เมื่อเผชิญกับการกล่าวหาของชายหนุ่ม เล่อเหยาหยารู้สึกตนราวกับคนหลอกลวงชั่วร้าย ทำให้หัวใจของชายหนุ่มที่ปวดร้าวเจ็บจนปานขาดใจ
แต่น่าตายนัก เธอถูกใส่ร้ายจริงๆ!
เล่อเหยาเหยาอยากร้องตะโกนขึ้นไปบนฟ้า
แต่เล่อเหยาเหยายังไม่ทันพูดสิ่งใดมากมาย ร่างกายก็ถูกชายหนุ่มกอดไว้แน่นอีกครั้ง
จากนั้นได้ยินคำพูดอย่างเจ็บปวดของชายหนุ่มดังขึ้น
“ซินเอ๋อร์ เจ้าคือภรรยาของข้า พวกเราแต่งงานกันมาสามปีแล้ว พวกเรามีความทรงจำสวยงามร่วมกันมากมาย แม้เจ้าจะลืมเรื่องในอดีตของเรา แต่ข้าไม่ยอมให้เจ้าเอ่ยว่าจำคนผิด เจ้าคือภรรยาของข้า ข้าคือสามีของเจ้า นี่คือเรื่องจริง เจ้าอย่าเอ่ยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจข้าอีกเลย ได้หรือไม่ ข้าปวดใจยิ่งนัก”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ดังขึ้น เล่อเหยาเหยาคิดปฏิเสธ
แต่เธอกลับรู้สึกถึงความร้อนชื้นบนไหล่
นั่นคือน้ำตาของชายหนุ่ม
เห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาอดถอนหายใจไม่ได้
รู้ว่าเวลานี้ชายหนุ่มตื่นเต้นไม่สบายใจ และคิดว่าเธอคือภรรยาของเขา ไม่ว่าตอนนี้เธอจะเอ่ยพูดเช่นไร เขาก็ไม่เชื่อ
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกจนใจ
และเธอรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะสนใจเรื่องพวกนี้ อันดับแรกเธอต้องออกไปจากที่หนาวเหน็บนี้ก่อน
เพราะเธออยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน หนาวจนจะแข็งตายแล้ว
ร่างกายอดสั่นเทิ้มไม่ได้ เล่อเหยาเหยาเอ่ยกับชายหนุ่มที่ยังคงกอดเธอไว้แน่นว่า
“คือ พวกเราออกไปจากที่นี่แล้วค่อยคุยกันได้หรือไม่ ที่นี่หนาวเกินไป”
“ได้ ข้าขออภัย ซินเอ๋อร์ ข้าเลินเล่อไป”
หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มพลันเอ่ยขอโทษ
แต่เขากลับไม่ปล่อยตัวเล่อเหยาเหยา ยื่นแขนยาวช้อนที่เอวอุ้มตัวเล่อเหยาเหยาขึ้น
“อา เจ้าทำสิ่งใด”
เมื่อตกใจกับการกระทำไม่มีปี่มีขลุ่ยของชายหนุ่ม หลังได้สติเล่อเหยาเหยาจึงเอ่ยกับชายหนุ่ม
ชายหนุ่มได้ยิน ริมฝีปากแดงดุจดอกเหมยนั้น อดยกยิ้มงดงามล่มเมืองไม่ได้
เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแฝงความดีใจและมีความสุข
“ให้ข้าอุ้มเจ้าไปเถิด ข้าไม่ได้อุ้มเจ้าเช่นนี้มานานแล้ว”
พูดถึงประโยคสุดท้าย ภายในน้ำเสียงของชายหนุ่มดูเจ็บปวด
และใบหน้าตื้นตันนั้น เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ได้ของที่สูญหายกลับคืนมา
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาที่คิดดิ้นรนอดหยุดชะงักลงไม่ได้
เพราะชายหนุ่มตรงหน้านี้ ต้องรักภรรยาที่เสียชีวิตไปของเขามากแน่นอน
เห็นท่าทางดีใจของเขาเวลานี้ เธออดปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เฮ้อ…
พอนึกถึงสุดท้ายแล้วเล่อเหยาเหยาค่อยๆ หลุบสายตาลง
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น เพียงคิดว่าเล่อเหยาเหยาเหนื่อยล้า พลันอุ้มเล่อเหยาเหยาเดินออกไปจากถ้ำน้ำแข็ง
หลังชายหนุ่มอุ้มเล่อเหยาเหยาออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง ดวงตาคู่งามของเล่อเหยาเหยาอดเป็นประกายไม่ได้
เพราะพบว่าสถานที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ กลับเป็นสถานที่ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง ราวโลกสีเงิน!
