“อิ้งหลุน มีเรื่องต้องการให้ท่านช่วย” อวิ๋นเจี่ยวเดินเข้าไป ก่อนจะเล่าเรื่องลั่วคายหยวนหายตัว ตะเกียงวิญญาณดับให้อีกฝ่ายฟัง
“ลูกศิษย์ตัวน้อยหมายถึง ให้ข้าช่วยตามหาวิญญาณตนนั้น?” อิ้งหลุนพลางเสกคาถาทำความสะอาดตนเอง พลางเสกให้เพิงฟางที่พังทลายลงกลับคืนสู่สภาพเดิม
“ใช่!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า“ข้าเคยไปยังสถานที่ที่ถังเฉินผนึกเขาเอาไว้ แต่กลับไม่พบเศษเสี้ยววิญญาณของเขา ดังนั้นอยากถามท่านว่ามีวิธีอื่นหรือไม่”
เธอนั่งลงบนเพิงฟาง ครานี้เยี่ยยวนไม่ได้ขัดขวาง เพียงแต่ขยับเข้าใกล้ทีละนิด…ทีละนิด…จนกระทั่งทั้งสองคนไร้ช่องว่างระหว่างกัน จากนั้นจึงเอื้อมมือไปกอดคนตรงหน้าเอาไว้ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปยังคนข้างตัว สีหน้าของเขาแดงขึ้นอีกเล็กน้อย
“เรื่องนี้ง่าย เพียงแค่ทำการเรียกวิญญาณเท่านั้น แค่เพียงอีกฝ่ายมีเศษเสี้ยววิญญาณหลงเหลืออยู่บนโลก ข้าล้วนเรียกมาได้” อิ้งหลุนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “แต่ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ สู้ปลูกผักเสียดีกว่า เฮ้อ ข้าว่านะลูกศิษย์ตัวน้อย เจ้าเป็นคนคิดมากเกินไป เรื่องของสามโลกเจ้าจะไปสนใจทำไมกัน อย่างไรแล้วทำไปทำมาก็มีเพียงไม่กี่เรื่อง เจ้าจะสนใจทำไมกัน สู้กลับไปปลูกกระเทียมในยมโลกกับข้าเสียดีกว่า ข้าจะบอกเจ้าให้ หากมีวิธีการของข้า คู่กับเมล็ดพันธุ์ของเจ้า พวกเราต้องทำให้ทั่วทั้งยมโลกเขียวได้อย่างแน่นอน! เมื่อถึงเวลานั้น…”
“…” ใครอยากจะไปปลูกผักทั่วยมโลกกับท่านกัน! อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุก ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงพูดไม่หยุดนั้น เธอก็หยิบลูกแก้วมิติก่อนหน้านี้ยื่นออกไปให้เขา “เจอสิ่งนี้ตอนที่ผนึกวิญญาณตัวนั้น ด้านบนคงยังมีกลิ่นอายของอีกฝ่าย ท่านดูว่าจะสามารถเรียกวิญญาณออกมาได้หรือไม่”
อิ้งหลุนที่กำลังพูดถึงแผนการปลูกผักทั่วทั้งยมโลกนั้นชะงักลง ก่อนจะรับลูกแก้วนั้นมาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ พลางท่องคาถาพลางบ่นอุบอิบ
“ทำไมพวกเจ้าล้วนมาให้ข้าเรียกวิญญาณ เรียกวิญญาณจะน่าสนใจเท่าปลูกกระเทียมได้อย่างไร…”
ล้วน? หมายความว่าอย่างไร
“เอ๊ะ?” อิ้งหลุนตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองคนทั้งสอง “พวกเจ้าหาวิญญาณดวงเดียวกันอยู่เหรอ กลิ่นอายบนลูกแก้วนี้เหมือนกับที่เยี่ยยวนให้ข้ามาเมื่อกี้”
“อาจารย์ปู่?” อวิ๋นเจี่ยวตะลึง ก่อนจะหันไปมองเยี่ยยวนที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความสงสัย
