ตอนที่ 377 ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร / ตอนที่ 378 โอกาสหายาก

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 377 ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร

ว่าแต่คืนนี้เธอสงบเสงี่ยมจัง พูดจาก็ฟังดูเข้าที

ไม่ร้องขอให้แสดงความเห็นงั้นเหรอ?

เหอะ…

ท่าทีที่ดูมั่นอกมั่นใจนั้น เห็นได้ชัดว่าเลยเธอรีบร้อนอยากจะนำเสนอตัวเองเต็มแก่แล้ว

ถึงแม้จะบอกว่าในงานไม่มีสื่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสื่อปะปนเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไม่มีสื่ออยู่จริง แต่งานนี้ก็มีนักลงทุนมาเข้าร่วมเยอะแยะมากมาย หากทำให้พวกเขาเพียงแค่สักสองสามคนหลงเชื่อได้ ก็ถือเป็นกำไรของเฉินเชียนโหรวแล้ว

ทั้งยังสร้างความประทับใจให้กับสกุลเผยได้อีก มีเหตุผลอะไรจะไม่ทำล่ะ

เพียงแต่ มีเรื่องที่บังเอิญขนาดนั้นอยู่จริงเหรอ

สายตาของเฉินฝานซิงจับจ้องไปทางชายหนุ่มที่พูดเรื่องโอเชี่ยนซาวด์คัพเมื่อครู่นี้ ดวงตาใสสะอาดคู่นั้นฉายประกายลึกซึ้งออกมา

เพลงที่เฉินเชียนโหรวบรรเลงคือเพลง “Souvenirs D’enfance” ของริชาร์ด เคลย์เดอร์มอง

เสียงตัวโน้ตล่องลอยอยู่ท่ามกลางงานเลี้ยงฉลองที่แสนยิ่งใหญ่ เสียงเปียโนที่ไพเราะแสดงถึงความอบอุ่นและความสุข

เสียงโน้ตตัวสุดท้ายจบลง ชายหนุ่มคนเดิมที่เสนอความคิดเห็นเมื่อครู่นี้เป็นคนปรยมือให้กำลังใจนำขึ้นมาก่อน

จากนั้นผู้คนในงานจึงทยอยกันส่งเสียงปรบมือชอบใจ

“ไม่เลว ไม่เลว ไพเราะเสนาะหู ท่วงทำนองสวยงาม ความสามารถในการเล่นเปียโนของคุณหนูเฉินไม่ธรรมดาจริงๆ เข้าใจเรื่องดนตรีอย่างถ่องแท้เลย”

“เพราะมากจริงๆ”

“ไม่ทราบว่าคุณหนูเฉินเรียนเปียโนมานานแค่ไหนแล้ว”

เฉินเชียนโหรวอมยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนตอบเสียงเบา

“ช่วงหลายปีมานี้ยุ่งกับการทำงานมาก จนถึงตอนนี้ก็ประมาณสิบหกปีแล้วค่ะ”

“เพราะมากจริงๆ คุณหนูเฉิน ความสามารถระดับคุณได้รางวัลโอเชี่ยนซาวด์คัพก็สมควรแล้วนี่นา”

“ต่อให้ไม่มีโอเชี่ยนซาวด์คัพมายืนยัน ความสามารถด้านศิลปะนี้ของคุณหนูเฉินไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็โดดเด่นได้ นั่นก็แค่ถ้วยรางวัลถ้วยเดียว…”

เฉินเชียนโหรวได้แต่ยิ้มตอบพลางส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปทาง “ผู้เสนอความเห็น” เมื่อครู่นี้แล้วพยักหน้าน้อยๆ

“ผู้เสนอความเห็น” คนนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางพยักหน้าไม่หยุด

ไม่นานนัก สายตาของเขาก็มาหยุดลงบนเฉินฝานซิง

“คุณหนูใหญ่สกุลเฉิน คุณมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการแสดงของน้องสาวของคุณเมื่อกี้นี้บ้างครับ”

เฉินฝานซิงที่นั่งอยู่เฉยๆ บนเก้าอี้ของตัวเอง เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาคู่นั้นสุกสกาวราวกับดวงดาวฉายประกายความเย็นชาออกมา แฝงไปด้วยความเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง เธอจ้องมองไปทาง “ผู้เสนอความคิดเห็น” คนนั้น

ขณะนั้น เธอเพียงแค่ยกมุมปากเล็กน้อย และไม่ได้ตอบคำถามคนคนนั้นไปตรงๆ เพียงแต่ย้อนถามกลับไปว่า

“ไม่ทราบว่า คุณเป็นใคร”

เมื่อเฉินฝานซิงพูดจบ แขกรอบๆ ที่อยู่ใกล้เธอก็หลุดหัวเราะออกมา

ส่วนรอยยิ้มบนใบหน้าของ “ผู้เสนอความคิดเห็น” คนนั้นก็ค้างเติ่งอยู่บนใบหน้า

คำพูดง่ายๆ เพียงประโยคเดียว ราวกับกำลังบอกว่า ฉันรู้จักคุณเหรอ เรื่องอะไรจะต้องไปตอบคำถามคุณด้วย

ยโสจริงๆ!

