“ศิษย์หลานไม่รู้อะไร แต่ละเสี้ยววิญญาณมีความแตกต่างกันไป ไม่ใช่วิญญาณทุกตัวจะกลายเป็นตัวนำได้” อิ้งหลุนมองนางทีหนึ่ง ก่อนจะอธิบายต่อ “สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีวิญญาณ แต่ไม่ได้มีจิตทุกตัว มีเพียงสิ่งที่มีสัมปชัญญะแล้วถึงจะสามารถเรียกได้ว่าจิตวิญญาณ ซึ่งจิตวิญญาณเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดินแดนลับต้องการ หากแต่เป็นเศษเสี้ยววิญญาณที่กระจัดกระจาย เช่นนี้ถึงแม้จะมีสิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นในดินแดนลับ ก็จะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไร้สัมปชัญญะเท่านั้น มีเพียงสถานที่เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าดินแดนลับ”
“หากมีวิญญาณที่มีสัมปชัญญะจะเป็นอย่างไร” อวิ๋นเจี่ยวถาม
“เช่นนั้นก็จะไม่ใช่ดินแดนลับแล้ว” อิ้งหลุนพูดออกมา “หากด้านในมีวิญญาณมนุษย์ เช่นนั้นก็จะมีการเวียนว่ายตายเกิด หนทางแห่งสวรรค์จะรวมดินแดนแห่งนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสามโลกทันที ผู้ที่สร้างดินแดนลับเช่นนี้ขึ้นมาล้วนเพื่อได้ทรัพยากรด้านในอย่างสะดวกเท่านั้น คนที่สร้างขึ้นไม่มีทางมอบดินแดนนี้ให้หนทางแห่งสวรรค์”
อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า เข้าใจแล้ว!
หมายความว่า มิติแห่งนี้เป็นที่ดินส่วนตัวในเดิมที หากมีวิญญาณที่มีสัมปชัญญะเข้าไปด้านใน หมายความว่าจะต้องส่งมอบให้ประเทศ?
“ดังนั้นข้าจึงบอกว่า วิญญาณที่พวกเจ้าตามหาถูกดึงเข้าไปด้านในด้วยความบังเอิญ หรือไม่ผู้ที่สร้างดินแดนลับนี้โง่เขลาจริงๆ !” อิ้งหลุนพูดต่อ “สาเหตุที่มิตินี้ยังไม่กลายเป็นดินแดนลับที่แท้จริงก็คงเป็นเพราะเศษเสี้ยววิญญาณของมนุษย์ ตอนนี้ดินแดนลับคงจะสร้างมาสำเร็จแล้ว อย่างมากก็ทำได้เพียงรักษาลักษณะเช่นนี้ไว้! ศิษย์ตัวน้อย หรือไม่ข้าช่วยเจ้าลากเศษเสี้ยววิญญาณนั้นออกมา”
อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ต้องลากออกมา จุดประสงค์ที่นางมาก็เพื่อหาวิญญาณของลั่วคายหยวน “รบกวนท่านด้วย!”
