บทที่ 182 ที่นี่ก็ไม่เลว
เซียวเฟิงออฟไลน์ทันทีหลังจากช่วยหาโทเคนให้ซางกวน อาโอเชินได้ ทว่าก็ยังสายเกินไป
เมื่อชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น ก็พบว่าเซียวหลิงมานอนอยู่บนเตียงของเขาอีกแล้ว ร่างนั้นมุดอยู่ในผ้าห่มโดยมีผมสีทองสลวยของเธอแผ่กระจายอยู่เป็นรัศมีบนเตียง เขาไม่มั่นใจว่าเธอมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนหรือว่าเข้ามาตอนเช้าหลังจากที่ตื่นนอนกันแน่
“ไม่ต้องมาแกล้งหลับเลย ทำไมเธอถึงชอบมานอนในห้องพี่ทั้ง ๆ ที่ห้องตัวเองก็มีล่ะ หา?”
เขาลูบตัวเธอที่อยู่ใต้ผ้าห่มเบา ๆ และพูดระหว่างที่จัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยด้วย
“ฮึ่ม ในฐานะที่เป็นคนรับใช้ นายควรจะรู้สึกเป็นเกียรตินะที่องค์หญิงหลิงมานอนด้วยแบบนี้ แสดงความขอบคุณซะสิ!”
เซียวหลิงลุกออกจากผ้าห่มด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เธอกอดอกและพูดก่อนจะพองลมไว้ที่แก้ม
“โอเค ๆ รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ”
เซียวเฟิงตอบพอเป็นพิธี ซึ่งในตอนที่เขาลุกขึ้น ประตูห้องก็เปิดออกมาพอดี
“นายท่าน อาหารเช้าพร้อ…อะ…อะ…เอ่อ ฉันไม่ได้ตั้งใจ…ขอโทษค่ะ…ฉันขอโทษ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…ได้โปรด อย่าไล่ฉันออกไปเลยนะคะ…ฉันขอโทษจริง ๆ!”
หนิงเคอเค่อในชุดเมดเปิดประตูห้องเข้ามาและพบว่าเซียวเฟิงนั้นกำลังแต่งตัว ส่วนเซียวหลิงกำลังนอนอยู่บนเตียงในสภาพชุดนอนที่ไม่เรียบร้อยนัก เธอตกใจมาก ๆ จนใบหน้าสวยนั้นขึ้นสี ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบกล่าวขอโทษขอโพยโดยไว
“เธอกำลังพูดอะไรเนี่ย?” เซียวเฟิงไม่ได้เข้าใจเลยว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นหมายถึงอะไร เพราะงั้นเขาจึงถามกลับไปขณะดึงกางเกงขึ้นมาสวม
“ฉะ…ฉะ…ฉันขอโทษค่ะนายท่าน! ให้อภัยฉันด้วย! ฉันจะไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้อีก!” หนิงเคอเค่อยังคงพูดอย่างไม่ได้สติ เธอเอาแต่ขอโทษจนกระทั่งออกจากห้องของเซียวเฟิงไปเลย เด็กสาวดูจะร้อนกายร้อนใจมากขณะที่รีบหนีหายไปจากสายตาของเซียวเฟิงเช่นนั้น ซึ่งตลอดทางที่เดินออกไป เธอก็ยังบ่นพึมพำตลอดจนกระทั่งเผลอไปชนกำแพงอีกด้วย
เซียวเฟิงไม่สามารถเข้าใจได้จริง ๆ ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เพราะงั้นเขาจึงได้แต่สายหน้าในความโก๊ะของเธอ ทว่าเซียวหลิงกลับเข้าใจเสียอย่างนั้น เธอพยักหน้าราวกับกำลังแสดงการยอมรับ
