เซี่ยยวี่หลัวทำเสียงตึ้งๆ ตั้งๆ อยู่ในห้องครัวครู่หนึ่ง ก่อนจะยกของออกมาชามหนึ่ง กล่าวกับเซียวจื่อเซวียนที่ยังยืนอยู่ในลานบ้าน “เจ้ารีบยกไปให้พี่ใหญ่ของเจ้า ให้เขาดื่มตอนยังร้อนๆ เพื่อขับเหงื่อ”
ตอนนี้ยังเป็นช่วงเดือนห้า ถึงแม้จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่กระโดดลงแม่น้ำตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งยังย่อตัวซักเสื้อผ้าอยู่ริมแม่น้ำ หากเป็นหวัดจะลำบาก
เซียวจื่อเซวียนรีบขานตอบว่าได้ ก่อนยกชามเข้าไปในห้องของเซียวยวี่
เซียวยวี่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เดินวนไปเวียนมาอยู่หลายรอบ ร่างกายเพิ่งอบอุ่นขึ้น กำลังจะนั่งลงอ่านตำรา เซียวจื่อเซวียนก็เดินเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เคี่ยวน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงให้ท่าน บอกให้ท่านดื่มตอนยังร้อนขอรับ”
น้ำต้มน้ำตาลทรายแดงชามใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นยังมีขิงหั่นละเอียดด้วย
เซียวยวี่รู้สึกอบอุ่นในใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า “เจ้าปลุกพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าหรือ? ”
“เปล่าขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ตื่นเอง จากนั้นก็ถามว่าท่านเป็นอะไรหรือไม่ ข้าจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตรงริมแม่น้ำให้นางฟังขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกล่าวตามตรง
เซียวยวี่ขมวดคิ้ว “นาง… กล่าวอะไรหรือไม่? ”
เซียวจื่อเซวียนส่ายหน้า “เปล่าขอรับ พอพี่สะใภ้ใหญ่ได้ยินว่าท่านเปียกชุ่มไปทั้งตัว ก็รีบไปเคี่ยวน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงใส่ขิง กำชับให้ท่านดื่มตอนยังร้อน เพื่อขับเหงื่อขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นห่วงท่านมากขอรับ! ”
เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เขาเพิ่งเคยเห็นพี่สะใภ้ใหญ่แสดงสีหน้าวิตกกังวลเช่นนั้นเป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าเป็นห่วงพี่ใหญ่
เซียวยวี่ผ่อนคิ้ว ดวงหน้าหล่อเหลาดูดีประหนึ่งภาพวาดก็มิปาน
“จื่อเซวียน…” เสียงของเซี่ยยวี่หลัวดังขึ้นจากด้านนอก
เซียวจื่อเซวียนรีบวิ่งออกไป เห็นเซี่ยยวี่หลัวยกน้ำร้อนมาหนึ่งอ่าง นั่นเป็นอ่างที่ปกติใช้แช่เท้า ในนั้นมีน้ำอยู่กว่าครึ่งอ่าง ทั้งยังมีขิงสามแผ่นลอยอยู่บนผิวน้ำ
“เจ้ายกไปให้พี่ใหญ่ของเจ้า ให้เขาแช่เท้า” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวกำชับ
เซียวจื่อเซวียนขานรับ ก่อนยกอ่างไม้เข้าไป
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ให้ท่านแช่เท้าขอรับ” เซียวจื่อเซวียนบอกต่อคำพูดของเซี่ยยวี่หลัว
วางอ่างไม้ไว้ใต้โต๊ะหนังสือ เช่นนี้จะสะดวก สามารถแช่เท้าโดยที่ไม่รบกวนการอ่านตำรา เซียวจื่อเซวียนยกเข้ามาให้แล้วจึงออกไป
เซียวยวี่ถอดรองเท้าและถุงเท้า แช่เท้าทั้งคู่ลงไปในน้ำร้อน
น้ำค่อนข้างร้อน เซียวยวี่ยกเท้าขึ้นมา วางไว้ตรงขอบอ่าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงแช่ลงไป
น้ำต้มน้ำตาลทรายแดงใส่ขิงบนโต๊ะมีไอน้ำร้อนลอยขึ้นเป็นระลอก ยังมีกลิ่นขิงและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง เซียวยวี่ยกชามใหญ่ขึ้น ขอบชามที่ร้อนจัดส่งต่อความอบอุ่นจากฝ่ามือไปยังร่างกายของเขา รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว
เซียวยวี่ดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงใส่ขิงทีละนิดระหว่างที่ยังร้อนอยู่
