ข้าหลวงเหยาแค่นเสียงเรียบเฉยไปสักพัก แล้วพูดขึ้น “วันรุ่งขึ้นจะให้เยี่ยนอวี่ไปตรวจจับชีพจรให้ท่านแม่ดู ภายในใจของพวกเราต่างรู้ดี ช่วงก่อนที่ท่านแม่โวยวายก็ทำลายสุขภาพร่างกายมามากแล้ว”
หวางฮูหยินเปรยขึ้น “ความวิตกกังวลของท่านแม่ยังคงอยู่ เกรงว่ายัยหนูรองก็คงจนปัญญาจริงๆ ข้ายังได้ข่าวมาว่าคุณชายใหญ่ซ่งเหมือนจะมีชีวิตที่รอดพ้นเดือนนี้ไม่ได้หรือเปล่า”
“ด้านนอกมีคนร่ำลือกันเช่นนี้จริงๆ” เหยาหย่วนจือขมวดคิ้วพูดขึ้น
ไม่รู้ว่าหากซ่งเหยียนชิงสิ้นใจไป ฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นเช่นไร นางคงจะเกลียดบุตรชายของตนที่นั่งนิ่งดูดายกับปัญหาที่ตระกูลผู้ให้กำเนิดนางหรือเปล่า พอนึกถึงเช่นนี้ เหยาหย่วนจือรู้สึกหัวสมองใกล้จะระเบิดแล้ว
“มิเช่นนั้น…” หวางฮูหยินที่กำลังจะเอ่ยอะไรก็หยุดชะงักลง นางครุ่นคิดว่าหากให้เหยาเยี่ยนอวี่ไปดูอาการ ซ่งเหยียนชิงก็ยังต้องสิ้นใจอยู่ดี ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็คงไม่มีทางโวยวายอะไรอีกต่อไป ชีวิตของคนขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคน ต่อให้โวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงเวลาทุกคนมีอะไรจะพูดแน่นอน
เหยาหย่วนจือขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น “เรื่องนี้จำต้องปรึกษาหารือกับเว่ยเสี่ยนจวินก่อน พวกเขาสองสามีภรรยาจะได้ไม่ต้องมีปัญหากันเพราะเรื่องไร้แก่นสารเช่นนี้ อนาคตหากทะเลาะกันขึ้นมา คงไม่เป็นผลดีต่อทุกคน”
“ให้เหยียนอี้ไปคุยกับเขาเถอะ ข้าเห็นว่าเขากับเหยียนอี้พอเข้ากันได้” หวางฮูหยินพูดขึ้น
“ไปถามความคิดของยัยหนูรองก่อนเถอะ หากนางดื้อดึงไม่ยอมไปรักษา เรื่องนี้ก็ต้องไม่มีประโยชน์อันใดแน่นอน!”
ซ่งเหยียนชิงเป็นหมาหัวเน่าในตอนนี้ ต่อให้ตายไปก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย เขาตายไป จะได้ไม่ต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าพร่ำบ่นถึงเรื่องที่จะให้ยัยหนูสามแต่งงานกับเขา จู่ๆ พอนึกถึงเช่นนี้ เหยาหย่วนจือก็สะบัดแขนเสื้อแล้วพลันลุกขึ้นพลางเดินเข้าไปในเรือนนอน
วันถัดไป เหยาเหยียนอี้ยังไม่ทันไปหาเว่ยจาง เว่ยจางกลับมาเยือนถึงจวนก่อน แล้วพูดสาเหตุที่มาเยือนในวันนี้
เหยาเหยียนอี้ก็รู้สึกฉงนสงสัย เหยียดกายลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเว่ยจาง พร้อมกับมองตาเขา แล้วเอ่ยถามเป็นคำๆ อย่างชัดเจน “แม่ทัพเว่ย ใจ กว้าง เยี่ยง นี้เลยหรือ”