ชายหนุ่มปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฝืนใจยิ้มเจื่อนๆ ออกมา

“ไม่ใช่คนมีความสามารถอะไรหรอก ผมคือหลินสื่อเจีย คุณแม่ของผมเป็นโปรดิวเซอร์ดนตรีที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก”

“หลินสื่อเจีย? ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ อยู่นะ”

“โปรดิวเซอร์ดนตรีชื่อดังนี่ เป็นคนทำเพลงที่กำลังดังอยู่ตอนนี้หลายเพลงเลย ศิลปินและแบรนด์ใหญ่หลายๆ แบรนด์มาขอให้เขาช่วยเขียนเพลงให้ทั้งนั้นแหละ”

“ฉันจำได้ เหมือนว่าเขาจะเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ด้านดนตรี ซื่อซือซินนะ ซื่อซือซินคนนั้นเคยปั้นนักร้องดังๆ มาสองรุ่นแล้วนะ ทำเพลงให้ศิลปินนักร้องมานับไม่ถ้วน หลินสื่อเจีย ถือเป็นศิษย์ก้นกุฏิคนเดียวของเธอเลยก็ว่าได้”

หลินสื่อเจียได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็เผยให้เห็นสายตาชั่วร้ายออกมา ทั้งยังมองไปอย่างเฉินฝานซิงด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องแฝงไปด้วยความท้าทาย

เฉินฝานซิงได้ยินก็พยักหน้าโดยไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายเลยสักนิด

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ในเมื่อโปรดิวเซอร์หลินเอ่ยชื่นชมความสามารถในการเล่นเปียโนของเธอไม่ขาดปาก ฉันก็รู้สึกว่ายอดเยี่ยมเหมือนกัน”

เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านของเธอ หลินสื่อเจียก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทว่าขณะนั้นเองเฉินเชียนโหรวกลับพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่ที่ชมฉัน จนป่านนี้แล้ว เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ได้รับการยอมรับจากพี่ ฉันดีใจมากเลย”

เฉินฝานซิงเลิกคิ้ว ไม่ตอบโต้อะไร

อยู่ในเกียวโต แถมยังเป็นวันเกิดของนายใหญ่สกุลเผย แม้แต่เฉินเชียนโหรวเองวันนี้ก็รู้จักสงวนท่าทีระวังคำพูดคำจา แน่นอนว่าเธอไม่มีทางโง่ทำตัวเด่นเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของงานเสียเองแน่

“ครั้งแรกที่ได้รับคำชมงั้นเหรอ ถ้าพูดแบบนี้ก็หมายความว่าคุณหนูใหญ่สกุลเฉินพูดเออออไปตามคนอื่นอย่างนั้นเหรอ ตอนนั้น คุณเองก็เข้าร่วมการแข่งขันเปียโนเหมือนกันใช่ไหม ไหนลองคอมเมนต์อย่างละเอียดให้ฟังสักหน่อยสิ คิดว่ายังไงบ้าง”

เฉินฝานซิงส่ายหน้าน้อยๆ “ฉันพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะคอมเมนต์อะไร”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้ให้คุณมาบรรเลงเองสักเพลงเลยจะดีกว่า ให้พวกเราได้สัมผัสกับสิ่งที่คุณคิดว่า “ดี” ดูหน่อย”

ตอนที่ 378 โอกาสหายาก

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้ให้คุณมาบรรเลงเองสักเพลงเลยจะดีกว่า ให้พวกเราได้สัมผัสกับสิ่งที่คุณคิดว่า “ดี” ดูหน่อย”

เฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง รอยยิ้มที่เฉยชาจดจ้องไปยังหลินสื่อเจีย “ฉันไม่ได้เล่นเปียโนมาประมาณห้าหกปีแล้ว โปรดิวเซอร์หลินทำไมต้องเจาะจงฉันด้วย”

เจาะจง?

ผู้คนส่วนใหญ่ในงานต่างก็รู้สึกได้ถึงเรื่องนี้ ล้วนไม่เข้าใจว่าหลินสื่อเจียคนนี้จู่ๆ ทำไมถึงต้องพูดเรื่องโอเชี่ยนซาวด์คัพเมื่อหกปีที่แล้วขึ้นมาด้วย

หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องที่กำลังโด่งดังบนอินเทอร์เน็ตจริงๆ

จะว่าไปคนที่เป็นศิลปินก็มักจะมีพฤติกรรมอะไรแปลกๆ ยากจะเข้าใจบ่อยๆ อยู่แล้ว

หลินสื่อเจียตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูใหญ่สกุลเฉินเข้าใจผมผิดแล้ว ในปีนั้น คุณไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันโอเชี่ยนซาวด์คัพ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ ในฐานะนักดนตรีคนหนึ่ง ผมไม่ได้ฟังบรรเลงเปียโนของคุณ รู้สึกว่าน่าเสียใจจริงๆ…”

