ตอนที่ 379 บนตัวเธอมีราศีแบบที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้อยู่
แน่นอนว่าเฉินฝานซิงมองท่าทีไม่มีอารมณ์ร่วมของชายชราออก ระหว่างนั้นเอง เธอคิดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือรวบผมประบ่าขึ้นมา จากนั้นก็ใช้ยางมัดผมมัดทรงหางม้าสูง
หากเทียบกับท่าทางดูสง่าและทันคนเมื่อครู่นี้แล้ว ผมหางม้าสูงตอนนี้ ทำให้ดูคล่องแคล่วมีไหวพริบขึ้นมากกว่าเดิม
ความสูงที่ไม่ถือว่าเตี้ยในกลุ่มผู้หญิงด้วยกัน รูปร่างเพีรยวบางสูงโปร่ง โครงหน้าที่ได้รูปสวยงาม การแต่งหน้าอ่อนๆ เส้นผมที่ถูกรวบไว้สูงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และใบหน้าที่มักมากับความสงบนิ่งเสมอ
ความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเธอทำให้ไม่อาจละสายตาได้ เพียงแค่มัดผมขึ้นมา ราวกับรัศมีของเธอก็ถูกดึงให้สูงตามไปด้วย ท่าทางอาจหาญมาดมั่น สุขุมเยือกเย็น
เมื่อครู่นี้ตอนที่เพิ่งชมละครเรื่องมู่กุ้ยอิงยอดขุนศึกจบไป ทำให้ได้รู้จักกับมู่กุ้ยอิงวีรสตรีผู้กล้าหาญ ตอนนี้ได้เห็นท่าทางที่ดูมีสง่าราศีของเฉินฝานซิงก็ทำให้นายใหญ่สกุลเฉินดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
ทุกคนต่างก็รู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังดูธรรมดาไร้ซึ่งความน่าสนใจอยู่เลย ตอนนี้กลับดูสง่างามตราตรึงใจ
ความแตกต่างที่ชัดเจนขนาดนี้ ทำให้คนยากจะตั้งตัวได้ทัน
แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับการแต่งตัวแบบนี้ เพราะยังคงท่าทางที่สงบเยือกเย็นไว้อย่างเคยได้
ป๋อจิ่งชวนทอดมองเธอ ดวงตาดำเข้มลึกซึ้งคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายแห่งความตะลึง ชื่นชมและค้นหา
หลายท่วงท่าของเธอมักจะทำให้เขาตะลึงงันจนทำตัวไม่ถูก แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ เขากลับยิ่งรู้สึกว่าในตัวของเธอมีความลับที่ไม่ธรรมดาอีกมากมาย
เฉินฝานซิงเดินขึ้นไปบนเวทีช้าๆ แล้วไปหยุดอยู่ข้างเปียโน แสงไฟสีขาวราวกับแสงอาทิตย์ตอนกลางวันภายในงานส่องสว่างกระทบใบหน้าด้านข้างที่ขาวเขียนละเอียดของเธอ ประกอบกับชุดสูทสีขาวเล่นแสง ทำให้ตัวเธอราวกับมีแสงสว่างสีขาวส่องออกมา ดูสะดุดตาจนทำให้ผู้คนลืมหายใจ
เธอกรีดกรายนิ้วเรียวยาวทั้งห้านิ้วลงบนตัวเปียโนเบาๆ บนใบหน้าที่งดงามและเยือกเย็นปรากฎรอยยิ้มที่ดูคลุมเครือ
ผู้คนต่างก็จับจ้องไปที่เธอไม่วางตาจนเกือบไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียหายใจเพราะกลัวจะทำลายบรรยากาศนี้
ป๋อจิ่งชวนหรี่ตามองดูหญิงสาวบนเวทีที่ตอนนี้กลายเป็นเป็นจุดสนใจของผู้คนอย่างเห็นได้ชัด บนตัวเธอมีราศีแบบที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้อยู่
ผู้หญิงที่มีเพียงคนเดียวบนโลกนี้
แต่กลับเป็นของเขา
เขาเม้มริมฝีปากเบาๆ ดวงตาดำขลับลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ ราวกับบ่อน้ำที่มีแรงดึงดูดมหาศาล หากตกลงไปก็ยากจะหนีออกมาได้
เฉินฝานซิงนั่งลงบนเก้าอี้เปียโน สองมือวางลงบนแป้นเปียโน ทันใดนั้นเอ งมือทั้งคู่ก็ออกแรงกดลงไป เกิดเสียงดังก้องกังวานขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือขึ้นมือกดไล่ไปบนแท่นเปียโนจากซ้ายไปถึงขวาสุด เสียงเมโลดี้ดังติดกันเป็นชุด สุดท้ายก็เงียบไป
