เว่ยจางนึกไม่ถึงว่ากลับเจอว่าที่ภรรยาของตนทอดถอนใจในวันมงคลเช่นนี้ ทำให้ภายในใจของเขาอดฉงนสงสัยไม่ได้ เหตุใดนางต้องถอนหายใจ หรือว่ายังมีอะไรที่น่ากังวลใจอีก
น้าตู้ซานยกถาดเดินมา ข้างบนมีถ้วยชาวางอยู่หนึ่งถ้วย กลับเห็นว่าเป็นพวกเขาสองคน ฉะนั้นจึงยิ้มลำบากใจ “นึกไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพก็อยู่ที่นี่ บ่าวรินน้ำชามาแค่ถ้วยเดียว ใครจะดื่มก่อนเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปรินมาอีกถ้วยเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกถ้วยชามาเป่าน้ำชาจนเกิดฟอง แค่จิบไปหนึ่งคำ ก็รู้สึกว่าเป็นรสชาติที่ตนเองไม่โปรดปราน จึงวางกลับไปที่เดิม
“ให้ข้าเถอะ” แม่ทัพเว่ยที่ยืนอยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือไปรับไว้ แล้วดื่มหมดภายในสองคำ แล้วเอาถ้วยชาวางกลับไป “ไม่ต้องไปรินน้ำชาแล้ว เจ้าไปยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น ห้ามให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาเด็ดขาด”
เหยาเยี่ยนอวี่ลืมตามองคนๆ นี้ที่เอาน้ำชาที่ตนดื่มไป แล้วมองน้ำชาที่ถูกดื่มจนหมดในถ้วยชาอันขาวโพลนที่ยังมีชาดสีแดงอ่อนๆ ประทับอยู่ จากนั้นก็เอาถ้วยชาวางกลับไปบนถาดที่น้าตู้ซานถือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังออกคำสั่งด้วยเสียงเรียบ เหมือนเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติอย่างมาก
คุณหนูเหยาแค่รู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ ใบหน้าแดงก่ำเหมือนถูกไฟแผดเผา ฉะนั้นนางจึงหันหลังกลับไปทันที
ทำเช่นนี้ได้อย่างไร นี่เป็นการจูบทางอ้อมชัดๆ?! คุณหนูเหยาเปรยคำพูดเหล่านี้อย่างบ้าระห่ำในใจ
แม่ทัพเว่ยกลับเดินตามมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำยังเอ่ยถามด้วยความเฉยเมย “เป็นไรไป”
“ไม่เป็นไร” เหยาเยี่ยนอวี่กำลังขบคิดในใจ เจ้ามันเป็นหุ่นไม้ หุ้นไม้อย่างไรก็ยังคงเป็นหุ่นไม้วันยันค่ำ
“เช่นนั้นเหตุใดแก้มของเจ้าถึงได้แดงปานนี้” เว่ยจางคลี่ยิ้มอ่อนๆ
“…” เหยาเยี่ยนอวี่กำลังคิดในใจ นางที่เป็นคนปกติไม่ควรถือสาเจ้าหุ่นไม้
ทั้งสองเดินเคียงไหล่เดินไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน ริมทะเลสาบเคล้าด้วยบรรยากาศอันครื้นเครง ส่วนทางนี้กลับเงียบสงบอย่างมาก
เดินไปสักระยะหนึ่ง เว่ยจางถึงจะหันหน้าเข้าหาเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมมองตานางและเอ่ยถาม “เหตุใดถึงดูไม่มีความสุข”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างประหม่า แล้วละสายตามองไปยังใบไม้ไผ่ที่กำลังส่งเสียงซู่ๆ พร้อมเปรยขึ้น “ก็เพราะเรื่องไร้สาระเหล่านั้นน่ะสิ” กล่าวจบ ยังไม่ทันฟังว่าเว่ยจางจะพูดอะไรออกมา จึงกล่าวเพิ่มเติมอีกประโยค “เมื่อครู่คุณหนูซ่งมาร้องไห้ต่อหน้าข้า คุณหนูซ่ง…ก็คือบุตรีของจิ้งหนานปั๋ว นางอายุน้อยกว่าข้าหนึ่งปี เป็นบุตรีของอนุภรรยาเช่นกัน พวกเราถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวแต่เด็ก”
“อ้อ” เว่ยจางพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง ผ่านไปสักพักถึงจะพูดขึ้น “หากรู้สึกไม่สบายใจ ข้าจะไปที่นั่นพร้อมเจ้าเอง”
“ไปที่นั่น? ไปทำอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่มองเว่ยจางอย่างประหลาดใจ
“ไปจวนจิ้งหนานปั๋วอย่างไร” เว่ยจางยังคงความนิ่งสงบเหมือนตอนแรก
“เจ้าจะให้ข้าไปรักษาซ่งเหยียนชิง?” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามอย่างไม่น่าเชื่อ
“ข้าไม่อยากให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อีกอย่าง การลงโทษไอ้สารเลวนั่นก็ยังมีอีกหลากหลายวิธี” เจ้าใช้วิชาการแพทย์รักษาผู้ป่วย เจ้ามีมือคู่หนึ่งที่ใช้ช่วยชีวิตผู้คน หากเป็นไปได้ ข้าอยากจะให้มือคู่นี้ของเจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับหยกตลอดไป
เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ เข้าใจในความหมายของเว่ยจาง ขณะเดียวกันก็รู้สึกตกตะลึง
เขาบอกว่าการลงโทษไอ้สารเลวนั่นมีหลากหลายวิธี? เขารู้ได้อย่างไร และมั่นใจเช่นนี้ได้อย่างไร!
