บทที่ 133 ไม่ยอมเลิกชักชวน
ในกลุ่มร้อยคน มีไม่ถึงสิบคนที่สามารถรอดพ้นการตามฆ่าของอสูรม้าทองเกล็ดม่วงได้ ชายหนุ่มตรงหน้านี้เป็นแค่พรสวรรค์ขั้นหนึ่ง กลับสามารถหนีรอดมาได้ และอายุน้อยเท่านี้กลับสำเร็จวิชากระบี่ ต่อให้มีอาจารย์คอยชี้แนะ ก็ต้องมีพรสวรรค์ไม่น้อยแน่
หลัวซิวดูออกถึงการชักชวนของจงฉางผิง แต่เขาไม่คิดจะเข้าร่วมหอหย่งชาง เลยตอบปฏิเสธไปด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “ข้าน้อยมิคิดจะเข้าร่วมสำนักใด”
พอเห็นหลัวซิวปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้ สีหน้าจงฉางผิงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็ฟังออกจากน้ำเสียงของหลัวซิวว่า เขาไม่ได้เป็นศิษย์สำนักอื่น
“สหายน้อยท่านนี้ไม่ลองคิดดูสักหน่อยรึ? ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าหากเข้าร่วมหอหย่งชาง ต้องได้รับการสนับสนุนและอบรมสั่งสอนแน่ ไม่ว่าจะเป็นยา หินพลังจิตหรือวิชายุทธ์วรยุทธ์ระดับสูง มีพร้อมไว้เสร็จสรรพเลย” จงฉางผิงบอก
“เหอะเหอะ หอหย่งชางของพวกเจ้ามีอะไรดี จงฉางผิงเจ้าตัดสินใจเองได้รึ?”
ในตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะลอยมา ชายหนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามา สายตามองสำรวจหลัวซิว “เจ้าพรสวรรค์ไม่เลว หากยอมเข้าร่วมตระกูลกงซุนของข้า ข้าจะให้ยาพรสวรรค์สิบเม็ด หินพลังจิตหนึ่งพัน วิชายุทธ์ระดับหกหกเล่มกับเจ้า!”
ชายหนุ่มผู้นี้ดูราวยี่สิบกว่าปี ตบะพรสวรรค์ชั้น7 ดูเย่อหยิ่งยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่แค่หอหย่งชางอยากชักชวนหลัวซิว ในขณะเดียวกันตระกูลกงซุนซึ่งเป็นหนึ่งในสามอำนาจใหญ่ของเขตการปกครองโต้วไห่ก็คิดจะชักชวนเช่นกัน
เพราะอัจฉริยะที่มีตบะเพียงพรสวรรค์ชั้น1ก็สามารถฝึกฝนวิชากระบี่จนบรรลุได้นั้นมีไม่มากเลย แถมดูหลัวซิวแล้วยังไม่ถึงยี่สิบปี อายุแค่นี้กลับมาได้ถึงขั้นนี้ เรียกได้ว่าไม่ง่ายเลย
“สำนักเหลยหวู่ของข้าให้สัญญากับสหารน้อยได้เลยว่าจะกลายเป็นศิษย์ใจกลาง ขอเพียงสหายน้อยฝึกฝนจนถึงระดับพรสวรรค์ชั้น3 ก็จะได้รับสิทธิ์ในการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ด!” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งเดินจากตีนเขามา ดูเป็นผู้แข็งแกร่งปรมาจารย์ฝึกจิตแดนคนหนึ่ง
พอคำพูดนี้ออกมา ชายหนุ่มจากตระกูลกงซุนและจงฉางผิงต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก สิทธิ์ในการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ดไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะสามารถตัดสินใจได้
ยิ่งไปกว่านั้น สำนักเหลยหวู่เป็นอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งของเขตการปกครองโต้วไห่ การถ่ายทอดมรดกวิชายุทธ์ไม่ใช่อะไรที่ตระกูลกงซุนกับหอหย่งชางจะเทียบเคียงได้เลย
สำนักเหลยหวู่สามารถเอาวิชายุทธ์ระดับเจ็ดออกมาให้ศิษย์ใจกลางฝึกฝนได้ง่ายๆ แต่ตระกูลกงซุนกับหอหย่งชางทำไม่ได้
