“พวกเจ้าคือคนเสวียนเหมินที่ทำร้ายสหายลั่ว!” ชายชุดดำคนด้านข้างพูดขึ้น พร้อมกับจ้องเขม็งพวกเธอด้วยความโกรธ เขากำอาวุธในมือแน่น ทำท่าทางจะพุ่งเข้ามา
“ทั้งสองท่านเข้าใจผิดแล้ว เรื่องของสหายลั่วมีความผิดปกติ ไม่ใช่ฝีมือของเสวียนเหมินอย่างแน่นอน” ชายแก่อธิบายอย่างรวดเร็ว
“พวกข้าตามหาเศษเสี้ยววิญญาณของเขาพบแล้ว ดังนั้นจึงหาสถานที่แห่งนี้”
“สหายลั่วยังไม่ตาย?!” ทั้งสองคนผงะ ดวงตาของทั้งคู่ลุกวาวขึ้น
ชายแก่พยักหน้า “เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง สหายทั้งสองนำพวกข้าไปเข้าพบเจ้าเขตได้หรือไม่”
อาจเป็นเพราะได้ยินว่าวิญญาณของลั่วคายหยวนยังไม่สลาย ท่าทีของทั้งสองคนแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีทันที พวกเขาเก็บอาวุธในมือ ลังเลอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น “พวกท่านตามพวกข้าเข้าเมืองก่อน พวกข้าจะนำพวกท่านไปจวนเข้าเขต”
พวกเธอเดินตามขึ้นไป เมืองแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก มีเพียงถนนเส้นเดียวภายในเมือง เพียงแต่เวลานี้บนถนนมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่วิญญาณ “สหายทั้งสอง เหตุใดเมืองแห่งนี้จึงเงียบสงบเช่นนี้” ชายแก่ถาม
“วันกลืนปริวรรตใกล้มาถึงแล้ว ‘เมฆาปีศาจ’ ปรากฏขึ้นมาล่วงหน้า เจ้าเขตและเหล่าสหายต่างออกนอกเมืองไปจัดการเรื่องนี้ เวลานี้ไม่อยู่ภายในเมือง มีเพียงพวกข้าเฝ้าเมืองเท่านั้น” คนทางด้านซ้ายตอบ
“เมฆาปีศาจ?” ชายแก่ผงะ คืออะไร
อีกฝ่ายหันมามอง ก่อนจะอธิบาย “เขตหมิ่นเฟินของพวกข้าจะปรากฏวันกลืนปริวรรตทุกหนึ่งร้อยปี ในวันนี้พลังปีศาจบริเวณเขตแดนจะเพิ่มพูนมากขึ้นกลายเป็นเมฆาปีศาจรั่วไหลเข้ามาในยมโลกผ่านทางผนึก ดังนั้นเหล่าสหายต้องสลายพลังปีศาจเหล่านี้ออกไปก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันหลั่งไหลเข้าสู่ยมโลก”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ชายแก่พยักหน้า มิน่าเถิงสีและทั้งสี่คนนั้นถึงจากไปอย่างรีบร้อน คงเป็นเพราะการปรากฏขึ้นมาล่วงหน้า
ทั้งสองคนนำพวกเธอมายังจวนหลังใหญ่ด้านในสุด เมื่อเทียบกับสถาปัตยกรรมภายในเมือง จวนหลังนี้มีความประณีตมากกว่าอย่างมาก หน้าประตูมีสิงโตหินสองตัวตั้งอยู่ ด้านหลังของสิงโตหินเป็นเสาหินขนาดใหญ่ ด้านบนสลักมังกรเอาไว้สองคู่ สิ่งที่น่าแปลกคือในปากของมังกรคาบลูกแก้วเอาไว้สองลูก ลำตัวมังกรคดเคี้ยวไปทางด้านบน บริเวณตรงกลางประตูมีป้ายสี่เหลี่ยมแขวนเอาไว้
เห็นเพียงบนป้ายสี่เหลี่ยมนั้นเขียนไว้ด้วยตัวอักษรสีทอง…เสวียนเหมินดั้งเดิม!
เอ๊ะ?
อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ที่เห็นป้ายต่างผงะไป พวกเธอหันไปมองคนนำทางทั้งสองด้วยสีหน้าฉงน
“อ่อ เจ้าเขตพวกข้าออกมาจากเสวียนเหมินเช่นกัน ดังนั้นจึงมีตัวอักษรสี่ตัวนี้” คนหนึ่งอธิบายขึ้น จากนั้นเหมือนนึกยางอย่างได้จึงพูดเสริม “เพียงแต่เสวียนเหมินของเจ้าเขตไม่เหมือนกับของพวกท่านในตอนนี้”
เขารีบพูดขึ้นราวกับกลัวว่าพวกเธอจะดึงเจ้าเขตของเขาตกต่ำลง
พวกเธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินตามทั้งสองคนเข้าไปภายในจวน ก่อนจะเดินมาถึงห้องโถงใหญ่
“อีกครึ่งชั่วยามเจ้าเขตจึงจะจัดการเรื่องเมฆาปีศาจสำเร็จ พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อน” ทั้งสองคนชี้ไปยังเก้าอี้กลางโถง
“ขอบคุณสหายทั้งสอง”
ทั้งสองคนไม่ได้อยู่รอ เมื่อส่งคนถึงที่แล้วก็กลับออกไปเฝ้าประตูเมือง
เดิมทีคิดว่าต้องรออีกนาน อวิ๋นเจี่ยวแม้แต่ขนมก็หยิบออกมาเตรียมให้อาจารย์ปู่แล้ว สุดท้ายไม่ถึงหนึ่งเค่อ พลังวิญญาณด้านนอกเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก อีกทั้งดูจากความเข้มข้นนี้ คนที่มาคงมีไม่น้อย
คงจะเป็นคนในเมืองกลับมาแล้ว
นาทีถัดมา ร่างทั้งสามเดินเข้ามาจากด้านนอกโถง สองคนด้านหลังเป็นคนที่คุ้นเคยอย่างเถิงสีและหานซู ส่วนคนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดคือชายหนุ่มที่อายุน้อยอย่างมาก
แตกต่างจากคนอื่น เขาสวมชุดยาวสีขาวทั้งตัว ทำให้โดดเด่นอย่างมากภายใต้พลังวิญญาณมหาศาล รูปร่างของเขาสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหล่าอย่างมาก ถึงแม้จะไม่เท่าอาจารย์ปู่และอิ้งหลุนได้ แต่หากเดินอยู่บนถนน อัตราการหันมองคือร้อยละร้อยอย่างแน่นอน
เหมือนเขาจะได้ยินเรื่องราวจากคนที่เฝ้าประตูเมืองมาแล้ว ดังนั้นจึงเดินตรงเข้ามาในโถงโดยตรง ในขณะที่อีกฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาในโถงใหญ่ อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันได้ทักทาย คนด้านหลังเขากลับพุ่งออกมาก่อน
“ศิษย์น้องอวิ๋น!” ร่างในชุดดำลอยมาอยู่ตรงหน้าของทั้งสามคน ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร มารับข้าหรือ ดีจริง บาดแผลของข้าดีขึ้นมาแล้ว หรือไม่ข้าตามพวกเจ้ากลับเมืองโยวหลิงตอนนี้เลย หรือกลับโลกมนุษย์ก็ได้!” พูดจบยังกะพริบตาถี่ให้ทั้งสองคน
“ศิษย์พี่…หาน” อะไรกัน ตะคริวกิน?
เถิงสีรีบสาวเท้าเดินเข้ามาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ศิษย์พี่หาน ท่านเพิ่งรวมพลังวิญญาณได้ จะหายดีได้อย่างไร” จากความเร็วเช่นนี้ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยเจ็ดแปดสิบปีกว่าจะฟื้นฟูได้
“ไม่!” หานซูพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ “ข้าหายแล้ว! ข้าหายแล้วแน่นอน! ศิษย์น้องสี เจ้าไม่เข้าใจ!”
“แต่ว่าร่างจริงของท่านยังประคองไว้ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม”
“ข้าหายแล้วจริงๆ ไม่เชื่อเดี๋ยวข้ารวมให้พวกเจ้าดู!” พูดจบ พลังวิญญาณรอบตัวของเขาเข้มข้นขึ้น วิญญาณของเขาค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้น ร่างกายของเขาค่อยๆ ตกลงมา ในขณะที่เท้าทั้สองข้างกำลังจะเหยียบพื้น “พวกเจ้าดู ร่างจริงของ…”
ฟู่…
เขายังพูดไม่ทันจบ พลังวิญญาณบนตัวของเขาสลายไปในพริบตาราวกับลูกโป่งที่ถูกเจาะ ร่างกายของเขากลับกลายเป็นกึ่งโปร่งใสดังเดิม อีกทั้งยังล่องลอยเสียยิ่งกว่าตอนเข้ามา
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
ชายแก่: “…”
เถิงสี: “…”
อะไรกัน
หากไม่ใช่ใบหน้านี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาคงจำไม่ได้ว่าเขาคือหานซูที่สุขุมนุ่มลึกในตอนนั้น เวลาหลายปีมานี้ เขาถูกอะไรทำร้ายจิตใจ? เหตุใดนิสัยจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้
“เจ้าคือคนที่ศิษย์น้องเล็กพูดถึง…ศิษย์หลานอวิ๋น?” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวพอจะเดาได้ว่าชายหนุ่มที่อายุน้อยคนนี้คือใคร เธอจึงเอ่ยปากทักทาย “อาจารย์อาหลง”
หลงฉางผงะไปเล็กน้อย ราวกับไม่เคยชินกับคำเรียกของพวกเธอ เขายิ้มก่อนจะหันไปมองยังชายแก่
“ศิษย์หลานไป๋?”
ชายแก่รีบตอบกลับ “อาจารย์อาหลง”
เขาพยักหน้า ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปยังคนที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ “ท่านนี้คือ?”
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะนึกได้ว่าอาจารย์ปู่เหมือนจะไม่ชอบคุยกับอาจารย์อาเหล่านี้ เธอจึงอธิบาย
“เขาเป็นคนในเสวียนเหมินเช่นกัน สหายจี้เฉิน” อย่างไรหน้าก็เหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงใช้ชื่อของจี้เฉิน
“อ่อ” หลงฉางตอบรับ ไม่ได้ถามมาก แต่ในดวงตากลับฉายวาว…ผิดหวัง?
เขาหันไปมองคนด้านหลังสองคน “เถิงสี พลังวิญญาณของหานซูไม่นิ่ง เจ้าพาเขากลับข่ายพลังรวมวิญญาณพักผ่อนก่อน”
“ขอรับ อาจารย์!” เถิงสีไม่ได้ลังเล เขาหันไปพยักหน้าเป็นการบอกกล่าวเหล่าอวิ๋นเจี่ยว ก่อนจะพยุงหานซูออกไป
หลงฉางนั่งลงบนที่นั่งหลักในโถง เขาหันไปมองทั้งสามคน พร้อมยิ้มด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“ข้าได้ยินสหายที่เฝ้าประตูเมืองบอกว่า พวกเจ้าตามหาเศษเสี้ยววิญญาณของลั่วคายหยวนเจอแล้ว?”