เว่ยจางพูดขึ้นโดยตรง “การรักษาผู้ป่วยเป็นความปรารถนาของนาง ข้าไม่อยากให้นางมีปมในใจ ภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกไม่สบายใจ”
เหยาเหยียนอี้แสยะยิ้ม พร้อมเอ่ยถามให้แน่ใจอีกครั้ง “แม้ข้าจะไม่คิดว่าเจ้าสารเลวนั่นจะเป็นโรคติดต่อจากการเสพสังวาสจริงๆ ก็ไม่เชื่อว่าฟ้าสวรรค์จะเลือกเวลานี้ให้กรรมตามสนองเขา ทว่าแม่ทัพเว่ยแน่ใจว่าจะให้เยี่ยนอวี่ไปรักษาเจ้าสารเลวนั่นจริงหรือ”
“ขอรับ” เว่ยจางแค่นเสียงดูหมิ่นในลำคอ “วิธีที่เล่นงานคนประเภทนี้มีหลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องให้นางลงไม้ลงมือ”
เหยาเหยียนอี้ค่อยๆ พยักหน้า แล้วชูนิ้วโป่งขึ้นเว่ยจาง ไม่ได้มากความอะไรอีก และไม่จำเป็นต้องพูดอะไรใดๆ
หวางฮูหยินได้ยินคำพูดของเหยาเหยียนอี้ จึงลอบสวดมนต์ในใจ พร้อมกับเปรยขึ้น “ต่อให้ยัยหนูรองตกปากรับคำว่าจะไปตระกูลซ่ง ก็ไม่ควรไปแบบนี้ ข้าจะวางแผนเอง พวกเจ้าฟังสิ่งที่ข้ามอบหมาย”
เหยาเหยียนอี้ตอบกลับ “แน่นอนว่าต้องฟังสิ่งที่ท่านแม่มอบหมายอยู่แล้วขอรับ”
คืนนั้น หวางฮูหยินจึงไปน้อมราตรีสวัสดิ์ฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังคงโกรธเคืองเนื่องด้วยเรื่องของซ่งเหยียนชิง แน่นอนว่าต้องไม่เสวนากับหวางฮูหยินดีๆ อยู่แล้ว
หวางฮูหยินก็ไม่โกรธเคืองใดๆ แค่สั่งให้สาวใช้และผัวจื่อที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไป แล้วเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง “ท่านแม่รู้ได้อย่างไรว่ายัยหนูรองต้องรักษาโรคนี้หายเจ้าคะ”
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่านางจะรักษาให้หายได้นี่!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพูดอย่างขุ่นเคืองใจ “ข้าแค่ให้นางไปดูอาการ! แค่เป็นเรื่องที่คนเป็นมิตรพึงกระทำ! ตอนนี้คนทั่วพิภพก็รู้ว่านางมีทักษะการแพทย์ ตระกูลซ่งมาขอร้องข้า หรือว่าพวกเจ้าจะไม่ช่วยคนที่ใกล้ตาย?! พวกเจ้ามีจิตใจที่โหดเหี้ยมเกินไปหรือเปล่า!”
หวางฮูหยินอุทานขึ้น “พวกเราก็แค่เห็นแก่ชื่อเสียงของยัยหนูรองเท่านั้น”
“หากลอบไปลอบมาอย่างเงียบๆ แค่ให้พี่ชายนางและคนสนิทติดตามไปด้วย เรื่องนี้ยังจะถูกแพร่งพรายให้ผู้อื่นร่ำลือกระนั้นอีกหรือ!”
“เช่นนั้นเรื่องของยัยหนูสามล่ะเจ้าคะ” หวางฮูหยินเอ่ยถามอีกครั้ง
“พวกเจ้ากลัวว่าข้าจะยกยัยหนูสามให้ตระกูลซ่ง จึงยืนหยัดไม่ให้ยัยหนูรองไปรักษาอาการป่วยใช่หรือไม่ เจ้าวางใจเถอะ แค่ยัยหนูรองไป เรื่องของยัยหนูสามข้าจะไม่ยุ่งอีกต่อไป!”
