บทที่ 201 หญิงผู้มาเยือนอย่างกะทันหัน

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ย่าขู่และเย่เทียนเฉินเพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรก แต่หากจะกล่าวว่าเหตุใดย่าขู่จึงดูถูกเย่เทียนเฉิน อีกทั้งในคำพูดมีความเสียดสีปนอยู่ คำอธิบายอย่างเดียวก็คือหลิงอวี่สวิ๋น

ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าย่าขู่จะทำตัวเย็นชากับหลิงอวี่สวิ๋น ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นหลิงอวี่สวิ๋นเป็นคุณหนูของตระกูลหลิง ไม่มีความเคารพนอบน้อมระหว่างนายบ่าวอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ในใจของหลิงอวี่สวิ๋นรู้ดีว่า ย่าขู่รักตนเองมาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็คอยปกป้องเธอมาโดยตลอด ขอเพียงเธอมีอันตราย ย่าขู่ก็จะเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวออกมา ก็เหมือนกับการปกป้องหลานสาวของตนเอง

เพียงแต่ที่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกสงสัยก็คือ แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ย่าขู่เย็นชา ไม่พูดจามากมาย แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะลงมือกับคนอื่นง่ายๆ โดยเด็ดขาด เหตุใดเธอจึงได้ลงมือกับเย่เทียนเฉินโดยไม่พูดไม่จา?

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอันรวดเร็วและรุนแรงของย่าขู่ เย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ทำได้เพียงตะโกนออกมาในช่วงพริบตา เสียงตะโกนนี้ปะปนไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน สั่นไหวจนทำให้หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดหูเอาไว้ ส่วนย่าขู่นั้นก็ถูกทำให้การโจมตีด้วยมือทั้งสองช้าลง

ในตอนที่ช้าลงไปนี้ เย่เทียนเฉินก็หลบการโจมตีของย่าขู่ ในขณะเดียวกันก็ต่อยไปที่ย่าขู่ นี่เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่โง่จนถึงขั้นลงมือไว้ไมตรีต่อนางเพียงเพราะนางเป็นหญิงชรา เหตุผลนั้นง่ายมาก ในสังคมปัจจุบันนี้มีคนชราเป็นจำนวนมากที่โหดเหี้ยมน่ารังเกียจยิ่งกว่าอายุของตนเองเป็นร้อยเท่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในพรรควรยุทธโบราณเลย ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีฝีมือลึกล้ำยากที่จะคาดเดา

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินส่งหมัดปะทะเข้าไป ย่าขู่ขมวดคิ้ว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าลูกหลานของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินคนนี้จะแข็งแกร่งห้าวหาญอยู่บ้างจริงๆ ตนเองดูเบาความสามารถของเขาเกินไป เมื่อครู่นี้ลงมืออย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง แต่อย่างน้อยก็ใช้พลังเจ็ดส่วน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกเย่เทียนเฉินหลบเลี่ยงได้ โดยเฉพาะเสียงตะโกนอย่างกะทันหันของเขา ให้ความรู้สึกที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนต้องสั่นไหว ไม่รู้ว่าเป็นวิชาอะไร

ในใจคิดไป แต่มือก็ไม่ได้ช้าลงเลย ย่าขู่ไม่ได้หลบเลี่ยง ใช้ฝ่ามือตบปะทะเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน หมัดและฝ่ามือปะทะกัน ทั้งสองยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ด้านข้างตกใจจนอ้าปากค้าง แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่เคยเห็นคนที่สามารถประมือกับย่าขู่อย่างสูสีมาก่อน และไม่เคยมีใครที่รับการโจมตีของย่าขู่ได้ ต่างก็ถูกฆ่าตายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ไม่ว่าภายภาคหน้าจะปรากฏยอดฝีมือที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นมาหรือไม่ อย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็เป็นคนแรก