อิ้งหลุนในฐานะที่เป็นราชายมโลกที่มีงานอดิเรกนั้นก็ถือว่าเพิ่งพาได้ในยามคับขันเหมือนกัน เขาหยิบลูกแก้วในมือขึ้นมา ก่อนที่จะมีบางอย่างแวบขึ้นมาบนมือเขา นาทีถัดมาก็เห็นเพียงเขาดึงบางสิ่งที่มีลักษณะโปร่งใสคล้ายหมอกควันออกมาจากลูกแก้ว
เขาปล่อยมือออก หมอกควันกลุ่มนั้นก็ค่อยๆ รวมตัวกันขึ้นมาจนมีรูปร่างเป็นคน เพียงแต่ไม่ค่อยเสถียรเท่าใดนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจรวมตัวกันได้สำเร็จ แต่เมื่อมองไปก็สามารถเห็นชุดยาวที่เหมือนกับคนทั้งสี่ของเขตหมิ่นเฟิน
อวิ๋นเจี่ยวไม่เคยเห็นเศษเสี้ยววิญญาณที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ดูแล้วอ่อนแอเสียยิ่งกว่าหานซูเสียอีก นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังบนตัวของอีกฝ่าย อีกทั้งยังเจือจางลงเรื่อยๆ “เขา…”
“ใกล้จะสลายแล้ว” อาจารย์ปู่พูดขึ้น จากนั้นเขาเสกคาถาขึ้น นาทีถัดมาบริเวณโดยรอบของเศษเสี้ยววิญญาณที่เหมือนหมอกควันนั้นปรากฏบางสิ่งที่คล้ายกับลูกโป่งใสห่อรอบตัวเพื่อหยุดการสลายเอาไว้
อวิ๋นเจี่ยวคิ้วขมวดเล็กน้อย เดิมทีนางคิดให้อิ้งหลุนตามหาวิญญาณออกมา เพื่อถามอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะช่วยวิญญาณกลับมาได้หรือไม่
“อิ้งหลุน ท่านมีวิธีช่วยวิญญาณของเขาไหม” นางหันไปมองอิ้งหลุน
“โยนลงแม่น้ำหยินก็พอแล้ว” อิ้งหลุนพูด “วิญญาณอะไรลงไปในแม่น้ำหยินล้วนกลับมาเหมือนเดิมได้”
“…” แม่น้ำหยินอีกแล้ว!
ทุกอย่างยกให้แม่น้ำหยินทำ จะมีราชายมโลกไว้ทำอะไร
อวิ๋นเจี่ยวมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย บางทีนางก็สงสัยว่าอิ้งหลุนเป็นราชายมโลก หรือราชาแม่น้ำกัน เหตุใดนอกจากปลูกกระเทียมริมแม่น้ำแล้ว ก็เหลือเพียงโยนวิญญาณลงแม่น้ำ
แต่ว่าอีกฝ่ายเหมือนจะไม่รู้ตัว เขายังคงพูดเจื้อยแจ้วเหมือนอย่างเคย “ข้าบอกเจ้าให้ วิญญาณลักษณะนี้ ข้ามีประสบการณ์ในการโยนอย่างมาก เพียงแค่เข้าไปในยมโลก พวกเขาได้กลิ่นกระเทียมที่ข้าปลูกก็จะลอยมาริมแม่น้ำเอง ข้าไม่ต้องใช้มือแม้แต่น้อย เพียงแค่ถีบทีเดียวก็พอแล้ว จริงๆ นะ สะดวกอย่างมาก! เจ้าอยากเรียนหรือไม่ ข้า…”
“ไม่ต้อง!” อวิ๋นเจี่ยวพูดขัดคำพูดของเขา ก่อนจะหยิบยันต์เก็บวิญญาณออกมาหนึ่งใบ พร้อมกับเก็บวิญญาณที่ไม่อาจรวมตัวได้เข้าไป “วันนี้ขอบคุณท่านมาก ข้ามีธุระขอตัวไปก่อน อีกสองสามวันข้าจะเอาเมล็ดพันธุ์มาให้” พูดจบก็ลากอาจารย์ปู่เดินลงเขาไป
