บทที่ 202 หลิ่วหรูเหมยมาเยือน

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

คฤหาสน์ที่เย่เทียนเฉินอาศัยอยู่ไม่นับว่าใหญ่และไม่นับว่าเล็ก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่รวมตัวของผู้ร่ำรวยในเมืองหลวง และไม่ใช่สถานที่ที่ผู้มีอำนาจจะอาศัยอยู่ แต่ครอบครัวที่สามารถซื้อคฤหาสน์ในเมืองหลวงได้ จะอย่างไรก็ยังเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นวิวทิวทัศน์ในคฤหาสน์แห่งนี้ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว

ตอนนี้เย่เทียนเฉินและผู้หญิงหน้าตางดงามที่มาเยือนอย่างกะทันหันคนนั้นเดินไปนั่งในศาลาเล็กๆ บริเวณไม่ไกลแล้วเริ่มสนทนากัน ส่วนเรื่องที่ว่าผู้หญิงคนนี้มาเยือนอย่างกะทันหันเพราะเรื่องอะไรหรือมีจุดประสงค์อะไร เย่เทียนเฉินเองก็ไม่รู้

ตอนนี้เอง ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลเย่ หลัวเยี่ยนขมวดคิ้ว ส่วนเย่เชี่ยนเหวินก็มองไปยังแม่ของตนอย่างสงสัยแล้วถามขึ้น “แม่คะ คนคนนั้นเป็นใคร? มาหาพี่ดึกๆ ทำไมกัน?”

ที่เย่เชี่ยนเหวินพูดว่าดึกนั้นไม่ได้หมายความถึงเวลาดึก แต่ผู้หญิงหน้าตาสวยงามคนหนึ่งมาหาพี่ชายของตนถึงบ้านหลังฟ้ามืดแบบนี้ ทำให้รู้สึกแปลกๆ จริงๆ

“เชี่ยนเหวิน แม่อยากให้พี่ชายของลูกแต่งงานเร็วๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่เขาทำตัวเรื่อยเปื่อยไปวันๆ แม่ก็อยากให้เขาแต่งงานเร็วๆ เพราะคิดว่าถ้ามีคนดูแลเขาอาจจะทำให้เขามีความรับผิดชอบขึ้น ตอนนี้แม่อยากให้พี่ชายของลูกแต่งงานเร็วๆ ก็เพราะไม่อยากให้เขาทำให้ผู้หญิงคนอื่นเสียใจ เหมือนกับฉีหรูเสวี่ย หลิงอวี่สวิน สองคนนี้นิสัยไม่เลวเลย ไม่ว่าพวกเธอคนไหนที่มาเป็นลูกสะใภ้ของแม่ แม่ก็จะดีใจมาก แต่คนเดียวที่แม่จะไม่ยอมรับโดยเด็ดขาดก็คือคนที่มาหาพี่ชายของลูก!” หลัวเยี่ยนพูดพลางมองไปที่ลูกสาวของตน

“แม่คะ ผู้หญิงที่มาหาพี่เมื่อกี้ หากจะเทียบอย่างจริงจังแล้วยังสวยกว่าพี่หรูเสวี่ยกับพี่อวี่สวิ๋นอีก…แล้วยังก้นใหญ่มาก เหมาะกับรสนิยมของพี่มากเลย!” เย่เชี่ยนเหวินพูดล้อเล่นออกมาแล้วหัวเราะชั่วร้าย

หลัวเยี่ยนมองลูกสาวแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่เย่เทียนเฉินยังทำตัวเสเพล หลัวเยี่ยนคิดว่าขอแค่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้เรื่องรู้ราวก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ลูกชายรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมา เธอจึงรู้สึกดีใจขึ้นมาก แต่ระยะนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกกระสับกระส่าย เธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก อย่างน้อยก็รู้สึกได้ว่าเย่เทียนเฉินเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ตอนนี้ดูแล้วลูกชายคนนี้ไม่เพียงแต่เข้าใจเรื่องราว แต่ยังกล้าหาญมากอีกด้วย ชอบทำตามหลักการโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใด ใครกล้ามาหาเรื่องก็จะใช้หมัดตอบโต้อย่างรุนแรง