“ฉันไม่คิดเลยว่าโคนมหนิงจะเป็นยิ่งกว่ายัยโง่ที่มีแต่เนื้อ ก็ได้ จะยอมรับให้เป็นข้ารับใช้ขององค์หญิงหลิงไว้อีกซักคน”
เมื่อเดินลงไปถึงห้องทานอาหาร เซียวเฟิงก็พบว่าอาหารเช้าถูกเตรียมไว้หมดแล้ว ซึ่งเฉียนโตวโตวก็เริ่มลงมือกินมันแล้วด้วย เป็นขนมปัง ไข่ทอด แล้วก็นมร้อน ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นอาหารง่าย ๆ แต่หนิงเคอเค่อก็พยายามทำมันอย่างดีที่สุดแล้วจากการศึกษาวิธีการทำอาหาร ซึ่งเซียวเฟิงเองก็ค่อนข้างพึงพอใจกับความพยายามของเธอในครั้งนี้เช่นกัน
หนิงเคอเค่อยังคงก้มหัวต่ำอยู่ในขณะที่พวกเขาเริ่มกินอาหารเช้า เธอเงยหน้ามามองเซียวเฟิงเป็นครั้งคราวแต่เมื่อมองเสร็จก็จะรีบก้มหัวต่ำไปอย่างรวดเร็วราวกับกระต่ายที่เกรงกลัวนักล่า ใบหน้านุ่มนิ่มของเธอแดงไปหมดซึ่งมันทำให้เฉียนโตวโตวรู้สึกประหลาดใจไปด้วย
“พี่เซียว ฉันคงต้องไปก่อน” เฉียนโตวโตวพูดกับเซียวเฟิงหลังจากที่เธอกินอาหารในส่วนของเธอหมดพร้อมกับกระดกนมจนหมดแก้วตามไปด้วย เธอต้องกลับไปยังสตูดิโอของเธอแล้ว
“อืม เดินทางปลอดภัย”
เซียวเฟิงพยักหน้าและย้ำเตือนให้เธอระวังตัว จากนั้นเฉียนโตวโตวถึงได้กลับไปพร้อมกับหมวกเล่นเกมของตัวเอง
เสียงเครื่องยนตร์รถออดี้สีขาวของเฉียนโตวโตวดังขึ้นที่หน้าคฤหาสน์ เสียงนั้นค่อย ๆ เคลื่อนไกลออกไปหลังจากหยุดอยู่ที่หน้ารั้วพักหนึ่ง ทว่าไม่นานนัก หลังจากที่เซียวเฟิงกินข้าวเช้าเสร็จได้ครู่เดียว เสียงของรถยนต์กลับมาจอดที่หน้าคฤหาสน์อีกครั้ง
ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ภายในห้องรับประทานอาหารนั้นมีจุดที่สามารถสอดส่องไปดูด้านนอกได้ ทุก ๆ ห้องภายในคฤหาสน์แห่งนี้มีหน้าต่างทรงฝรั่งเศสถูกติดตั้งไว้เพื่อให้สามารถเห็นวิวบรรยากาศภายในสวนได้อยู่แล้ว เขาจึงใช้จุดนี้เพื่อสอดส่องออกไปเพราะสงสัยในการกระทำแปลก ๆ ของเฉียนโตวโตว
อย่างไรก็ตาม รถคันสีขาวที่วิ่งกลับมาที่สวนหน้าคฤหาสน์นั้นกลับไม่ใช่ออดี้สีขาวของเฉียนโตวโตวอย่างที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังน่าประหลาดใจอยู่ดี นั่นเพราะเซียวเฟิงจำได้ว่ามันเป็นรถของหลิวเฉียงเหว่ย
ติ๊งต่อง…
เสี่ยงกริ่งประตูดังขึ้น หนิงเคอเค่อก็รีบวิ่งออกจากห้องรับแขกที่เธอกำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่ไปยังจอวีดีโอที่เชื่อมกับกริ่งหน้าประตูไว้ เธอพบว่าที่ปลายทางนั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งสวยเสียยิ่งกว่าสวยกำลังยืนอยู่หน้าคฤหาสน์