ท่าทางในขณะนั้นดูเรียบง่ายแต่สง่างาม ทำให้ความคาดหวังในใจของผู้คนเพิ่มขึ้นมากว่าเดิมหลายเท่า
คิดไม่ออกเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นเพลงแบบไหน
เป็นเพลงเบาๆ ฟังสบายแบบของเฉินเชียนโหรวเมื่อกี้นี้เหรอ
ก็ไม่ค่อยเหมาะ
หรือว่าจะเป็นเพลงมีจังหวะ สนุกสนาน
แต่ก็ดูไม่ค่อยเหมาะอยู่ดี
ถ้างั้นเธอจะเล่นเพลงแบบไหนออกมากันแน่
การลองเสียงเสร็จสิ้น
เฉินฝานซิงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็เบนหน้าไปทางนายใหญ่สกุลเผย ผมหางม้าสะบัดไปมาอยู่ด้านหลังเป็นโค้งที่ดูสวยงามอยู่กลางอากาศ
เธอหันไปพยักหน้าให้กับชายชราเล็กน้อย ความมั่นใจในแววตาคู่นั้นทำให้นายใหญ่สกุลเผยถึงกับผงะไปเล็กน้อยด้วยความตะลึง ชายชราที่เดิมทีไม่ได้มีความคาดหวังอะไรมากมายกับเปียโน แต่เวลานี้กลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว
เฉินฝานซิงหันหลังกลับไป รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปในฉับพลัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ท่ามกลางความเงียบสงบ เฉินฝานซิงยกมือขึ้นมาวางลงไป เล่นเสียงโน้ตต่างๆ ออกมา ความยาวของตัวโน้ตแต่ละตัวนั้นยาวพอสมควร แต่ความยาวของทุกตัวกลับไม่เท่ากันแทบจะฟังดูไม่เป็นคีย์
ทำให้ผู้คนรู้สึกผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตอนที่ 380 ทั้งงานมีเพียงความเงียบสงัด
ทำให้ผู้คนรู้สึกผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เสียเวลารอเปล่าๆ เลย ที่แท้ก็มีความสามารถแค่นี้”
“ถูกราศีของเธอทำเขวจนได้”
“ดูเหมือนว่าปีนั้น ไม่ว่าเธอจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมการแข่งขันก็เหมือนกัน…”
ลำตัวที่แข็งเกร็งของเฉินเชียนโหรวเริ่มผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย
ดวงตาคู่สวยฉายประกายความเย้ยหยัน
เชอะ คิดว่าเธอจะเล่นเพลงมีสไตล์อะไรออกมาเสียอีก
ทว่า ระหว่างที่ผู้คนกำลังสงสัยและรู้สึกผิดหวังกันอยู่นั้น การบรรเลงจู่ๆ ก็เริ่มเข้าสู่บทเพลงที่แท้จริง เสียงดนตรีเริ่มอึกทึกเร้าใจขึ้นมากะทันหัน
เสียงกึกก้องที่ดังกระทบโสตประสาทการได้ยินอย่างจังทำให้ทุกคนต่างก็ตะลึงงันไปตามๆ กัน ราวกับเสียงเปียโนพุ่งเข้ามาในหัวสมองของพวกเขา ทุกสายตาจับจ้องไปทางจุดสีขาวที่อยู่บนเวที
ไหล่ที่เรียวเล็กขยับไปมา หางม้าแกว่งไวอยู่กลางอากาศอย่างไร้ทิศทาง ภายในดวงตาแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยมแห่งความกระหายเลือด ใบหน้างดงามได้รูปเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
ทำเอาทุกคนต่างตะลึงและหวาดกลัว
ไม่เพียงแค่เพราะท่าทีของเฉินฝานซิง แต่ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะตัวบทเพลงที่เล่น
เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวน ลมหนาวโหยหวน พายุทรายซัดสาด ม้าที่หุ้มด้วยเกราะและทวนที่ส่องประกายสีทองท่ามกลางสนามรบ เหล่าวีรชนผู้กล้าเปี่ยมไปด้วยพลังแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่!