“ไม่แปลกเลยที่เธอจะมีความมั่นใจ ความสามารถแข็งแกร่งจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่ฉันอยากจะบอกเธอก็คือ ด้วยฝีมือในตอนนี้ของเธอ ก็จะต้องตายอยู่ดี เพราะคุณชายใหญ่ร้ายกาจกว่าเธอมาก!” ย่าขู่พูดอย่างเย็นชา

“งั้นเหรอครับ? สู้กับคุณผมไม่จำเป็นต้องใช้พลังเต็มที่หรอก แต่ถ้าสู้กับคุณชายใหญ่ตดหมาอะไรนะ ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังเต็มที่เหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“เธอ…ความหมายของเธอก็คือ เธอยังไม่ได้ลงมือเต็มที่?” ย่าขู่ขมวดคิ้ว กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยถาม

“ผมไม่ทำร้ายคนแก่ แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่คนแก่ที่ร้ายกาจเกินไป!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดต่อไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีพิษมีภัย

ย่าขู่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผ่อนคลายลง ไม่มีท่าทางคิดอยากจะลงมืออีก ยิ้มออกมาด้วยความโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น “ดี ฉันจะดูสักหน่อยว่าเธอจะปากดีได้มากขนาดไหน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเห็นตระกูลเย่ถูกฆ่าล้าง ใจยังปากดีต่อไปได้อีกหรือไม่…”

“คุณคิดว่าผมไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่จริงๆ หรือครับ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างเรียบเฉย

“ไม่ใช่คิดว่า แต่แน่ใจ หากว่าเธอสู้กับคุณชายใหญ่ ไม่เพียงแต่เธอที่จะต้องตาย ตระกูลเย่ของเธอก็จะถูกฆ่าล้างด้วย” ย่าขู่ไม่ได้มองเย่เทียนเฉินดีเลยสักนิด กลับพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี

“ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเดิมพันกันหน่อยเป็นยังไง?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“เดิมพัน? เธออยากจะเดิมพันอะไร?” ย่าขู่มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ถ้าหากว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพ่ายแพ้ คุณจะต้องไปที่ตระกูลเย่ของผมด้วยตนเอง ไปขอโทษถึงบ้าน!” เย่เทียนเฉินมองย่าขู่แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“เธอ…กล้าดีนี่ แต่ไหนแต่ไรมายังไม่มีใครกล้ามาบอกให้ฉันขอโทษมาก่อน เธอเป็นคนแรก ฉันก็จะตอบรับคำขอของเธอ รอให้เธอชนะคุณชายใหญ่ได้เสียก่อนก็มาหาฉันที่ตระกูลหลิง เงื่อนไขก็คือเธอต้องสามารถเข้ามาที่ประตูหน้าของตระกูลหลิงได้!” ในที่สุดย่าขู่ก็พูดขึ้นแล้วพยักหน้า

“งั้นก็ดีครับ ตระกูลหลิง จะช้าจะเร็วก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่จะได้ไปเยือน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นส์และย่าขู่จากไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ถึงแม้ว่าเขาจะมองออกว่าหลิงอวี่สวิ๋นไม่อยากไป ไม่สามารถทิ้งเขาไว้ได้ แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่า บางทีหลิงอวี่สวิ๋นคงเป็นอย่างที่เสี้ยวหยาพูดจริงๆ ไม่ได้มีเพียงมิตรภาพในวัยเด็กต่อตนเองเท่านั้น แต่ยังคงมีความรักอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงพูดกับหลิงอวี่สวิ๋นเพียงประโยคเดียวเท่านั้น

“ไม่เป็นอะไรหรอก รอฉันอยู่ที่บ้านนั่นแหละ เมื่อถึงเวลาฉันจะไปหาเธอเอง พวกเราก็จะได้เล่นด้วยกันอีกครั้ง ไปเรียนด้วยกันอีก!”

ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เรียบง่ายและเรียบเฉย แต่กลับทำให้หลิงอวี่สวิ๋นสะอึกสะอื้น สะอึกสะอื้นจนไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้ น้ำตาไหลออกมาจากหางตาทั้งสอง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า  มีสีหน้ามีความสุข เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความสำคัญที่เย่เทียนเฉินมีต่อตน อย่างน้อยในใจของเย่เทียนเฉินก็มีตำแหน่งของเธออยู่ นี่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นดีใจมาก

“ฉันจะรอนาย!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มทั้งน้ำตา พูดออกมาอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินพยักหน้า โบกมือลาให้หลิงอวี่สวิ๋น เขาไม่อยากจะทำตัวเป็นนักรัก และไม่อยากให้ผู้หญิงทุกคนในโลกมาหลงรักเขา เพียงแต่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ก็สาบานเอาไว้ว่าจะปกป้องและทะนุถนอมคนข้างกาย ให้พวกเขามีความสุข

เขาสตาร์ทรถรถมอเตอร์ไซค์ของตนเองจากนั้นจึงขับไปจากมหาวิทยาลัย ในระหว่างนี้เขารู้สึกถึงบรรยากาศอันแข็งแกร่งที่กำลังจับจ้องตนเองอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้จะต้องเก็บกวาดศัตรูที่ปรากฏตัวให้เห็นเบื้องหน้าเสียก่อน รอให้จัดการศัตรูในทางเปิดเผยก่อน ศัตรูในทางลับย่อมปรากฏออกมาเอง เมื่อถึงตอนนั้นจะเก็บกวาดก็ยังไม่สาย

ที่เย่เทียนเฉินเดิมพันกับย่าขู่นั้น สาเหตุก็ง่ายดายเป็นอย่างมาก ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะสร้างอำนาจของตน เหตุใดจะไม่ถือโอกาสนี้ทำตระกูลเย่ให้ยิ่งใหญ่ล่ะ? ยังไม่ต้องสนใจเรื่องลุงสองกับลุงสาม เพียงแต่คิดว่าการทำให้ตระกูลเย่ยิ่งใหญ่ และรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง พ่อแม่และน้องสาวคงจะดีใจมาก เย่เทียนเฉินก็จะทำเช่นนั้น

ต้องการสร้างอำนาจเป็นของตนเอง ต้องการทำให้ตระกูลเย่เติบโต ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันเดียว ยังต้องค่อยๆ เดินไปทีละก้าว จำเป็นต้องค่อยๆ สร้างศักดิ์ศรีหน้าตาของตระกูลเย่ขึ้นมาอีกครั้ง ให้ขั้วอำนาจอื่นๆ และตระกูลใหญ่อื่นๆ ได้รู้ว่า ตระกูลเย่รุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ใครก็จะรังแกได้!

เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม เย่เทียนเฉินจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ประตูบ้าน ผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป พบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว ส่วนน้องสาวเย่เชี่ยนเหวินกำลังเล่นคอมอยู่ที่ห้องโถง เล่นอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก ถึงกับหัวเราะออกมาเป็นบางครั้ง

“เลิกเล่นได้แล้ว…ฮ่าๆๆๆ!” เย่เทียนเฉินเดินไปด้านหลังของน้องสาวและกดปุ่มปิดบนโน๊ตบุ้ค ทันใดนั้นเย่เชี่ยนเหวินที่กำลังเล่นเกมอย่างมีความสุขได้แต่มองอย่างโง่งม เพราะโน๊ตบุ้คถูกปิดไปแล้ว

“อา… พี่ หนูจะฆ่าพี่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเล่นได้ที่ห้า… มาให้ตีเดี๋ยวนี้!”