เมื่อทอดสายตาไป ท้องฟ้าต่างขาวโพลน เมฆขาวหนาแน่นนั้น ลอยต่ำอยู่กลางอากาศ ดุจเพียงยื่นมือสามารถลูบคลำเมฆขาวหนานุ่มนั้นได้
ท้องฟ้าสีขาวนั้น เชื่อมต่อกับแสงสีขาวบนพื้นดิน ไม่แบ่งแยกกัน
และทิวทัศน์รอบกายพวกเธอ เป็นหอหยกอันงดงาม ประตูหน้าต่างแกะสลักประณีต สง่าโอ่อ่า สะพานโค้งเก้าขั้น
ที่นี่น่าจะเป็นวังสวยหรูหรา เพราะทั้งหมดที่นี่ ดูแล้วต่างวางโครงสร้างอย่างประณีต
ทั้งหมดที่เห็นตรงหน้า เล่อเหยาเหยาอดหลงใหลไม่ได้
เพราะเธอจำได้ว่าตอนนี้ยังเป็นฤดูร้อน พระอาทิตย์ลอยเด่นเจิดจ้า เหตุใดเพียงตื่นขึ้นมา กลับอยู่ในโลกน้ำแข็ง
หรือเธอหมดสตินานเกินไป
ไม่ถูกต้อง!
หากเธอหมดสติไปนาน ท้องเธอต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นถึงจะถูก
ดังนั้นคำอธิบายเดียวคือ มีคนนำตัวเธอมายังสถานที่ที่มีหิมะปลิวว่อนนี้
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดหันศีรษะ เอ่ยถามชายหนุ่มที่กำลังอุ้มเธอด้วยสีหน้ามีความสุขว่า
“ที่นี่ คือที่ใดหรือ!”
“ซินเอ๋อร์ ที่นี่คือเขาเทพธิดา และเป็นที่พักของลัทธินอกรีตของพวกเรา”
เมื่อรู้ว่า ‘ภรรยา’ ตนสูญเสียความทรงจำในอดีตทั้งหมด ชายหนุ่มแม้จะผิดหวัง ทว่ายังเอ่ยขึ้นอย่างอดทน
เพราะแม้ ‘ภรรยา’ ของเขา จะสูญเสียความทรงจำที่งดงามของพวกเขาในอดีตก็ไม่เป็นไร เพียงเธอ ‘ฟื้นคืนชีพ’ มาก็เพียงพอแล้ว
ต่อไปพวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแน่นอน
พอคิดถึงตรงนี้ แรงมือที่อุ้มเล่อเหยาเหยาของชายหนุ่มอดเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนไม่ได้
แต่เล่อเหยาเหยาหลังได้ยินคำพูดชายหนุ่ม กลับร้องตกใจอย่างไม่เชื่อสายตาออกมา
“อะไรนะ เขาเทพธิดา ลัทธินอกรีต!”
หลังได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ร่างกายเล่อเหยาเหยาดุจถูกฟ้าผ่า แข็งทื่อดุจหินอยู่ตรงนั้น
เขาเทพธิดา เธอเหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน
ว่ากันว่าเขาเทพธิดา และหุบเขาบุปผา ทะเลสาบซีหู คือสามสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของเทียนหยวน
และเขาเทพธิดานี้ คือยอดเขาที่สูงที่สุดในเทียนหยวน ยอดเขาสูงตระหง่าน ไร้ผู้คนที่สามารถขึ้นไปบนยอดได้
แต่ตอนนี้ เกิดสิ่งใดขึ้น!
หากเธอเมื่อครู่ไม่ได้ฟังผิด ชายผู้นี้เอ่ยพูดว่าที่นี่คือสถานที่รวมตัวของลัทธินอกรีต
ลัทธินอกรีตหรือ!