ตระกูลกงซุนก็มีวิชายุทธ์ระดับเจ็ด แต่มีเพียงผู้สืบทอดสายตรงของเจ้าตระกูลเท่านั้นที่มีสิทธิ์ฝึกฝน ส่วนหอหย่งชางไม่มีการสืบทอดของวิชายุทธ์ระดับเจ็ด วิชายุทธ์ระดับหกกลับมีไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีวัยกลางคนผู้นี้ยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิต การที่โดนผู้แข็งแกร่งระดับนี้ชักชวนด้วยตัวเอง แสดงถึงการให้ความสำคัญของสำนักเหลยหวู่ที่มีต่อหลัวซิวแล้วล่ะ
ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ หรือฐานะของคนชักชวน สำนักเหลยหวู่ได้เปรียบเห็นๆ
หลัวซิวกำหมัดคารวะกลับ “ขอบน้ำใจในความหวังดีของผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้อน้อยมิมีความคิดจะเข้าร่วมสำนักใดในตอนนี้”
สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ หลัวซิวยังคงปฏิเสธการชักชวนของสตรีวัยกลางคน
สตรีวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย ใต้หล้านี้มีคนกล้าปฏิเสธข้อเสนอเย้ายวนอย่างวิชายุทธ์ระดับเจ็ด? ต้องรู้ไว้นะว่าแดนฝึกจิตของปรมาจารย์ยุทธ์มากมาย ที่ฝึกฝนกันก็เป็นแค่วิชายุทธ์ระดับหก มีแต่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์บางคนเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ด
และการมีสิทธิ์ได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ดในแดนพรสวรรค์ มีแต่อัจฉริยะระดับสูงของแต่ละอำนาจใหญ่เท่านั้น
“ไม่ทราบว่าอาจารย์ของสหายน้อยเป็นผู้อาวุโสท่านใดรึ?” สตรีวัยกลางคนถาม ในสายตานาง อายุยังน้อยก็สามารถฝึกฝนวิชากระบี่สำเร็จ นอกจากพรสวรรค์ของตนแงแล้ว ต้องมีอาจารย์ดังคอยชี้แนะอยู่ด้านหลังแน่
และชายหนุ่มคนนี้สามารถปฏิเสธข้อเสนอเย้ายวนอย่างวิชายุทธ์ระดับเจ็ด เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่งที่สามารถทำให้เขาได้รับการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ดแน่
“อาจารย์ของข้าน้อยคือหัวหน้าแก๊งเหวิน” หลัวซิวตอบออกมา
เขารู้ดีว่า ถ้าตนไม่ยอมบอกที่มาของอาจารย์ ต้องทำให้คนสงสัยแน่ บางทีอาจจะโดนจับตามอง เหมือนที่เล่อเผิงเฉิง
“หัวหน้าแก๊งเหวิน?” สตรีวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายถึงหัวหน้าแก๊งเหวินท่านนั้นแห่งเขตการปกครองเมืองหยุนหลง?”
“ใช่ขอรับ” หลัวซิวพยักหน้า เขารู้ว่าหากไม่มีอำนาจหนุนหลังต้องมีปัญหาแน่ ดังนั้นจึงได้แต่ยกหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงออกมาขัดตาทัพ
พอเห็นหลัวซิวยืนยัน สตรีวัยกลางคนพลันยิ้มบอก “ในเมื่ออาจารย์ของสหายน้อยเป็นหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง ดูท่าจะเป็นสมาชิกอัจฉริยะภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์แล้วล่ะสิ”
พอสตรีกลางคนพูดแบบนี้ ชายหนุ่มจากตระกูลกงซุนและจงฉางผิงต่างอดไม่อยู่มีสีหน้าตกตะลึง
ปรมาจารย์ยุทธ์,ราชายุทธ์มากมายที่กำลังรับรู้ห้วงดาบที่ตีนเขาและกลางเขายังพุ่งเป้าสายตามาทางนี้
สมาชิกภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ แบ่งเป็นสมาชิกอัจฉริยะและสมาชิกที่ได้รับการชักชวนเข้าไปเหมือนกับจวงหนานเทียน ถึงจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสที่แก๊งเมืองชิงหยุน อันที่จริงแล้วไม่ถือว่าเป็นสมาชิกภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ ต้องเรียกว่าสมาชิกที่ได้รับการชักชวนเข้าไป
แต่สมาชิกอัจฉริยะภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ การชักชวนเข้มงวดยิ่งนัก ชายหนุ่มตรงหน้านี้มีตบะพรสวรรค์ขั้นหนึ่ง ต่อให้เป็นเงื่อนไขมาตรฐานและการประเมินของขั้นเหลืองระดับล่าง ขั้นต่ำก็ต้องอายุสิบหกปี
พอรู้ว่าหลัวซิวเป็นสมาชิกอัจฉริยะภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ สายตาคนมากมายในที่นั้นเริ่มมีประกายรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
เพราะองค์กรนักล่ายุทธ์ไม่มีกฎห้ามมิให้สมาชิกอัจฉริยะภายในเข้าร่วมอำนาจอื่น ว่ากันว่าการปฏิบัติขององค์กรนักล่ายุทธ์ที่มีต่อสมาชิกอัจฉริยะภายในไม่ถือว่าดีมาก
“สหายน้อย เท่าที่ข้ารู้ องค์กรนักล่ายุทธ์ไม่ได้ให้การปกป้องสมาชิกอัจฉริยะภายใน มีแต่เสนอวิชายุทธ์ และไม่เสนอทรัพยากรให้ฝึกฝน”
สตรีวัยกลางคนพูดเสียงเนิบว่า “ขอเพียงสหารน้อยเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่เรา ด้วยฐานะศิษย์ใจกลางของเจ้า มิมีผู้ใดในเขตการปกครองโต้วไห่กล้ารังแก และทุกปียังจะได้รับยาและหินพลังจิตจำนวนมาก มีทรัพยากรให้ฝึกฝนเหล่านี้ เชื่อว่าการฝึกฝนของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเดิม”
สตรีกลางคนผู้นี้ดูจะรู้กฎระเบียบขององค์กรนักล่ายุทธ์เป็นอย่างดี
ข้อดีไม่น้อยจริงๆ แต่หลัวซิวยังคงไม่อยากเข้าร่วมอำนาจสำนักใด เพราะเมื่อเข้าไป ก็ต้องแบกรับภาระหน้าที่ด้วย และจะทำให้เขาสูญเสียอิสระไป
ฝึกฝนจอมยุทธ์เพื่ออันใดกัน?
บางคนเพื่ออำนาจ ฐานะ บางคนเพื่อความเป็นนิรันดร์
ส่วนหลัวซิวฝึกฝนเพื่อท่องเที่ยวไปในโลก ไร้สิ่งผูกมัด ในบรรดาอำนาจสำนักต่างๆมันยาก ระหว่างที่ท่องเที่ยวโลกกว้าง หลัวซิวก็รับรู้เรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งแล้ว
และเป็นเพราะประสบการณ์ในการท่องเที่ยวด้านนอก ทำให้หลัวซิวยกเลิกความคิดที่จะเข้าร่วมอำนาจสำนักต่างๆ
ต่อให้ต้องเข้าร่วมสำนักใหญ่สำนักหนึ่ง เขาก็ไม่เลือกสำนักเหลยหวู่ เพราะเล่อเผิงเฉิงรู้ความลับของเขา ถ้าเกิดโดนคนอื่นรู้ความลับของเขาอีก รับประกันไม่ได้ว่าสำนักเหลยหวู่จะไม่มีคนอื่นละโมบอีก
เพียงเวลาสั้นไม่ถึงหนึ่งปี เขาฝึกฝนจากการกลั่นร่างขั้นสองจนถึงแดนพรสวรรค์ ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเขาต้องมีพรสวรรค์ฟ้าประทานแน่
“ข้าน้อยยังมิมีความคิดจะเข้าร่วมอำนาจสำนักใด ขอผู้อาวุโสโปรดเข้าใจด้วย” หลัวซิวยังคงปฏิเสธการชักชวนของสตรีกลางคนอย่างนอบน้อม
สตรีกลางคนมีสีหน้าผิดหวัง แต่ไม่ได้บีบคั้นอันใด “หากสหายน้อยคิดจะเข้าร่วม สำนักเหลยหวู่ของเรายินดีต้อนรับทุกเมื่อ”
หลัวซิวคารวะขอบคุณ และหันไปยกมือคารวะผู้คนรอบตน จากนั้นจากไป