เย่เชี่ยนเหวินตะโกนใส่เย่เทียนเฉินแล้วพุ่งเข้าไป ยกกำปั้นขาวนวลขึ้นจะทุบลงไป เย่เทียนเฉินหัวเราะเสียงดังแล้ววิ่งหนี ทำให้เย่เชี่ยนเหวินโกรธจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ววิ่งตามไป พี่ชายจะไม่เอาไหนเกินไปแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าเล่นเกมนั้นจนได้ที่ห้า เล่นไปสองชั่วโมงเต็มๆ ไม่รู้ว่าเริ่มใหม่ไปตั้งกี่ครั้ง ตอนนี้เพียงพริบตาเดียวก็ถูกพี่ชายทำร้ายจนหมดสิ้น เย่เชี่ยนเหวินจะไม่โกรธได้อย่างไร

“พวกเธอสองพี่น้องทะเลาะอะไรกันอีก เลิกโวยวายได้แล้ว มาหยิบถ้วยหยิบตะเกียบไปเถอะ เตรียมกินข้าวได้!” หลัวเยี่ยนที่อยู่ในครัวได้ยินเสียงทะเลาะกัน จึงเดินออกมาพบว่าเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินกำลังวิ่งไล่กันอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

“รู้แล้วครับคุณแม่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น

“แม่คะ อีกเดี๋ยวค่อยกินข้าวเถอะ หนูรับพี่ไม่ได้จริงๆ…” เย่เชี่ยนเหวินทำปากยู่ กำหมัดแน่นแล้วไล่ตีเย่เทียนเฉินต่อไป

“พวกเธอสองพี่น้องเหมือนกับเด็กๆ เลย…”

หลัวเยี่ยนพูดพลางหัวเราะ ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอส่ายหน้าแล้ววางตะเกียบในมือลง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดประตูออกก็มองไปว่าเป็นใครถึงได้มาหาดึกดื่นขนาดนี้ ในตอนที่หลัวเยี่ยนเปิดประตูคฤหาสน์ออกไปนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินนั้น ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกันอยู่ แต่เมื่อได้ยินเสียงหลัวเยี่ยนเปิดประตูแล้วไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ

“แม่คะ ใครเหรอ คุณพ่อกลับบ้านแล้วใช่หรือเปล่าคะ?” เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่ประตู

“ใช่แล้ว งั้นพวกเราก็เปิดเหล้ากันขวดหนึ่งดื่มฉลองกับคุณพ่อสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินเดินไปถึงประตูคฤหาสน์ จะพบว่าหลัวเยี่ยนยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ กระทั่งมีท่าทีโกรธเคืองเล็กน้อย เบื้องหน้าของหลัวเยี่ยนมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นผู้หญิงที่งดงามเป็นอย่างมาก ต่อให้มาเยือนในเวลาค่ำคืน ก็ไม่สามารถบดบังใบหน้าอันงดงามของผู้หญิงคนนี้ได้เลย

“เธอเองเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย

“ฉันมาหานายเพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย!” ผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามบริเวณประตูบ้านตระกูลเย่มองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“เชิญเข้ามาเถอะ!” ถึงแม้ว่าหลัวเยี่ยนจะมีอคติกับผู้หญิงตรงหน้า แต่ก็สามารถเก็บอารมณ์ได้อย่างดี จะอย่างไรผู้มาเยือนก็เป็นแขก ไม่สามารถปฏิบัติกับแขกอย่างเลวร้ายได้

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณน้า หนูมาหาเย่เทียนเฉินผมมีเรื่องจะคุย คุยจบก็ไปแล้ว!” ผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามคนนั้นพูดขึ้นพลางยิ้มให้หลัวเยี่ยนอย่างเป็นมิตร

หลัวเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร หันกลับไปมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ในเมื่อเย่เทียนเฉินเป็นคนคนต้นเรื่อง เรื่องเหล่านี้ควรจะจัดการด้วยตัวเอง

“แม่ครับ แม่กับน้องกินข้าวกันไปก่อนสองคนนะครับ ผมจะออกไปแปบเดียวเดี๋ยวกลับมา!” เย่เทียนเฉินเดินไปที่ประตูแล้วกล่าวกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม

“ระวังตัวหน่อย!” หลัวเยี่ยนพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองผู้หญิงสวยตรงประตู พูดยังเฉยชาว่า “ไปเถอะ ข้างๆ มีศาลาอยู่ พวกเราไปคุยกันที่นั่นได้!”

……………………..