บทที่ 151
ในโลกบู๊ อยากเป็นบักบู๊ รากฐาน ความเข้าใจ ความขยันหมั่นเพียร ขาดไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ดังนั้นถึงแม้ตระกูลหลินเป็นตระกูลบู๊ นักบู๊ที่แท้จริงบวกกับผู้เก่งกาจที่เลี้ยงไว้ มีไม่เกิน 10 คน
ขนาดหลินเทียนหยา ลูกชายของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ยังไม่สามารถเป็นนักบู๊ได้เลย
แต่ถึงเป็นเช่นนี้ พละกำลังของตระกูลหลิน ก็เพียงพอกวาดล้างอำนาจธรรมดาๆ ทั้งฮ่านหยาง ต้องรู้ว่าขนาดตระกูลหลี่ หนึ่งในหกตระกูลมหาอำนาจในยานจิง จำนวนนักบู๊ที่เห็นได้ ไม่ต่างจากตระกูลหลินเท่าไร แม้มีเหตุผลอื่นด้วย แต่เพียงพอที่จะพิสูจน์อำนาจของตระกูลหลินในโลก
หลินสุ่น ผู้นำตระกูลหลินในตอนนี้ เป็นนักบู๊ที่แข็งแกร่งสุดในตระกูลหลิน พละกำลังเหนือกว่าหลินเจี้ยนเฟิง
ช่วงค่ำ ลานบ้านขนาดใหญ่ของตระกูลหลินสว่างไสว เรื่องที่เฉินโม่ต่อสู้กับหลินเจี้ยนเฟิงที่ทะเลสาบกลับคืนรังผ่านไปหนึ่งวันแล้ว ข่าวถูกส่งมายังตระกูลหลินนานแล้ว
เมื่อได้ข่าวว่าหลินเจี้ยนเฟิงตาย ทั้งตระกูลหลินตกใจมาก หลินเจี้ยนเฟิงเป็นยอดฝีมืออันดับ 2 ในตระกูลหลิน ฝีมือเป็นรองแค่ผู้นำตระกูล คิดไม่ถึงว่าจะโดนเฉินไต้ซือฆ่าตาย งั้นเฉินไต้ซือมีพละกำลังขนาดไหนกันแน่
คนตระกูลหลินพากันแตกตื่น!
หลินสุ่นนั่งอยู่สูง ตรงตำแหน่งผู้นำ ขมวดคิ้วเป็นปม ถึงรู้ว่าน้องสามของตัวเองโดนฆ่าตาย แต่ความกังวลต่อเฉินไต้ซือ มีมากกว่าความโกรธในใจ
แม้หลินสุ่นมีความสามารถฆ่าหลินเจี้ยนเฟิงได้เช่นกัน แต่ไม่คิดว่าเฉินไต้ซือแกร่งกว่าเขา แต่ผู้นำตระกูลคนนี้ ยังคงเป็นกังวล
“หรือจะเชิญท่านนั้นออกมาตอนนี้!” หลินสุ่นแอบคิดเงียบๆ
“ผู้นำตระกูล แย่แล้ว ข้างนอกมีคนกล้าดีมาขอพบท่าน……” ลูกน้องตระกูลหลินคนหนึ่ง วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตระหนก พูดใกล้จะจบ กลับไม่กล้าพูดต่อ
หลินรุ่ย ผู้อาวุโสรอง ที่นั่งด้านล่าง แผดเสียงออกมา “ทำท่าตื่นตระหนกไปทำไม พูดให้ชัดเจนสิ”
ลูกน้องคนนั้นคุกเข่าลงบนพื้น สีหน้าทุกข์ระทม “ผู้อาวุโสรอง ผม ผมไม่กล้าพูดครับ”
หลินสุ่นพูดเสียงขรึม “พูดมา ฉันจะไม่โทษนาย”
ลูกน้องคนนั้นจึงพูดอย่างติดๆ ขัดๆ “คนนั้นบอกว่า ให้ผู้นำตระกูลออกไป รับความตาย!”
ปัง!
หลินรุ่ยใช้มือตบลงบนโต๊ะข้างๆ ขี้เลื่อยกระจายไปทั่ว ก่นด่าออกมาว่า “ใครมันกล้าขนาดนี้! กล้ามาดูหมิ่นผู้นำตระกูลหลิน!”
“พูดมา อีกฝ่ายคือใคร มีกี่คน”
ลูกน้องคนนั้นตกใจกับความโกรธของผู้อาวุโสรอง จนหมอบลงกับพื้น ร้องไห้พูดออกมาว่า “ผู้อาวุโสรอง ผมไม่ได้พูดนะ คนนั้นเป็นคนพูด! ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร อีกอย่างเขามีแค่คนเดียว!”
“คนเดียวเหรอ” ผู้อาวุโสรองอึ้งไป มองลูกน้องคนนั้นอย่างโมโห “พูดเพ้อเจ้อ คนเดียวจะกล้าดูหมิ่นตระกูลหลินได้ยังไง! รีบพูดความจริงออกมา ไม่งั้นฉันจะหักขานาย!”
ลูกน้องคนนั้น ตกใจจนเอาหัวโขกพื้นไม่หยุด “ผู้อาวุโสรอง ผมพูดความจริง เขามีแค่คนเดียว ตอนนั้นได้ยินเขาดูหมิ่นผู้นำตระกูล ผมกับหลินหู่เข้าไปสั่งสอนเขา แต่เขาแค่สะบัดมือ ก็ทำให้ผมกับหลินหู่กระเด็นลงบนพื้น เขาให้ผมกลับมารายงาน ตอนนี้หลินหู่ยังนอนบนพื้นอยู่เลย!”
หลินสุ่นมองลูกน้องคนนั้น สีหน้าเคร่งขรึม “คนนั้นบอกหรือเปล่าว่าชื่ออะไร อายุเท่าไร”
“ผู้นำตระกูล คนนั้นดูเหมือนอายุแค่ 17-18 ปี เขาบอกว่าแซ่เฉิน!”
“แซ่เฉิน!”
ในห้องโถง สีหน้าของคนตระกูลหลินชะงักไป!
หลินรุ่ยพูดอย่างโมโหและตกใจ “พี่ใหญ่ เดี๋ยวผมออกไปดูก่อน คนนั้นใช่เฉินไต้ซือที่ฆ่าน้องสามหรือเปล่า!”
นอกประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิน เฉินโม่ยืนเงียบๆ เหยียบหลินหู่คนเปิดประตู ที่ดูหมิ่นเขาเมื่อกี้
หลินรุ่ยพาคนเดินเข้ามา ยืนหน้าประตู มองเฉินโม่อย่างหวาดระแวง แล้วถามอย่างโมโหว่า “ไอ้หนุ่ม นายเป็นใคร ทำไมถึงมาก่อเรื่องที่ตระกูลหลิน”
เฉินโม่ยืนเอามือไพล่หลัง ตอบอย่างราบเรียบว่า “ฉันไม่ได้มาก่อเรื่อง ฉันมา……”
เงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเฉินโม่เย็นยะเยือก “ทำลายทั้งตระกูล!”