เมื่อได้ยินคำนี้ ดวงตาคู่งามของเล่อเหยาเหยาเบิกกว้างดุจระฆัง
คำว่าลัทธินอกรีตนี้ สำหรับเธอถือว่าไม่แปลกใหม่
เพราะเรื่องลัทธินอกรีตควักหัวใจครั้งก่อน กระหึ่มไปทั่วแคว้นเทียนหยวน
ว่ากันว่า ทั้งหมดที่ลัทธินอกรีตสังหารสาวน้อยพวกนั้นอย่างโหดเหี้ยมทารุณ ควักหัวใจสูบเลือด เพราะภรรยาของเจ้าลัทธิป่วยหนัก เจ้าลัทธิจึงให้คนควักหัวใจหญิงสาวและสูบเลือดพวกเธอกว่าร้อยคน เพื่อคิดทำยาอายุวัฒนะขึ้นมา
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาคล้ายไม่สบาย นึกย้อนถึงเมื่อครู่ชายหนุ่มตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมา พูดว่าเธอ ‘ฟื้นคืนชีพ’ ขึ้นมาไม่หยุด หรือว่า…
“เอ่อ คือว่า ข้าขอถามสักหน่อยได้หรือไม่ หากที่นี่คือลัทธินอกรีต เช่นนั้นท่านคือเจ้าลัทธิใช่หรือไม่”
“ฮ่า ๆ ข้าคือเจ้าลัทธินอกรีต ซือมู่หาน ชื่อสามีของเจ้า เจ้าต้องจำไว้ล่ะ ภรรยาข้า”
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นตามคำพูดของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยารู้สึกศีรษะตนถูกฟ้าผ่าเข้าอีกครั้ง สมองขาวโพลน คิดสิ่งใดไม่ออก
สวรรค์!
ฟ้าดิน!
ท่านเล่นตลกกับข้าหรือ!
เธอเพียงอยากใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบกับชายที่ตนรัก ท่านกลับทำเรื่องสะเทือนเลื่อนลั่นเช่นนี้
ลัทธินอกรีตนี้ ทำงานไม่สุจริต ชั่วร้ายโหดเหี้ยม เรื่องควักหัวใจครั้งก่อน ก็เป็นฝีมือของลัทธินอกรีตนี้ และยังเป็นชายหนุ่มตรงหน้านี้ที่ออกคำสั่ง!
พอนึกถึงชายหนุ่มโดดเด่นนี้ กลับจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาอดหนังศีรษะชาวาบไม่ได้ ก่อนไอความเย็นจะพุ่งจากปลายเท้าขึ้นสู่ส่วนศีรษะ
สีหน้าพลันซีดขาว อดสั่นเทิ้มไม่ได้
หลังซือมู่หานเห็นความผิดปกติของเล่อเหยาเหยา พลันเอ่ยถามอย่างห่วงใยว่า
“ซินเอ๋อร์ เจ้าหนาวหรือ โอ ต้องโทษข้าที่สะเพร่าเกินไป เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายอ่อนแอ แต่ข้ายังให้เจ้าอยู่ด้านนอก”
ซือมู่หานเสียใจทั่วใบหน้า พลันเพิ่มแรงในมือ กอดเล่อเหยาเหยาแน่นขึ้น
เพราะเดิมทีชายหนุ่มมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ
ร่างสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรนั้น มีไหล่กว้างเอวคอด สองขายาวตรง โค้งเว้าสมบูรณ์แบบ ดุจรูปร่างมาตรฐานของนายแบบ
เล่อเหยาเหยาถูกเขาอุ้ม ดุจแม่ไก่กกลูกไก่
แม้อ้อมกอดชายหนุ่มจะอบอุ่นอย่างยิ่ง แต่ร่างกายเล่อเหยาเหยากลับดุจแช่อยู่ในน้ำแข็ง ไอเย็นหนาวเหน็บนั้น ทำให้กระทั่งเลือดแทบจับตัวเป็นก้อน
สุดท้ายเล่อเหยาเหยาทนกับความหนาวเหน็บและการจู่โจมเช่นนี้ไม่ไหว จึงปิดตาลง ก่อนหมดสติไป!
…
เล่อเหยาเหยาที่กลัวจนตกใจจนหมดสติไป กลับฝันอย่างงดงามขึ้น!
ภายในฝัน นั่นคือวันที่อากาศแจ่มใส
ขบวนขันหมาก เสียงปี่เสียงกลอง ขบวนงานแต่งยาวเหยียด ทอดยาวจากปลายถนนในเมืองหลวงมาจนถึงถนนด้านหน้าเมืองหลวง
สุดท้ายขบวนขันหมากนั้น ท่ามกลางความอิจฉาริษยาของผู้คนรอบข้าง หยุดลงที่ประตูวังรุ่ยอ๋องที่ยิ่งใหญ่