“เอ่อ…มาหาใครเหรอคะ?” หนิงเคอเค่อชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามผ่านอินเตอร์คอมหลังจากที่ตระหนักได้ว่าตนเงียบมานานเกินไป เกรงจะเสียมารยาท
“ฉันมาหาเซียวเฟิง”
หลิวเฉียงเหว่ยที่อยู่ด้านนอกนั้นได้ยินแค่เสียงเท่านั้น เธอไม่สามารถมองเห็นภายในได้ว่าใครกำลังพูด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็แอบประหลาดใจกับเสียงของหญิงสาวที่ได้ยินผ่านอินเตอร์คอม ทว่าหญิงสาวก็พยายามทำความเข้าใจว่านั่นอาจจะเป็นเสียงของเซียวหลิงที่อยู่กับเซียวเฟิงก็ได้ จึงตอบกลับด้วยเสียงเบา
ไม่นานนัก เซียวเฟิงก็เดินเข้ามาที่ห้องรับแขกพร้อมกับรินชาให้ตัวเขาเองก่อนจะลงไปนั่งที่โซฟาอย่างสบายใจ แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่ส่งมาของหนิงเคอเค่อราวกับจะถามอะไร เขาก็หันไปตอบ
“ให้เธอเข้ามา”
เพราะเซียวเฟิงรู้อยู่แล้วว่าด้านนอกคือหลิวเฉียงเหว่ย
“รับทราบค่ะ นายท่าน” หนิงเคอเค่อเดินออกไปเปิดประตูและนำหลิวเฉียงเหว่ยเข้ามายังห้องรับแขก “ทางนี้ค่ะ นายท่านกำลังรอคุณผู้หญิงอยู่ที่ห้องรับแขก”
วันนี้หลิวเฉียงเหว่ยสวมชุดเดรสสีขาวที่ช่วยขับความสวยงามของเธอออกมามากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า หญิงสาวคนนี้ดูเหมือนนางฟ้าที่กำลังย่างก้าวไปบนพื้นโดยไม่ทิ้งรอยเท้าใด ๆ ไว้ ผู้คนทั่วไปไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะละอายแก่ความผิดบาปติดตัวกลัวว่ามันจะเข้าไปแปดเปื้อนเธอได้
หลังจากที่เดินตามหนิงเคอเค่อเข้าไปยังห้องรับแขกแล้ว เธอก็ลงไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเซียวเฟิงโดยไม่ต้องบอก ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยระหว่างที่มองคนรับใช้สาวเดินจากไป หญิงสาวรีบหันไปถามกับเซียวเฟิงด้วยความสงสัย
“ฉันไม่คิดเลยนะว่านายจะชอบอะไรแบบนี้”
สีหน้าของเซียวเฟิงเปลี่ยนไปทันทีหลังจากได้ยินเธอพูดแบบนั้น กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากจะอธิบายอะไรให้เธอฟังหรอก เพราะถ้ายิ่งอธิบายมันอาจจะทำให้เธอยิ่งรู้สึกแปลกก็ได้
“เธอรู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไง?” เซียวเฟิงยิงคำถาม