“บนโลกใบนี้มีนักดนตรีเป็นร้อยเป็นพันคน ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะเสียใจอะไรเลยที่ไม่ได้ฟังการแสดงของฉัน แล้วบนโลกใบนี้ก็มีคนเล่นเปียโนเป็นพันๆ หมื่นๆ คน หรือว่าคุณจะต้องรู้สึกเสียใจหมดเลยงั้นเหรอ”

“พรวด…”

รอบๆ มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาเบาๆ แม้แต่เย่ซู่ซู่ที่อยู่ข้างๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาเพราะคำพูดของเฉินฝานซิงไปด้วย

ผู้หญิงคนนี้ ดูเผินๆ ก็เหมือนคนปกติทั่วไป แต่พอถึงบทสู้คนไม่บกพร่องเลยสักนิด

ป๋อจิ่งชวนแอบยิ้มมุมปากน้อยๆ นั่งพิงพนักเก้าอี้สายตานิ่งเรียบเหมือนปกติ ความโดนเด่นและแข็งแกร่งที่พยายามเก็บซ่อนไว้ปิดบังไว้ไม่ได้ เขาก้มหน้ามองต่ำ ดูเหมือนว่าไม่มีท่าทีใส่ใจการประจันหน้ากันอย่างไม่มีที่มาที่ไปครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย

หลินสื่อเจียหน้าเสียไปครู่หนึ่ง “แน่นอนว่าผมไม่มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้น ช่วงนี้เรื่องของสองพี่น้องสกุลเฉินครองหน้าอินเทอร์เน็ตไปไม่น้อย วันนี้เป็นโชคของผมที่ได้เจอตัวจริง ในฐานะที่เป็นคนคอเดียวกัน เลยอยากจะถือโอกาสนี้ปรึกษาพูดคุยซึ่งกันและกัน ก็ใช่ว่าจะเสียหายไม่ใช่เหรอ”

ใครอยากจะปรึกษาพูดคุยกับคุณกัน แล้วมันส่งผลดีอะไรกับเธอบ้างเหรอ

แต่ว่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่หลินสื่อเจียเริ่มมองเธอ เธอก็รู้แล้วว่าคืนนี้เขาจะต้องราวีจนถึงที่สุดแน่

เฉินฝานซิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าหมดความอดทนและเอือมระอา

“ดูเหมือนว่าถ้าคืนนี้ถ้าฉันไม่ยอมเล่นเปียโน เรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ แน่”

หลินสื่อเจียยักไหล่ “โอกาสหายาก”

เฉินฝานซิงยกยิ้มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ

“ตั้งแต่การแข่งขันเปียโนเมื่อหกปีก่อน ฉันก็ไม่เคยได้จับเปียโนแบบจริงๆ จังๆ อีกเลย ถ้าวันนี้เล่นไม่ดี หวังว่าทุกคนคงไม่มองฉันเป็นตัวตลก หากเทียบกับคุณเฉินเชียนโหรวที่เรียนมาสิบห้าสิบหกปี ฝีมือฉันยังห่างไกลอีกมาก”

หลินสื่อเจียพยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มด้วยท่าทางเป็นมิตร “ไม่ทำอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว”

เฉินเชียนโหรวแอบเลิกคิ้วอยู่คนเดียว ภายในใจกำลังหัวเราะอย่างเหยียดหยาม

ถ้าเล่นไม่ดีแน่นอนว่าต้องถูกหัวเราะเยาะอยู่แล้ว!

ไม่สนว่าเธอจะเรียนมากี่ปี สุดท้ายก็แค่คนที่ “สู้ไม่ได้” ก็แค่นั้นแหละ!

เฉินฝานซิงอมยิ้มเล็กน้อย “อย่างไรฉันก็จะแสดงแล้ว ในเมื่อเป็นวันครบรอบวันเกิดของคุณปู่พอดี ฉันก็จะขอใช้โอกาสนี้บรรเลงหนึ่งบทเพลงให้กับท่าน ในขณะเดียวกันก็เป็นการอวยพรให้คุณปู่อายุยืนยาว อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร มีความสุขไม่มีสิ้นสุด”

นายใหญ่สกุลเผยก็ยังคงพยักหน้าตอบด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมอย่างเคย “เจตนาดีจริงๆ”

ไม่ว่าอย่างไร นายใหญ่สกุลเผยก็ไม่ได้ชอบของอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ หากจะเทียบกันแล้ว เพลงงิ้วหรือการร้องรำแบบพื้นเมืองเหมือนในสมัยก่อนจะถูกใจเขามากกว่า

เฉินเชียนโหรวเองก็สังเกตได้ถึงท่าทีของเขาแล้ว แต่โชคดีที่เธอเป็นคนเล่นเพลงแรก เพลงบรรเลงโดยเปียโนเหมือนกัน หากแสดงติดกันก็ยากที่จะไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

แน่นอนว่าเฉินฝานซิงมองท่าทีไม่มีอารมณ์ร่วมของชายชราออก ระหว่างนั้นเอง เธอคิดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือรวบผมประบ่าขึ้นมา จากนั้นก็ใช้ยางมัดผมมัดทรงหางม้าสูง