คนเป็นแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกของตนเองมีอนาคตมีความสามารถ กลายเป็นคนมีหน้ามีตาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล? โดยเฉพาะสำหรับตระกูลเย่ที่ในตอนนี้ตกต่ำจนถึงขั้นที่ผู้มีอิทธิพลธรรมดาธรรมดาคนหนึ่งก็สามารถรังแกได้ ต้องมีคนมาทำให้รุ่งโรจน์และรักษาศักดิ์ศรีของตระกูลจริงๆ เพียงแต่หลัวเยี่ยนก็เป็นหญิงที่มาจากตระกูลใหญ่คนหนึ่ง เธอเข้าใจถึงหลักการอย่างหนึ่ง ในเมืองหลวงมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่มากมาย การฟื้นฟูตระกูลหนึ่งๆ จะต้องได้รับความกดดันจากกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ แน่นอน หากต้องการที่จะฟื้นฟูให้รุ่งเรืองขึ้นจริงๆ เป็นเรื่องที่ยากมาก เป็นไปได้มากว่าจะมีจุดจบที่ร่างกายเหลวแหลกเป็นชิ้นหรือถูกฆ่าล้างตระกูล ดังนั้นหลัวเยี่ยนยอมให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกลิ้มรสความสุขของชีวิตไปอย่างสงบสุขชั่วชีวิต ดีกว่าให้เขาพบกับอันตรายใดๆ

“ลูกรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” หลัวเยี่ยนหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามเย่เชี่ยนเหวิน

“ใครเหรอคะ? หนูไม่เคยเจอ!” เย่เชี่ยนเหวินเองก็พูดด้วยความแปลกใจ

“หลิ่วหรูเหมย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“อะไรนะ? เป็นเธอเองเหรอ? เธอ…เธอมาหาพี่ทำไม? คงไม่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อปีนั้นหรอกมั้ง?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวินก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงพี่ชายขึ้นมา จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงที่มาเยือนอย่างกะทันหันจะเป็นหลิ่วหรูเหมย

เรื่องเกี่ยวกับหลิ่วหรูเหมยและพี่ชาย เย่เชี่ยนเหวินย่อมรู้ เพียงแต่ว่าในตอนนั้นเธอกำลังเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งอยู่ และยังเรียนในโรงเรียนประจำ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปบ้านตระกูลหลิ่วด้วย และไม่เคยเห็นหลิ่วหรูเหมยมาก่อน เมื่อปีนั้น เย่เทียนเฉินแอบมองหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ทำให้เกิดคลื่นลมอันรุนแรงไปทั่วทั้งเมือง กลุ่มอำนาจใหญ่ทุกกลุ่มต่างต้องสั่นสะท้าน ไม่เพียงแต่คนตระกูลหลิ่วจะโกรธ กระทั่งเหล่าคุณชายของตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่ตามจีบหลิ่วหรูเหมยก็ยังต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน ต้องการควักลูกตาของเขาออกมา ไม่อนุญาตให้เขาดูหมิ่นนางฟ้าหลิ่วหรูเหมยเด็ดขาด

เพื่อที่จะสงบเรื่องนี้ พ่อแม่ของเย่เชี่ยนเหวินจึงพาเย่เทียนเฉินไปขอโทษถึงตระกูลหลิ่ว แน่นอนว่าต้องได้รับความอัปยศกลับมา แต่จะดีจะร้ายอย่างไรก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเย่เทียนเฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป บางทีอาจเป็นเพราะความอัปยศในครั้งนั้น ที่ต้องเห็นพ่อแม่ขอร้องอ้อนวอนตระกูลหลิ่ว ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินถูกกระทบอย่างรุนแรง ไม่ออกจากบ้านหนึ่งเดือนเต็มๆ พอออกมาก็ลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปเข้าร่วมกับกองทัพ

หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่ก็ไม่มีการไปมาหาสู่กันอีก และตระกูลเย่ที่เดิมทีตกต่ำลงนั้น ก็ไม่มีคุณสมบัติและความสามารถมากพอที่จะเทียบเคียงตระกูลหลิ่วได้ หากกล่าวกันตามหลักเหตุผลแล้วตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่คงไม่อาจมีการติดต่อใดๆ ต่อกันไปตลอดกาล คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหรูเหมยจะมาหาเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ด้วยตัวเอง นี่ทำให้หลัวเยี่ยนแล้วเย่เชี่ยนเหวินรู้สึกสงสัย แน่นอนว่าพวกเธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่เย่เทียนเฉินไปประเทศ M ก็เพื่อทำภารกิจปกป้องคุ้มครองหลิ่วหรูเหมย ดังนั้นทั้งสองคนจึงมีการติดต่อกันมาก่อนแล้ว