เขาค่อนข้างจะมั่นใจเลยว่าหลิวเฉียงเหว่ยไม่กล้าที่จะสะกดรอยตามเขาแน่ ๆ แต่การที่เธอสามารถหาที่อยู่ใหม่ของเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ มันก็ทำให้เขางุนงงอยู่ดี
“ฉันเพิ่งรู้ว่านายย้ายออกจากอพาร์ตเมนต์ตอนที่ฉันไปที่นั่น ก็เลยโทรหาเฉียนโตวโตว เธอคนนั้นเลยบอกที่อยู่ใหม่นายมา” หลิวเฉียงเหว่ยอธิบาย
“เธอกับเฉียนโตวโตวสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
มันกลายเป็นว่า เมื่อตอนจะออกจากบ้านไป เฉียนโตวโตวคุยโทรศัพท์กับหลิวเฉียงเหว่ยก่อนจะขับรถออกไปนั่นเอง ยิ่งคิดได้แบบนั้นเซียวเฟิงก็ยิ่งรู้สึกแปลก “พวกเธอสนิทกันจนมีเบอร์โทรศัพท์กันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะนาย” หลิวเฉียงเหว่ยตอบอย่างมั่นใจแต่เสียงก็ยังแผ่วเบาอยู่
คำตอบของเธอมันคลุมเครือ ดูเหมือนว่าเฉียนโตวโตวจะเข้าใจผิดว่าเธอคนนี้เป็นแฟนสาวของเซียวเฟิงแน่ ๆ ถึงได้ปฏิบัติกับหลิวเฉียงเหว่ยเป็นพิเศษแบบนี้
หลิวเฉียงเหว่ยไม่อยากจะอธิบายให้ชัดเจน เพราะการเข้าใจผิดแบบนี้มันทำให้เธอได้ผลประโยชน์ไปด้วย
“เธอต้องการอะไร?” เซียวเฟิงยกชาขึ้นจิบแล้วถามออกไปตรง ๆ เขาไม่ใจอ่อนแสดงความห่วงใยเธอเลย
“กลางวันนี้จะมีสงครามป้องกันฐานที่ตั้งของกิลด์มิดซัมเมอร์ นายจะร่วมด้วยไหม?” หลิวเฉียงเหว่ยเองก็ถามออกมาตรง ๆ ด้วยเหมือนกัน ยังไงเสียเธอก็เป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้มานานแล้ว
“ฉันคิดว่ากิลด์ของเธอน่าจะมีความสามารถพอที่จะเอาชนะได้แล้วนะ อีกอย่างฉันไม่อยากทำให้กิลด์ของเธอลำบากใจกันด้วย” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เซียวเฟิงก็ตอบเธอไป หากชายหนุ่มเข้าร่วมสงครามนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง มันจะต้องกลายเป็นไม่กี่ชั่วโมงที่เสียเปล่าแน่ ๆ ตอนนี้เขาจำเป็นต้องตามหาตี้อู่หยาแล้วขอให้ช่วยสร้างอุปกรณ์ให้เขาเสีย
“หลังจากที่ปกป้องฐานทัพเก่าได้ไม่สำเร็จ พวกเราก็สูญเสียสมาชิกไปกว่า 30% เพราะงั้นมันเลยยากมากที่กิลด์มิดซัมเมอร์ในตอนนี้จะสามารถป้องกันฐานครั้งใหม่ได้” หลิวเฉียงเหว่ยส่ายหัวเบา ๆ ขณะที่แววตาคู่สวยของเธอก็แอบสั่นคลอนด้วยความหดหู่อยู่ลึก ๆ เธอพูดต่อ “ยังไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะมีใครมาช่วยพวกเราตอนนี้”
“อืม…โอเค ก็ได้ ถ้างั้นฉันจะเข้าร่วมด้วยในรอบหลัง ๆ ก็แล้วกัน” เซียวเฟิงตอบ เขาคิดย้อนกลับไปแล้วตระหนักได้ว่าตนก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ 30% ของผู้เล่นกิลด์มิดซัมเมอร์ที่เสียไปด้วย