“พวกเจ้าทำอะไรกัน” อิ้งหลุนบ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “เรียกวิญญาณเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก พวกเจ้ายังให้ข้าเรียกถึงสองครั้ง ลูกศิษย์ตัวน้อยก็แล้วไป เยี่ยยวนเจ้าสนใจเรื่องของสามโลกตั้งแต่เมื่อใดกัน ใจตรงกันเช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสอง…”
เขาพูดไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ชะงักลงราวกับสังเกตอะไรบางอย่างได้ เขาหันควับไปมองเยี่ยยวน ก่อนจะหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว มองวนไปวนมาอยู่หลายรอบ สุดท้ายสายตาของเขาติดอยู่ที่มือที่กุมกันแน่นของทั้งคู่ ทันใดนั้นราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาเบิกตาโพลง ก่อนจะกระโดดขึ้นมาราวกับปลาไหลลงหม้อต้ม
“เฮ้ย!” เขากระโดดลงบนพื้นด้วยสีหน้าตกตะลึง “พวก…พวกเจ้า…”
เขาชี้ไปยังเยี่ยยวน นิ้วมือของเขาสั่นเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น: “ ไม่จริงใช่หรือไม่! เยี่ยยวนเจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่า ลูกศิษย์ตัวน้อยยังเป็นเด็กเล็ก เจ้ายังลงมือได้ เจ้าไม่ได้เกลียดผู้หญิงหรือ โรคของเจ้าหายตั้งแต่เมื่อไร ตัวเองมีโรคยังทำร้ายเด็กเล็กไปด้วย วัวแก่ไร้ยางอาย ไม่กลัวฟ้าผ่า ช่างเลวทรามยิ่งนัก! เลวทรามยิ่งกว่าคนนั้นเสียอีก! สามพันปีมานี้ข้าดูเจ้าผิดไปจริงๆ ดอกไม้สดปักอยู่บน…โอ้ย!”
ในขณะที่เขากำลังด่าอย่างดุเดือดนั่น นาทีถัดมาก็ถูกเยี่ยยวนที่หน้าดำทะมึนราวกับก้นหม้อเหยียบจมลงไปในดิน เยี่ยยวนพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นยะเยือก “เจ้าลองพูดอีกคำเดียว!”
ข้าชอบศิษย์หลานด้วยความสามารถข้า เจ้ายุ่งอะไร!
凸(艹皿艹)
เด็กเล็กอวิ๋นเจี่ยว: “…”
ดังนั้น ประเด็นสำคัญของอิ้งหลุนคือความต่างของอายุหรือ
***
ห้านาทีต่อมา
เยี่ยยวนยกเท้าที่เหยียบอยู่ออก ก่อนจะถามเสียงเย็น “ผล?”
อิ้งหลุนถึงได้แงะตัวเองออกจากพื้นดินด้วยความเคยชิน พลางนวดหน้าพลางกรอกตาอย่างไม่เกรงกลัว
“อืม เหมือนที่เจ้าเดาเอาไว้ อยู่ในนั้น”
“ในไหน” อวิ๋นเจี่ยวฟังไม่เข้าใจ
“ในมือของเจ้าไง!” อิ้งหลุนชี้ไปยังมือขวาของเธอ
“มิติเม็ดทราย?” อวิ๋นเจี่ยวมองดูลูกแก้วบนฝ่ามือ ก่อนจะตระหนักได้
“ท่านหมายถึงวิญญาณของลั่วคายหยวนอยู่ในมิติ?!”
“เสี้ยววิญญาณ!” อิ้งหลุนเสกคาถาสะบัดดินโคลนบนร่างกายของตนเองจนสะอาด จากนั้นจึงตอบ
“เมื่อครู่เยี่ยยวนบอกว่ามีดินแดนลับที่ใกล้จะสำเร็จ ให้ข้าลองสืบดูจากกลิ่นอายว่ามีเศษเสี้ยววิญญาณใดหลุดเข้าไปในนั้น กลายเป็นวิญญาณชักนำ!”