“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ ฉันยังต้องกลับบ้านไปกินข้าวอีก!” เย่เทียนเฉินมองหลิ่วหรูเหมย พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

สำหรับหลิ่วหรูเหมยแล้ว หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินเกิดนึกสนุก ต้องการใช้โอกาสนี้ไปเปิดหูเปิดตาผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศ M อีกทั้งยังได้ตอบรับภารกิจจากชางหลางไปแล้ว เย่เทียนเฉินคงไม่มีทางคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยไปแน่ หลังจากที่กลับประเทศมา ระหว่างหลิ่วหรูเหมยและเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีการติดต่อกันอีก ถึงแม้เรื่องเมื่อปีนั้นจะทำให้มีความเข้าใจผิดกัน แต่ทั้งสองก็ไม่สามารถเป็นดั่งเพื่อนสนิทหรือกระทั่งพูดคุยกันได้ หากทำเช่นนั้นก็จะรู้สึกกระอักกระอ่วน

หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “นายคิดว่าฉันอยากมาหานายหรือไง? หลงตัวเองเกินไปแล้ว!”

“ในเมื่อไม่อยากมาหาฉัน ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ลาก่อน!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ หมุนตัวทำท่าจะเดินไป

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะหมุนตัวไป หย่งชุนไท่ก็ขวางหน้าเขาเอาไว้ เย่เทียนเฉินมันให้ความเคารพหย่งชุนไท่มาก คนเพียงคนเดียวต่อให้จะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่อาจไม่เคารพผู้อาวุโส ไม่อาจเย่อหยิ่งอวดดี คนประเภทนั้นจะไม่มีวันแข็งแกร่งขึ้นอย่างแท้จริงโดยเด็ดขาด

“หย่งชุนไท่ ผมไม่อยากลงมือกับคุณ แต่คุณก็อย่ามาบีบบังคับผม!” เย่เทียนเฉินมองอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“บางทีถ้าลงมือขึ้นมาจริงๆ ฉันคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มอย่างเธอหรอก แต่ว่าครั้งนี้พวกเราต้องการเป็นพันธมิตรกับเธอ หรือจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือต้องการที่จะร่วมมือกัน มีผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย…” หย่งชุนไท่เองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ร่วมมือกัน? ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม

“ถูกแล้ว เรื่องเมื่อปีนั้นที่นายแอบมองฉันอาบน้ำ มีลับลมคมในอยู่มากจริงๆ ด้วยความสามารถที่เหมือนแมวสามขาของนายเมื่อตอนนั้น ต่อให้มีนายอีกสิบคนก็ไม่สามารถเข้าไปห้องอาบน้ำของฉันได้ ดังนั้นจะต้องมีคนวางแผนใส่ร้ายนายแน่นอน ในขณะเดียวกันก็ต้องการทำลายชื่อเสียงของฉันด้วย หรือนายไม่คิดอยากจะดึงคนคนนี้ออกมา?” หลิ่วหรูเหมยเดินไปด้านหน้า ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปที่เย่เทียนเฉินแล้วถามออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วหรูเหมย เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป เขาต้องการที่จะตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นใครแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อปีนั้นเป็นใครกันแน่ที่คิดวางแผนใส่ร้ายตน ต้องการที่จะทำให้เขาตาย เพียงแต่หลังจากที่กลับมาจากประเทศ M ก็เกิดเรื่องราวขึ้นไม่หยุดหย่อน จนไม่มีเวลาไปตรวจสอบ จึงได้ยืดเยื้อมาถึงตอนนี้

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลิ่วหรูเหมยจึงคิดจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนนั้น เย่เทียนเฉินก็สามารถคาดเดาได้บ้าง นอกจากต้องการที่จะทำให้ตนเองที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งมีชื่อเสียงขาวสะอาดแล้ว ก็เป็นเพราะหลายปีมานี้ ตระกูลหลิ่วยิ่งใหญ่จนรัฐให้ความสำคัญ กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อื่นๆ ต่างก็จ้องจะตะครุบดั่งพญาเสือ ตระกูลหลิ่วเองก็ต้องการที่จะแสดงอํานาจ