โดยเฉพาะท่วงทำนองที่ทั้งเศร้าโศกและฮึกเหิมเต็มไปด้วยอุดมการณ์รักชาติอันแก่กล้าไม่กลัวตายนั้นทำให้ผู้คนตะลึงงัน
ทุกคนต่างก็ดื่มด่ำกับความรู้สึกที่เพลงนี้ส่งมาถึงพวกเขา
เลือดร้อนรุ่มในทรวงอก ความขุ่นเคืองคับแค้น
ความดุเดือดและจริงจังของบรรยากาศเตรียมกองกำลังและม้าศึก พร้อมรบแม้กระทั่งในยามหลับใหล เตรียมเข้าสู้เพื่อสังหารศัตรูได้ทุกเมื่อ
เสียงโน้ตบรรเลงติดกันไร้ช่องว่างจนจบเพลง
ทั้งงานเหลือเพียงความเงียบสงัด ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น
เฉินฝานซิงค่อยๆ เก็บมือคู่นั้นกลับมาวางบนเข่าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น ริมฝีปากเผยให้เห็นรอยยิ้มสะใจ
เป็นอย่างที่คิดไว้ ของบางอย่าง มีเพียงดนตรีเท่านั้นที่จะแสดงความสะใจของมันออกมาได้หมด!
ความเงียบดำเนินไปอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีเสียงปรบมือเสียงแรก เสียงปรบมือเสียงที่สอง เสียงสาม…
จากเสียงตบมือเปาะแปะไม่กี่เสียงกลายไปเป็นเสียงปรบมือที่ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งโถงงาน นี่เป็นไฮไลท์ของงานในค่ำคืนนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินฝานซิงค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ หันหน้าไปหานายใหญ่สกุลเผยก่อนจะโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
นายใหญ่สกุลเผยตื่นเต้นจนลุกขึ้นยืน พลันปรบมือที่ลีบแห้งคู่นั้นพร้อมกับพยักหน้ารัว
“ดี! ดี! ดี!!!”
ร้อนถึงเย่ซู่ซู่ต้องรีบเข้าไปประครองคุณปู่ไว้
“คุณปู่คะ ใจเย็นๆ นะคะ รีบนั่งลงก่อนเถอะค่ะ”
นายใหญ่สกุลเผยมองหน้าเย่ซู่ซู่พลางชี้ไปทางเฉินฝานซิงด้วยความตื่นเต้น “ซู่ซู่ เธอเล่นได้ดีมาก เล่นได้ดีจริงๆ…”
เย่ซู่ซู่พยักหน้าตอบ “หนูรู้ค่ะ คุณปู่ ทำใจให้เย็นๆ หน่อยนะคะ นั่งลงก่อน”
นายใหญ่สกุลเผยนั่งลง แต่ปากยังคงพึมพำไม่หยุด
“นี่ทำให้ฉันนึกถึงตอนยังเป็นวัยรุ่น พวกเราฝ่าดงกระสุนเสี่ยงความตายเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ตอนนั้น ฉันเห็นเพื่อนร่วมรบของฉันล้มลงไปทีละคน ทีละคนต่อหน้าต่อตา แต่กลับไม่มีเวลาแม้แต่มานั่งเสียใจ ต้องลุกขึ้นฆ่าศัตรูทั้งน้ำตา ความรู้สึกนั้น ความรู้สึกนั้น…ก็คือความรู้สึกแบบนี้เลย…ดีเลย ดีมากจริงๆ”
อารมณ์ของชายชราค่อยๆ ผ่อนลงมา เมื่อหันไปมองที่เฉินฝานซิงก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“ฉันคิดว่า ฉันมีชีวิตมาถึงตอนนี้ วันๆ ก็นอนอาบแดด ดื่มน้ำชา เฝ้ามองดูเหลนสองคนกระโดดโลดเต้นไปมา สร้างปัญหาวุ่นวายให้กับฉัน แล้วก็คอยช่วยพวกเขาปกปิดความผิด ก็เป็นแบบนี้ ไม่มีความต้องการหรือขอร้องอะไร แค่มีชีวิตเรียบง่าย ไม่มีแรงฮึกเหิมอะไรได้อีก…
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้ ฉันกลับมีความคิดที่อยากจะลงสนามฆ่าศัตรูอีกครั้งหนึ่ง ซู่ซู่ ฉันยังไม่แก่ใช่ไหม ถ้าหากกลับไปตอนนั้น ฉันก็ยังฆ่าศัตรูได้หลายคนอยู่”
เย่ซู่ซู่พยักหน้ารัว “ใช่ค่ะ พวกเรายังวัยรุ่นกันทั้งนั้น คุณปู่ก็ยังไม่แก่แน่นอน”
“ใช่แล้ว ใช่ พวกแกยังเด็กกันอยู่เลย ฉันก็ต้องยังไม่แก่อยู่แล้ว”
เฉินฝานซิงเดินมาหยุดตรงบริเวณริมเวทีแล้วหันไปมองทางหลินสื่อเจีย ก่อนจะยกมุมปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “โปรดิวเซอร์หลิน ไม่ทราบว่า…คุณยังมีเรื่องเสียใจอะไรอีกไหม”