เดิมทีเซียวยวี่ไม่ชอบกินรสหวาน แต่เมื่อรสหวานกระจายไปทั่วปาก เป็นครั้งแรกที่เซียวยวี่รู้สึกว่า รสชาติหวานเช่นนี้ ช่างอร่อยเหลือเกิน ราวกับว่าตัวเขาได้แช่อยู่ในน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น
จากภายนอกสู่ภายใน ล้วนเต็มไปด้วยความหวานและความอบอุ่น
ดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงจนหมดตอนยังร้อน เซียวยวี่แช่เท้าในอ่างไม้ น้ำเย็นลงบ้างแล้ว ไม่ร้อนมาก เขาแช่เท้าไป ก็คิดถึงวาจาที่ท่านตาของเซี่ยยวี่หลัวเคยกล่าว
เขาบอกว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นคนที่ดูแลผู้อื่นไม่เป็น แต่ตอนนี้เล่า ตัวเขาเปียกชุ่ม นางทั้งทำน้ำต้มน้ำตาลทรายแดง ทั้งให้เขาแช่เท้าเพื่อขับเหงื่อ นี่เรียกว่าดูแลผู้อื่นไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่าดูแลดีเกินไป
เซี่ยยวี่หลัวมีเวลาว่างนอนต่อในช่วงเช้า ตอนนี้ย่อมกระปรี้กระเปร่าแล้ว เพราะยังเช้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องทำอาหารเที่ยง เซี่ยยวี่หลัวไม่มีอะไรทำ จึงกลับห้องไปจัดเตรียมต้นฉบับ หงโหลวเมิ่ง [1] ที่นางเขียนไว้
ซีโหยวจี้ เล่มสามเขียนจบแล้ว ยังไม่มีเวลาส่งไปในตัวเมือง ตอนนี้ก็ถึงช่วงปลายเดือนห้าแล้ว คงต้องส่งไปภายในไม่กี่วันนี้
จัดเตรียมต้นฉบับเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวจึงใส่กุญแจตู้ด้วยความระมัดระวัง เซียวจื่อเซวียนฝึกเขียนหนังสือสองหน้า ให้เซียวยวี่ตรวจสอบ
“พี่ใหญ่ ท่านลองดูตัวหนังสือที่ข้าเขียน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ”
เซียวยวี่ดูครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ยังต้องตั้งใจเขียนต่อไป”
เซียวจื่อเซวียนยิ้มพร้อมพยักหน้า “ขอรับ ข้าจะตั้งใจเขียนขอรับ”
เขียนเสร็จสองหน้า ทั้งยังได้รับคำชมเชย เซียวจื่อเซวียนจึงไปเก็บโต๊ะของตัวเอง คิดจะออกไป เขาจะอยู่ที่นี่นานจนรบกวนพี่ใหญ่อ่านตำราไม่ได้
“ช่วงที่พี่ใหญ่ไม่อยู่ เจ้ากับอาเมิ่งต้องฝึกเขียนหนังสือทุกวันเช่นนั้นหรือ? ” เซียวยวี่เอ่ยถาม
เซียวจื่อเซวียนเก็บของไปพลางพยักหน้าพลางกล่าว “ใช่ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่เข้มงวดกับพวกเรามาก ให้ข้าเขียนสองหน้าทุกวัน หากเขียนได้ไม่ดี นางก็จะอบรมสั่งสอนข้าขอรับ”
ช่วงแรกมักจะโดนตำหนิ ในภายหลังเขียนได้ดีแล้ว จึงโดนตำหนิน้อยลง หลังจากนั้นก็มักจะได้รับคำชมเชย
“นางสอนพวกเจ้าเช่นไร? ” เซียวยวี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย ตัวเซี่ยยวี่หลัวเองยังไม่รู้หนังสือ นางจะสอนเด็กสองคนได้อย่างไร นางดูออกหรือว่าตรงไหนเขียนได้ไม่ดี?
เซียวจื่อเซวียนกล่าวอย่างได้ใจ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าดูแคลนพี่สะใภ้ใหญ่เชียว ตัวหนังสือที่พี่สะใภ้ใหญ่เขียน ดูดีกว่าตัวหนังสือของท่านมากทีเดียว”
เซียวยวี่จ้องมองเซียวจื่อเซวียนด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาฉายประกายฉงนสงสัย
เห็นได้ชัดว่ารู้สึกตะขิดตะขวงใจกับวาจาเมื่อครู่ของเขา
เซียวจื่อเซวียนเพิ่งตระหนักว่าตัวเองหลุดปาก จึงรีบกล่าว “พี่ใหญ่ ข้ายังมีธุระ ข้าต้องไปช่วยพี่สะใภ้ใหญ่เตรียมอาหารเที่ยง ไม่รบกวนท่านอ่านตำราแล้วขอรับ”
กล่าวจบ ไม่รอให้เซียวยวี่รั้งเขา รีบสาวเท้าวิ่งออกไป ราวกับด้านหลังมีภูตผีไล่ตามอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ตัวหนังสือที่พี่สะใภ้ใหญ่เขียน ดูดีกว่าตัวหนังสือของท่านมากทีเดียว!