“ขอบคุณมาก” มองไปยังเซียวเฟิง หลิวเฉียงเหว่ยก็พูดขึ้นเสียงเบาขณะที่แววตาก็แสดงความสดใสขึ้นมา
“เอ๊ะ? อ๊ะ ๆ ทำไมอีกแล้ว? ทำไมถึงมีผู้หญิงแปลกหน้ามาโผล่ที่บ้านนี้ได้อีก!? นายมันเป็นขี้ข้าบ้ากามจริง ๆ ! นายเป็นหมาติดสัดหรือไงน่ะ!!” เสียงร้องโหวกเหวกดังขึ้นขัดจังหวะ ก่อนจะตามมาด้วยเจ้าของเสียงอย่างเซียวหลิงที่วิ่งตรงเข้ามาในห้องรับแขกด้วยความโกรธเกรี้ยว เธอบ่นพร้อมกับชี้หน้าเซียวเฟิงไปด้วย
“น้องเซี่ยหลิง ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
หลิวเฉียงเหว่ยลุกขึ้นทักทายเซียวหลิง เธอเคยเห็นภาพของเซียวหลิงแล้วแต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ได้มาเจอกันต่อหน้าต่อตา และเมื่อได้มาเห็นตัวจริง เธอก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความสวยของเด็กคนนี้
เซียวหลิงนั้นเหมือนเจ้าหญิงที่หลุดมาจากเทพนิยายผู้มีผมสีบลอนด์ทอง ดวงตาสีฟ้าบนใบหน้าทรงสวยนั้นถูกปกคลุมไปด้วยผิวเนียนนุ่มละเอียดละออราวกับเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินระดับโลก
แม้ว่าหลิวเฉียงเหว่ยจะเคยมาที่อพาร์ตเมนต์ของเซียวเฟิงแล้วเมื่อ 2 วันก่อน แต่เพราะตอนนั้นเซียวหลิงยังอยู่โรงเรียน ดังนั้นวันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเธอได้รู้จักกัน
“ใครเป็นน้องของเธอมิทราบ? กล้าดียังไงเอาตัวเองมานับญาติกับองค์หญิงหลิงผู้นี้? เธอ เธอมัน…”
ร่างเล็กกระโดดขึ้นไปบนโซฟาเพื่อชดเชยความสูงให้เท่ากับหลิวเฉียงเหว่ย ก่อนเซียวหลิงจะชี้หน้าหลิวเฉียงเหว่ย ทว่าก็ต้องกลืนน้ำลายตนเองไปเพราะสะดุดตากับความสวยสง่าของหญิงตรงหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้
หากเปรียบเทียบความสวยงามของผู้หญิงเป็นค่าพลังต่อสู้ที่สูงสุดคือ 100 แต้ม หลิวเฉียงเหว่ยน่ะอยู่ในระดับปรมาจารย์ที่มีแต้มสูงถึง 95 แต้มเลย!
เพราะงั้นแล้วเซียวหลิงจึงชะงักไปขณะมองหลิวเฉียงเหว่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า
ใบหน้าที่งดงามเกินจะบรรยาย ควบคู่กับร่างกายที่มีสัดส่วนเว้าโค้งได้รูป ผิวที่อ่อนนุ่มและเอวที่คอดสวยเข้ากันดีจนไม่น่าเชื่อ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอมันสะกดทุกสายตา ไม่ว่าจะเป็นบนโลกหรือสรวงสวรรค์ต่างก็ต้องหยุดนิ่งและหันมามองในความสวยงามนี้
“เธอ…เธอ….”