“ลองพูดมาสิ พวกเธอตรวจสอบพบเบาะแสอะไรบ้างแล้ว?” เย่เทียนเฉินหยิบบุหรี่ออกมามวนนึง จุดบุหรี่ขึ้นสูบแล้วถามออกมา

“ไม่ขอปิดบังนาย ที่ฉันต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดและจับตัวผู้ร้ายหลังม่านออกมา สาเหตุสำคัญเพราะว่าหลายปีมานี้ฉันรู้สึกได้ว่า คนที่อยู่หลังม่านต้องการที่จะจัดการกับตระกูลหลิ่วของฉันมาโดยตลอด ส่วนเรื่องที่ตระกูลเย่ของนายก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ คนในตระกูลก็ไม่อาจทำผลงานออกมาได้เลยแม้แต่น้อยก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้…” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ความหมายของเธอก็คือ คนที่อยู่หลังม่านต้องการจัดการกับตระกูลเย่และตระกูลหลิวของพวกเราไปพร้อมๆ กัน ต้องการดึงตระกูลของพวกเราไปสู่ความตายงั้นหรือ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

“ถูกต้อง!”

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว รู้สึกคำพูดของหลิ่วหรูเหมยมีเหตุผล ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจ บุคคลหลังม่านผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ที่ไม่ธรรมดาก็นั้นไม่ใช้เพราะเขาต้องการจัดการกับตะกูลหลิ่วและตะกูลเย่ แต่เป็นเพราะเรื่องที่เขาควบคุมและจัดการทุกอย่างอยู่ในเงามืดมาตลอดหลายปี จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ ดูแล้วบุคคลหลังม่านคนนี้ร้ายกาจมาก ด้วยอำนาจของตระกูลหลิ่วในตอนนี้ก็ยังหาไม่พบ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ

“ว่าต่อไป…” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงสูบบุหรี่เข้าไปครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น

“ไป๋อู่ หากต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนจำเป็นต้องเริ่มจากไป๋อู่ แต่ถ้าคนอื่นๆ ของพวกเราเข้าใกล้ไป๋อู่ เขาจะต้องระมัดระวังตัวแน่ นายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะก่อนหน้านี้นายก็เป็นคุณชายเสเพล เชื่อว่าหากจะเข้าไปตีสนิทกับเขาอีกครั้งก็คงไม่มีปัญหา!” มุมปากของหลิ่วหรูเหมยปรากฏรอยยิ้ม มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไป๋อู่เป็นเบาะแสก็จริง แต่ฉันไม่ได้ไปคลุกคลีกับวงสังคมพวกนั้นนั้นมาหลายปีแล้ว ถึงแม้จะยังมีตำนานของฉันอยู่ก็ไม่แน่ว่าจะใช้การได้!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยท่าทางขึงขัง

ในตอนนี้หลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่มีความรู้สึกอยากจะอัดเย่เทียนเฉินสักยก เจ้าหมอนี่บางครั้งก็ทำเป็นเล่นมากเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่พูดว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ก็ยังทำนิสัยเหลวไหลออกมาอีก ช่างทำให้อับจนคำพูดจริงๆ

“พูดแบบนี้แสดงว่านายตกลงแล้วใช่ไหม? พวกเราจะร่วมมือกันหาคนที่อยู่หลังม่านนั้นออกมา จะไม่ให้เขาสร้างปัญหาให้กับตระกูลเย่และหลิ่วของพวกเราอีก!” หลิ่วหรูเหมยเอ่ยถามพลางมองไปยังเย่เทียนเฉิน

“อืม ถ้าว่างฉันจะไปเทียนซ่างเหรินเจียนสักครั้ง ส่วนเรื่องที่พวกเธอต้องทำ ฉันคิดว่าในตอนที่ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็อย่าได้ติดต่อกันอีก หากเป็นเหมือนที่เธอพูดจริงๆ ที่ว่าหลายปีมานี้คนหลังม่านยังสนใจที่จะควบคุมเรื่องอะไรพวกนั้นอยู่ ฉันเชื่อว่าตอนนี้พวกเราคงถูกเขาจับตามองอยู่แน่นอน!” ในระหว่างที่เย่เทียนเฉินพูด พลังพิเศษแห่งการรับรู้พลันแผ่ขยายออกไปในชั่วพริบตา หากว่าพบคนน่าสงสัย เขาจะต้องลงมือฆ่าอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

………………………….