“วิญญาณชักนำ?” คืออะไร
“มิติเม็ดทรายต้องมีวิญญาณชักนำถึงจะกลายเป็นดินแดนลับได้” เยี่ยยวนตอบ ก่อนจะหันหลังเดินกลับมาโอบเอวของเธอย่างเปิดเผย “วิญญาณชักนำเข้าสู่ดินแดน ได้รับมอบหนทางแห่งสวรรค์ สรรพสิ่งก่อเกิด”
“…” อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุก คิ้วขมวด ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ท่านแปลเป็นภาษาทั่วไปได้หรือ” อาจารย์ปู่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะท่านประหยัดคำพูดเกินไป ดังนั้นคนอื่นจึงไม่เข้าใจตำราที่ท่านเขียน!
เยี่ยยวน: “…”
“ฮ่าๆ…” อิ้งหลุนหัวเราะต่อหน้าเยี่ยยวนอย่างไม่เกรงใจ! ในขณะที่สีหน้าของเยี่ยยวนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำอีกครั้ง อิ้งหลุนจึงหยุดหัวเราะ ก่อนจะอธิบาย
“ลูกศิษย์ตัวน้อย เยี่ยยวนหมายถึง มิติเม็ดทรายเดิมทีสามารถรองรับได้เพียงสิ่งไม่มีชีวิต หากต้องหารรอบรับสิ่งมีชีวิตต้องได้รับการยอมรับจากหนทางแห่งสวรรค์ก่อน เพราะว่ามีเพียงภายใต้หนทางแห่งสวรรค์ สรรพสิ่งจึงยังเกิด”
“มีวิญญาณชักนำจะสามารถได้การยอมรับจากหนทางแห่งสวรรค์?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ
“จะพูดเช่นนั้นก็ได้” อิ้งหลุนนั่งลงบนเพิงฟางอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายต่อ “วิญญาณชักนำที่ว่า อันที่จริงแล้วก็คือเศษเสี้ยววิญญาณที่กระจัดกระจาย แค่เพียงชักนำวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเข้าไป หนทางแห่งสวรรค์ย่อมยอมรับฟ้าดินผืนนี้ ในเวลานั้นสรรพสิ่งล้วนบังเกิดได้ อีกทั้งยังวนเวียนอยู่เช่นเดียวกับสามโลก แต่ว่าก่อนอื่น ภายในดินแดนลับนี้ต้องมีฟ้าดินที่สมบูรณ์ เหมาะสมสำหรับการเติบโตของสรรพสิ่ง มิเช่นนั้นสรรพสิ่งล้วนไม่อาจอยู่ได้”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงะมีฟ้าดินที่สมบรณ์”
“ต้องมีพลังห้าธาตุ!” อิ้งหลุนอธิบาย “ทอง ดิน ไฟ น้ำ ไม้ ไม่อาจขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปได้ สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดคือโอกาสในการเติบโตของสรรพสิ่ง…”
“เส้นชีพจรเทพ!” อวิ๋นเจี่ยวคิดถึงพลังเทพที่พบเห็นในมิติ
“โอ๊ะ ลูกศิษย์ตัวน้อยฉลาดเฉลียวเสียจริง! เดาปุ๊บถูกปั๊บ!” อิ้งหลุนหัวเราะเหอะ
“สมองที่ฉลาดเฉลียวเช่นนี้กลับไปปลูกกระเทียมกับข้าที่ยมโลกดีกว่า ไม่เห็นต้องสนใจเรื่องเหล่านี้เลย อย่าเลียนแบบใครบางคน…บ้าคลั่งอย่างมาก ไร้มนุษยธรรม หน้าไม่อาย…”
ในขณะที่อิ้งหลุนกำลังเริ่มรอบใหม่นั้น อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุก ก่อนจะพูดขัดขึ้น “เช่นนั้นเสี้ยววิญญาณของลั่วคายหยวนคือวิญญาณชักนำหรือ”
“อ่อ ไม่ใช่!” อิ้งหลุนหยุดฝีเท้าที่กำลังจะกระโดดข้ามเขตแดนแห่งความตายลง ก่อนจะส่ายหัว “เสี้ยววิญญาณนี้เป็นความผิดปกติ!”
“…”
ความผิดปกติ?