เซียวยวี่มั่นใจว่าตัวเองฟังไม่ผิด เซียวจื่อเซวียนกล่าวเช่นนี้
เซี่ยยวี่หลัวเขียนหนังสือเป็น?
นอกจากนั้น ยังเขียนได้ดูดีกว่าตัวหนังสือของเขาด้วย?
เซียวจื่อเซวียนย่อมไม่พูดปด เรื่องเช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวเกินจริง เขาต้องเคยเห็นเซี่ยยวี่หลัวเขียนหนังสือมาก่อน จึงกล่าววาจาเช่นนี้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
แต่เซี่ยยวี่หลัวไม่รู้หนังสือ รู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว นางจะเขียนหนังสือเป็นได้อย่างไร!
ความรู้สึกสงสัยใคร่รู้เปรียบดั่งเถาวัลย์ที่หยั่งรากแตกหน่ออยู่ในก้นบึ้งจิตใจ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าเขาครุ่นคิดอยู่นานเพียงใด แต่อ่านหนังสือแทบไม่เข้าใจ แม้แต่น้ำที่ใช้แช่เท้าเย็นตั้งแต่เมื่อไร เขาก็ยังจำไม่ได้
เซี่ยยวี่หลัวเก็บดอกจินหยินที่ตากจนแห้งแล้วไว้ในไห ตำจนเหลวเพื่อให้ได้น้ำดอกไม้ นำตับอ่อนหมูไปล้างจนสะอาดและต้มเสร็จ เติมจ้าวเจี่ยว [2] จำนวนหนึ่ง ผสมกับน้ำดอกไม้ที่ตำจนเหลว จากนั้นจึงรอคอยให้พวกมันแข็งตัว เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว เซี่ยยวี่หลัวจึงเริ่มเตรียมอาหารเที่ยง ขัดหม้อก่อนตักข้าวสารใส่เพื่อหุงข้าว เซียวจื่อเซวียนรับผิดชอบใส่ฟืน
เปลือกแตงโมเมื่อวานยังไม่ได้กิน เซี่ยยวี่หลัวหยิบลงมา ใช้มีดปอกเปลือกนอกและเนื้อแตงโมสีแดงออก เสร็จแล้วจึงล้างจนสะอาด หั่นเป็นแผ่นบาง ใส่เกลือหมักไว้จนมีน้ำออกมา ช้อนปลามาสองตัว ขอดเกล็ดปลาและผ่าเอาเครื่องในออก ทาเกลือบางๆ หนึ่งชั้นแล้วหมักไว้
ตอกไข่ไก่สามฟอง ทำแกงจืดไข่น้ำ เด็ดพริกในสวนหลังบ้านมาหนึ่งถาด ทำพริกหยวกหู่ผี
เซียวจื่อเมิ่งตื่นแล้ว พักพิงอยู่ในอ้อมอกเซียวจื่อเซวียนด้วยอาการงัวเงีย แสงไฟจากเตาไฟสาดส่องบนใบหน้าเล็กจนเป็นสีแดง
ใช้เวลาเพียงสองเค่อ ก็เตรียมอาหารสามอย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่างเสร็จแล้ว
ปลาตุ๋นน้ำแดง เปลือกแตงโม พริกหยวกหู่ผี แกงจืดไข่น้ำ สีกลิ่นรสครบครัน แค่ได้กลิ่นก็แทบน้ำลายไหลแล้ว
“ไปตามพี่ใหญ่ของเจ้ามากินข้าวได้แล้ว” เซี่ยยวี่หลัววางชามกับตะเกียบเสร็จจึงกล่าว
เซียวจื่อเมิ่งและเซียวจื่อเซวียนวิ่งออกไปทั้งคู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวยวี่จึงมา
ไม่รู้ว่าสามพี่น้องพูดคุยอะไรกัน จึงมีเสียงหัวเราะดังมาตลอดทาง เซี่ยยวี่หลัวตักน้ำแกงให้พวกเขาคนละหนึ่งถ้วย ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหัวเราะ เซี่ยยวี่หลัวเงยหน้าหันมองไปทางพวกเขา
เซียวยวี่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สบประสานกับสายตาของเซี่ยยวี่หลัวพอดี
ปกติยามทั้งสองคนสบสายตากัน ถ้าไม่ใช่เซียวยวี่หลบสายตา ก็เป็นเซี่ยยวี่หลัวหลบสายตา แต่คราวนี้ พวกเขาต่างก็ไม่ได้หลบ
เซียวยวี่ไม่หลบเลี่ยง เซี่ยยวี่หลัวลืมหลบเลี่ยง
——————-
เชิงอรรถ
[1] หงโหลวเมิ่ง หรือ ความฝันในหอแดง คือหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมของจีน
[2] จ้าวเจี่ยว คือ ผลของต้นจ้าวเจี๋ย มีลักษณะเป็นฝัก ใช้ทำสบู่ในยุคสมัยโบราณ