“ทว่าข้ามีเงื่อนไข” เว่ยจางไม่สนว่าภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่จะรู้สึกตกตะลึงมากเพียงใด ทว่ายังคงท่าทางที่นิ่งสงบเช่นนี้
“เงื่อนไขอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกใจไม่ดีเล็กน้อย นางนึกไม่ถึงว่าการแสดงละครตบตาของนางกลับถูกคนๆ นี้มองทะลุปรุโปร่ง
“ห้ามตรวจจับชีพจรและฝังเข็มให้เขา แค่อนุญาตให้มองเขาเพียงแวบตาเดียว แล้วแค่มองจากที่ไกลๆ เท่านั้น มองแค่หน้า ห้ามมองเรือนร่างของเขา หลังจากจ่ายยาให้เขาก็ออกไปทันที” น้อยครั้งที่แม่ทัพเว่ยจะจุกจิกเรื่องมากเช่นนี้
เหยาเยี่ยนอวี่เกือบจะหัวเราะร่วนออกมา ทำเช่นนี้เช่นนั้นไม่ได้ บุรุษคนนี้ขี้เหนียวปานนี้เลยหรือ ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ยังคงทำตามเงื่อนไขของบุรุษขี้เหนียวกล่าวมา “อืม จริงๆ แล้วก็ไม่ต้องดูอาการอะไรหรอก แค่ให้ยาหนึ่งขวดกับเขาก็พอแล้ว”
แม่ทัพเว่ยเลิกคิ้วเข้มขึ้น “เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเจ้ายอมรับว่าการป่วยครั้งนี้ของเขาเป็นฝีมือของเจ้า?”
“พวกเขาไม่มีหลักฐาน” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อน มีเพียงถ้วยชาใบนั้นที่ถูกชุ่ยเวยทำลายไปแล้ว และไม่รู้ว่าทิ้งไปไหนแล้ว ต่อให้สงสัยว่ามีคนทำร้ายเขา ก็คงไม่มีทางสงสัยตนเองแน่นอน
“เจ้ายังถูกคนร่ำลือว่าเจ้าเป็นหมอเทวดาไม่พออีกหรือ” แม่ทัพเว่ยยังคงจับผิดนางอย่างต่อเนื่อง
“พอเถอะ เช่นนั้นก็ฟังเจ้าทั้งหมด” เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม แล้วเกียจคร้านถกเถียงกับบุรุษที่ทำตัวเหมือนเด็กคนนี้ หากแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้แล้ว นางจะได้กลับเมืองหลวงอวิ๋นด้วยความสบายใจ
วันที่ฮ่องเต้ทรงกำหนดไว้ก็ใกล้มาถึงเข้าทุกวัน เหยาเยี่ยนอวี่มั่นใจได้ว่า การกลับเมืองหลวงอวิ๋นในครั้งนี้ เกรงว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ก็คงไม่ได้กลับมาที่นี่แน่นอน
ส่วนข้าหลวงเหยาที่จัดงานเลี้ยงสุดอลังการในวันนี้ นอกจากจะเฉลิมฉลองงานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้แล้ว ก็ยังถือว่าเป็นการส่งตัวบุตรีออกเรือน
งานวิวาห์เป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้นจึงไม่ควรสุกเอาเผากิน จวนแม่ทัพก็ต้องเก็บกวาดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พิธีการก่อนพิธีสมรสที่สมควรมีต้องควรจัด หากยังคงดึงดันแบบนี้ต่อไป ต่อให้จะเร่งจัดพิธีงานสมรสก็ยังต้องใช้เวลาครึ่งค่อนปี
แม้กระทั่งหวางฮูหยินยังคิดไว้ว่าจะให้หนิงซื่อติดตามเหยาเหยียนอี้เข้าเมืองหลวงไปในครั้งนี้ เหตุผลประการแรกคือต้องการให้ไปดูแลชีวิตการเป็นอยู่ของเหยาเหยียนอี้ คอยสะสางงานเรือนในจวน เหตุใดประการที่สองก็เพื่อให้นางเป็นตัวแทนของตระกูลผู้ให้กำเนิดเหยาเยี่ยนอวี่ตอนจัดพิธีสมรสของนางและเว่ยจาง อีกอย่าง เหยาเฟิ่งเกอกำลังจะคลอดบุตร หลังการคลอดบุตร การอยู่เดือนเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ต้องมีคนในตระกูลคอยดูแลอยู่เคียงข้าง
วันถัดจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ทั้งบ่าวไพร่ที่ต่ำต้อยที่สุดในจวนข้าหลวงใหญ่ต่างก็เหน็ดเหนื่อยจนปวดเมื่อยตามร่างกาย หวางฮูหยินเองก็ยังไม่รู้สึกผ่อนคลายแม้แต่เพียงน้อย ยังต้องยุ่งแต่เช้าจนถึงกลางดึก นางมัวแต่กลุ้มใจทุกๆ เรื่องในจวนและนอกจวน
ข้าหลวงเหยายุ่งกับกิจธุระเสร็จก็กลับจวน ก็เห็นหวางฮูหยินยังคงพึ่งพาอาศัยแสงเทียนในการตรวจสอบรายการของขวัญที่เป็นแผ่นกระดาษยาวเหยียด ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “ของพวกนี้วางไว้ที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน รีบไปพักผ่อนเถอะ”
หวางฮูหยินถอนหายใจยาวๆ แล้วพูดขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาก็ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอีกครั้ง ข้าว่าตามความหมายของท่านย่าแล้ว ยังคงโทษพวกเราที่ไม่ให้ยัยหนูรองไปรักษาอาการให้คุณชายใหญ่ซ่ง”
ข้าหลวงเหยาขมวดคิ้ว “งานสมรสของเยี่ยนอวี่ก็ได้กำหนดมาแล้ว ชื่อเสียงอันป่นปี้ของซ่งเหยียนชิงถูกคนข้างนอกร่ำลือกัน ทั้งยังป่วยเป็นโรคเช่นนี้ อย่าว่าแต่เหล่าสตรีเลย ตอนนี้คนที่เป็นมนุษย์ก็ยังต้องหลบเลี่ยงเขา จะให้เยี่ยนอวี่ไปรักษาเขาได้อย่างไร ถ้าเกิดเว่ยเสี่ยนจวินรู้เรื่องนี้เข้า ต้องคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่ง”
“นี่ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ข้ากังวลแค่เรื่องสุขภาพร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่า” หวางฮูหยินเปรยด้วยความเศร้ารันทด
เวลานี้ ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่ามิอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ การงานของบุตรชายสองคนเพิ่งจะมั่นคง หากฮูหยินผู้เฒ่าจากไปจริงๆ เหยาหย่วนจือคงต้องไว้อาลัยมารดาที่เสียชีวิตไปสามปี สองพี่น้องเหยาเหยียนอี้ยังไม่ทันได้รักษาตำแหน่งให้มั่นคง ก็ต้องไว้ทุกข์ตามไป นั่นก็เท่ากับว่าตระกูลเหยาต้องออกจากราชสำนัก แม้นอนาคตจะมีหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายอีกครั้ง ทว่าจะมีตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองและรองเจ้ากรมป่าไม้อีกได้อย่างไร”
อีกอย่าง เหยาเยี่ยนอวี่ก็มีอายุสิบเจ็ดปีแล้ว งานสมรสก็ถูกกำหนดมาแล้ว เรื่องที่ควรกลุ้มใจต่อไปก็เรื่องงานสมรสของนาง หากไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ผู้ที่เป็นหลานสาวทางสายเลือด ย่อมต้องไว้อาลัย เพื่อแสดงความกตัญญูต่อเป็นเวลาสามปี
ความกังวลใจเหล่านี้ สองสามีภรรยาไม่อาจพูดให้ต่างฝ่ายเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ทว่าต่างฝ่ายต่างรู้ดี ยิ่งไปกว่านั้น เหยาหย่วนจือคือปัญญาชน การกตัญญูถูกฝังอยู่ในสายเลือด ช่วงก่อนเพราะเรื่องของซ่งเหยียนชิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะขัดแย้งกับมารดาของเขา ภายในใจก็รู้สึกทุกข์ทนมากแล้ว