นิ้วเล็ก ๆ ของเซียวหลิงชี้หลิวเฉียงเหว่ยอยู่ครู่ใหญ่ ๆ โดยที่เธอไม่สามารถพูดประโยคที่ค้างคาออกไปได้เสียที เด็กสาวรู้สึกเหมือนจะเจอศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดเข้าให้แล้ว
ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยสนใจซือเยี่ยจิ๋งหรือเฉียนโตวโตวเลย แต่กับหลิวเฉียงเหว่ย มันเป็นครั้งแรกเลยที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นก็ไม่ได้เก่งกล้าอะไรนัก
หลิวเฉียงเหว่ยมองเซียวหลิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอพยายามประนีประนอมกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดี หลังจากที่เธอได้ยินมาจากเฉียนโตวโตวว่าเซียวหลิงคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเซียวเฟิง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถละเลยเด็กคนนี้ได้ แล้วยิ่งถ้าเผลอไปยั่วโมโหเซียวหลิงเข้า ผลลัพธ์มันอาจจะยิ่งแย่ลงไปมากกว่าเดิมได้
เพราะฉะนั้น หลิวเฉียงเหว่ยจึงพยายามยิ้มให้เห็นอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าตามปกติแล้วเธอจะไม่ใช่คนที่แสดงความรู้สึกออกมาง่าย ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะดีใจหรือทุกข์ใจ อันที่จริงรอยยิ้มของเธอมันก็ถือเป็นอาวุธที่รุนแรงระดับหนึ่ง นั่นเพราะความเย้ายวนและงดงามของยิ้มนั้น ทำให้ผู้ที่ได้พบเจอเหมือนได้เข้าปะทะกับสายลมฤดูใบไม้ผลิอย่างไม่รู้ตัวได้ในทันที
แต่ช่างโชคร้ายที่ผลลัพธ์มันกลับไม่ได้ออกมาดังที่เธออยากให้เป็น เซียวหลิงดูจะรู้สึกกดดันมากกว่าเดิมเสียอีก ยิ่งหลิวเฉียงเหว่ยพยายามจะเข้าใกล้ เซียวหลิงก็ยิ่งถอยหลังออกโดยขาดความมั่นใจ
“เจ้าทาสโง่! บ้าเอ้ย! นายมันปีศาจ! ปีศาจตัณหาล้น! ไปตายซะ! องค์หญิงหลิงจะไม่สนใจนายอีกต่อไปแล้ว!”
ในท้ายที่สุด เซียวหลิงก็ยอมแพ้ให้กับผิดหวังที่ก่อตัวขึ้นภายในใจลึก ๆ เธอคว้าเอาหมอนบนโซฟาขึ้นมาก่อนจะปาใส่เซียวเฟิงรุนแรง ร่างเล็กกระโดดลงจากโซฟาแล้ววิ่งหนีออกจากห้องนี้ไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ลืมที่จะหันมามองทั้งสองคนภายในห้องด้วยความโกรธเคือง
สถานการณ์นี้ทำให้หนิงเคอเค่อหวาดกลัวไม่น้อยเลย เธอกำลังเช็ดโต๊ะอยู่พอดี เพราะงั้นจึงรีบวิ่งตามไปติด ๆ
“อย่าไปถือโทษโกรธเธอเลย เซียวหลิงก็เป็นแบบนี้แหละ บางครั้งเธอก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้น่ะ” เซียวเฟิงอธิบาย
จริง ๆ ก็เพราะเขาชินกับพฤติกรรมของเซียวหลิงแล้วด้วย แต่เห็นได้ชัดเลยว่าหลิวเฉียงเหว่ยดูจะไม่สบายใจสุด ๆ หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเผลอทำอะไรลงไปแล้วทำให้เซียวหลิงไม่มีความสุขหรือเปล่า?
“ถ้าเธอไม่มีอะไรจะพูดกับฉัน ฉันต้องกลับไปที่ห้องแล้วนะ”
เซียวเฟิงยืนขึ้นและเดินตรงไปยังบันไดเพื่อจะกลับไปยังห้องของตนและเตรียมที่จะออนไลน์อีกครั้ง
“ทำไมนายถึงย้ายออกล่ะ?” หลิวเฉียงเหว่ยถามด้วยความอยากรู้ เธอไม่ได้กลับไปทันที กลับกันหญิงสาวดันเดินตามเซียวเฟิงขึ้นไปด้วย
“อพาร์ตเมนต์เก่ามันซ่อนตัวได้ไม่ดี แล้วก็ฉันไม่อยากจะให้อย่างอื่นมารบกวนชีวิตของเซียวหลิงด้วย” เซียวเฟิงตอบอย่างไม่คิดอะไร
“อืม คฤหาสน์นี้ก็ดูไม่เลวเลยแฮะ คงยังมีห้องว่างใช่ไหม?” หลิวเฉียงเหว่ยถามอีกครั้งหลังจากมองบรรยากาศรอบ ๆ คฤหาสน์หลังใหญ่นี้