบ เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “รู้หรือยังว่าตัวเองผิดตรงไหน? ”

“ขอรับ รู้แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ควรพูดปดขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น

เซี่ยยวี่หลัวเห็นว่าเขามีความสัตย์ซื่อ รู้ว่าเขาตระหนักถึงความผิดแล้ว จึงผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนโยน กล่าวด้วยความใจเย็น “พี่สะใภ้ใหญ่รู้ว่าเจ้าหวังดีต่อพี่สะใภ้ใหญ่ คิดอยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้อยู่กับพี่ใหญ่ของเจ้ามากขึ้น”

เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “พี่สะใภ้ใหญ่…”

“พี่สะใภ้ใหญ่รู้สึกขอบคุณเจ้า ทว่า จะละเว้นความผิดของเจ้าเพียงเพราะข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าไม่ได้”

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยความใจเย็น “เรื่องน้ำในโอ่งวันนี้ จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเป็นเรื่องเล็กก็ไม่เล็ก พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าเจ้าทำผิด เจ้าอาจคิดว่าพี่สะใภ้ใหญ่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องเล็ก ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ โบราณกล่าวไว้ การประพฤติตนเมื่ออยู่ในสังคม ผู้มีสัจจะย่อมสามารถยืนหยัด ผู้ไร้สัจจะไร้ที่ยืน ต้องรักษาสัจจะมีความซื่อสัตย์ เจ้ายังเด็ก บางทีคนรอบข้างอาจคิดว่าพูดปดสักหนึ่งหรือสองประโยคนั้นไม่มีอะไร เป็นเพียงการหยอกล้อของเด็กเล็ก แต่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่คิดเช่นนั้น พี่สะใภ้ใหญ่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าต้องซื่อสัตย์รักษาสัจจะ เมื่อเติบใหญ่ถึงจะได้รับความเชื่อถือจากผู้อื่น ถึงจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น เจ้าอยู่กับข้าตั้งแต่เด็ก พี่สะใภ้ใหญ่ย่อมต้องสอนสั่งเจ้าอย่างเข้มงวด”

เซียวจื่อเซวียนเช็ดคราบน้ำตาที่ติดขอบตา พยักหน้าพร้อมกล่าวราวกับเป็นชายชาตรีตัวน้อย “ข้ารู้แล้วขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ ต่อไปข้าจะไม่พูดปดอีกแล้วขอรับ”

“หากเจ้าสามารถแก้ไขข้อผิดพลาด เช่นนั้นย่อมเป็นเด็กดี” เซี่ยยวี่หลัวลูบศีรษะเซียวจื่อเซวียนเบาๆ ย่อตัวลงพร้อมลูบศีรษะของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำ “จื่อเซวียนของข้าเป็นชายชาตรีมีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในภายภาคหน้า ล้วนเป็นชายชาตรีที่ซื่อสัตย์รักษาสัจจะ พูดแล้วไม่คืนคำ”

เซียวจื่อเซวียนกัดฟันกล่าวราวกับให้คำมั่นสัญญา “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านวางใจได้ ต่อไปจื่อเซวียนจะเป็นลูกผู้ชายเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ จะไม่ให้ใครมารังแกท่าน ข้าจะปกป้องท่านไปชั่วชีวิตขอรับ! ”

“ได้ เจ้ากินข้าวให้มาก พี่สะใภ้ใหญ่จะรอคอยให้ถึงวันนั้น ต่อไปมีเจ้าปกป้องพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก! ” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มจนตาหยี ประหนึ่งจันทร์เสี้ยวโค้งมน

ถ้าเซียวจื่อเซวียนจะปกป้องนาง เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องกลัวเซียวยวี่อีก

เซียวยวี่เป็นคนให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวถึงเพียงนั้น น้องชายของเขาเชื่อมั่นและไว้วางใจนางถึงเพียงนี้ หากเซียวยวี่จะสังหารนาง เซียวจื่อเซวียนต้องเป็นคนแรกที่ไม่ยอม เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกเหมือนได้ยันต์คุ้มภัยมาหนึ่งใบ ยิ้มจนคิ้วงามโก่งโค้ง

ส่วนเซียวยวี่ที่ยืนอยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงหัวเราะของเซี่ยยวี่หลัว สีหน้าดูนิ่งขรึมเล็กน้อย

วาจาเหล่านั้นของเซี่ยยวี่หลัว เซียวยวี่ไม่อาจโต้แย้งได้เลย

————————-

เชิงอรรถ

*ผี่นั่วเฉา คือชื่อภาษาจีนของ พินอคคิโอ