หวางฮูหยินได้ยิน จึงลอบถอนหายใจพลางพูด “เช่นนั้นก็ทำตามคำสั่งของท่านแม่เถอะ ข้าจะไปบอกยัยหนูรองเอง”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น “ตอนนี้เจ้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดนางแล้ว! นางไม่ฟังเจ้าแล้วจะให้ไปฟังใคร”
สำหรับการเย้ยหยันดูหมิ่นพวกนี้ หวางฮูหยินไม่อยากเรียกร้องอะไร อย่างไรนางก็รู้ดี หากซ่งเหยียนชิงมีชีวิตอยู่ต่อถึงจะดี หากสูญสิ้นชีวิตไป นางกับฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่มีทางเข้ากันได้อีกต่อไป
จะไม่สนใจอะไรอีก! หวางฮูหยินเหยียดกายลุกขึ้นพลางกล่าวอำลา แล้วยืดตัวตรงเดินออกไปด้านนอกอย่างสง่างาม ชีวิตนี้สิ่งที่นางอยากได้ วันนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้นางได้ นางแค่ทำหน้าที่ของภรรยาที่กตัญญูต่อบิดามารดาแทนสามี ตอนนี้นางก็ได้ทำตามภาระหน้าที่แทนสามีแล้ว แค่หวังว่าจะเข้าใจก็พอ
พูดถึงตอนสุดท้าย นางก็ไม่ได้หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเห็นนางเป็นสะใภ้คนรู้ใจ นางมีบุตรชาย บุตรี และหลานชาย บุตรชายและบุตรีของนางก็สร้างครอบครัวที่ดีกันแล้ว หลานชายก็เริ่มร่ำเรียนหนังสือ นางคงไม่มีอะไรน่ากังวลใจอีก
ตอนกลางคืน เหยาเยี่ยนอวี่มีเหยาเหยียนอี้และเว่ยจางติดตามไปจวนจิ้งหนานปั๋ว
นางแค่ยืนอยู่หน้าเตียงของซ่งเหยียนชิง แล้วให้สาวใช้เลิกมุ้งดูใบหน้าที่น่าเวทนาจนมองไม่ได้เพียงพริบตาเดียว แล้วออกจากเรือน
จิ้งหนานปั๋วฮูหยินเห็นเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ พลันเอ่ยถาม “ยัยหนูรอง เจ้ามีวิธีใดหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่เอาขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นไป “ยาเม็ดในนี้ถูกปรุงมาเพื่อรักษาโรคงูสวัดโดยเฉพาะ ใช้น้ำกินหนึ่งเม็ดทั้งเช้าและกลางคืน แล้วใช้อีกสองเม็ดนำไปละลายในน้ำเพื่อทาบนผิวหนังที่มีตุ่ม หลังจากใช้ยาพวกนี้จนหมด เขาก็คงจะหายดีแล้ว หากไม่เห็นผลใดๆ ข้าก็ไม่มีวิธีอื่นใดแล้ว”
จิ้งหนานปั๋วฮูหยินจับขวดกระเบื้องนั้นไว้ราวกับจับหญ้าช่วยชีวิตเอาไว้ พร้อมกล่าวขอบคุณอย่างต่อเนื่อง
เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมตัวให้นางเล็กน้อย “นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราขอตัวก่อน”
จิ้งหนานปั๋วฮูหยินเอ่ยคำพูดเชิงดึงรั้ง เหยาเยี่ยนอวี่แค่ยิ้มอ่อนๆ แล้วค้อมตัวลง พร้อมหันหลังเดินออกไปข้างนอก
เหยาเหยียนอี้ก็พูดถ้อยคำเกรงใจกับจิ้งหนานปั๋วฮูหยินไปไม่กี่คำ เว่ยจางเดินตามออกไปข้างนอกอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
กลับถึงจวนข้าหลวงใหญ่ หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่ลงรถแล้วเดินไปด้านในไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลง เหยาเหยียนอี้กับเว่ยจางกำลังพูดคุยกัน พอเห็นนางหยุดชะงักลง ทั้งสองจึงมองไป
เหยาเยี่ยนอวี่หันหลังเดินกลับไปไม่กี่ก้าว แล้วเอ่ยถามเหยาเหยียนอี้ “พี่รอง ท่านรู้หมดแล้วใช่หรือไม่”
เหยาเหยียนอี้แย้มยิ้มจางๆ “ข้ารู้อะไร”
เหยาเยี่ยนอวี่มองเขาไม่พูดไม่จา แล้วเหยาเหยียนอี้ก็หัวเราะออกเสียง “ช่างเถอะ อย่าเอาเรื่องและคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากระทบจิตใจของตนเลย เรื่องสำคัญยังยุ่งไม่เสร็จเลย นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่มองเว่ยจางเพียงพริบตาเดียวอีกครั้ง เว่ยจางก็ยิ้มอ่อนๆ มองนาง แววตาประดุจลมยามคิมหันต์ฤดูในเจียงหนาน ทั้งอ่อนโยนและชุ่มชื่น ทันใดนั้นนางก็รู้สึกทั้งดวงใจถูกเติมเต็ม และไม่อาจเติมสิ่งอื่นใดเข้าไปในหัวใจอีก ดังนั้นนางก็แย้มยิ้มอ่อนๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
“เหล่าสตรีมักจะคิดมากจริงๆ” เหยาเหยียนอี้ยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร
เว่ยจางคลี่ยิ้มจางๆ แล้วพูดขึ้น “อืม เวลาก็ดึกมาแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
“ในจวนมีเรือนรับแขก ไม่เช่นนั้นก็ค้างแรมที่นี่ไหม” นี่เป็นครั้งแรกที่เหยาเหยียนอี้เป็นฝ่ายเชิญชวนแม่ทัพเว่ย
“ยังมีกิจธุระทางราชการต้องสะสาง จึงไม่รบกวนทางจวนแล้ว”