“เอ๊ะ ไปแล้วหรือ” อิ้งหลุนยังพูดไม่จบ อีกฝ่ายก็หายลับไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงตะโกนออกมา “เจ้ายังไม่ได้เก็บผักเลย! มะเขือเทศเอาหรือไม่ ยังมีแตงกวา ถั่วฝักยาว ดอกกะหล่ำสนใจหรือไม่! จริงสิอย่าลืมเมล็ดพันธุ์ ข้าอยากได้กระเทียม…”
…
ยมโลก เขตหมิ่นเฟิน
อวิ๋นเจี่ยวมายมโลกเป็นครั้งที่สาม ถือได้ว่าเป็นแขกประจำของยมโลกแล้ว แต่เขตหมิ่นเฟินแตกต่างจากเขตอื่นอย่างสิ้นเชิง พลังวิญญาณในที่นี้มีความเข้มข้นอย่างมากชนิดที่ว่าเมืองหลวงของแต่ละเขตยังเทียบไม่ได้ มิน่าอาจารย์อาเหวินชิงในตอนนั้นถึงส่งศิษย์พี่หานมารักษาตัวที่นี่
หลังจากมาถึงยมโลก พวกนางอ้อมไปหาราชาซิวหลิงเพื่อถามตำแหน่งที่แน่นอนของเขตหมิ่นเฟิน ราชาซิวหลิงจึงเปิดประตูผีส่งพวกนางข้ามไปยังนอกเขตหมิ่นเฟิน อีกทั้งยังมอบตะเกียงผีสำหรับนำทางให้ นอกจากนี้ยังได้กำชับให้พวกนางเดินตามไฟ ก็จะเห็นเมืองหมิ่นเฟิน
แต่ว่าวิญญาณในสถานที่แห่งนี้มีน้อยอย่างประหลาด วิญญาณที่พวกนางเห็นตลอดทางสามารถนับนิ้วได้ อีกทั้งยิ่งเดินลึกเข้าไปในเมือง วิญญาณรอบด้านยิ่งน้อยลง พวกเขาเดินไปไม่ถึงสองเค่อก็ไม่เห็นวิญญาณแม้แต่ตัวเดียวแล้ว แต่บริเวณรอบด้านกลับมืดลงเรื่อยๆ อีกทั้งยังสามารถได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น ภายในพลังวิญญาณทั่วทั้งท้องฟ้าปะปนไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบาย
“อาจารย์ปู่ พวกนั้น…” นางหันไปมองคนด้านข้าง
เยี่ยยวนที่เปลี่ยนหน้าสำหรับออกข้างนอกกระชับมือของนางแน่น “พลังปีศาจที่กระจัดกระจายเท่านั้น ไม่ต้องกังวล”
พลังปีศาจ!
สถานที่เชื่อมต่อกับโลกปีศาจอย่างที่ว่าเหรอ มีพลังปีศาจจริงๆ ด้วย! เพียงแต่พลังเหล่านั้นกระจัดกระจาย คงจะสลายหายไปในเวลาไม่นาน
อวิ๋นเจี่ยวโล่งใจ ก่อนจะหันไปกำชับชายแก่ให้ติดยันต์สกัดกั้นอีกหลายใบ พวกนางเป็นมนุษย์ อยู่ในสถานที่ที่มีพลังวิญญาณมากมายเช่นนี้ ต้องระวังตัวหน่อย
ทั้งสามคนเดินตามตะเกียงไฟผีไปอีกครึ่งเค่อ ถึงได้พบเห็นเปลวไฟเลือนลางจากด้านหน้า ก่อนที่เมืองผีแห่งหนึ่งจะปรากฏขึ้น เปลวไฟภายในเมืองแตกต่างจากเมืองอื่นที่เป็นไฟผีสีเขียว หากแต่เป็นเปลวไฟสีเหลืองหรือขาวดังเช่นบนโลกมนุษย์
เมืองแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก ด้านในส่องสว่างไปด้วยเปลวไฟ ทำให้เมืองผีสว่างไสว เพียงแต่ภายในเมือง…เงียบสงบอย่างแปลกประหลาด
“ใคร” ในขณะที่พวกนางกำลังจะเข้าเมือง ร่างสองร่างลอยลงมาขวางหน้าพวกนางเอาไว้
ทั้งสองสวมชุดสีดำเหมือนกัน ในมือถืออาวุธ จ้องมองทั้งสามคนอย่างระแวง
ชายแก่เดินขึ้นหน้า “พวกข้าเป็นลูกศิษย์จากสำนักชิงหยาง มาเพื่อเรื่องการหายตัวของสหายลั่วคายหยวน ต้องการเข้าพบเจ้าเขตหมิ่นเฟิน!”