หลงฉางรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก อย่างคาถาเสวียนซิน เพียงแค่ฝึกฝนถึงขั้นสิบก็สามารถบรรลุเป็นเทพได้ หากนับจำนวนขั้นที่อวิ๋นเจี่ยวฝึกฝนไม่ผิด นางควรจะบรรลุแล้วถึงจะถูก แต่ตอนนี้นางกลับเป็นเพียงคนธรรมดา
เขาจ้องมองนางอย่างละเอียดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ายังไม่มีกระดูกเทพ?”
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะพยักหน้า “เหมือนจะไม่มี?” ร่างกายของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น
“เป็นไปได้อย่างไร!” สายตาที่หลงฉางมองนางยิ่งแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น “ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่ฝึกฝนคาถาเสวียนซินถึงขั้นเก้าจะก่อกำเนิดกระดูกเทพ หลุดพ้นจากร่างมนุษย์” เจ้าฝึกถึงขั้นสิบจริงหรือ
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด นางก็เคยสงสัยการฝึกฝนของตนเองเช่นเดียวกัน ตั้งแต่มีเส้นชีพจรเสวียน คาถาที่อาจารย์ปู่ถ่ายทอดมานั้นนางล้วนเคยฝึกฝน ระหว่างนั้นสิ้นเปลืองเวลาไปบ้าง นางสามารถสัมผัสได้ว่าพลังของตนมีการพัฒนา อีกทั้งยังมีความรู้สึกคล้ายจะบรรลุเป้าหมายในทุกๆ หลายเดือน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางไม่เคยรู้สึกได้ถึงร่างเทพกระดูกเทพอย่างที่กล่าวแม้แต่น้อย ร่างกายของนางราวกับถูกหยุดไว้อย่างนั้น รักษาสภาพเดิมมาตั้งแต่ต้น ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดมาก่อน ไม่รู้สึกว่ามีอะไร อีกทั้งเสวียนเหมินมีเรื่องวุ่นวายมากมาย นางจึงไม่เคยใส่ใจมาก่อน
ตอนนี้นางกลับมาย้อนคิด พบว่ามีบางสิ่งผิดปกติจริงๆ ดังนั้นนางจึงหันหน้าไปถามเยี่ยยวน “อาจารย์ปู่เป็นเพราะเส้นชีพจรเสวียนหรือ” หากจะบอกว่าในร่างกายนางมีสิ่งผิดปกติ ก็คงจะมีเพียงเส้นชีพจรเสวียน
เส้นชีพจรเสวียนภายในร่างกายของนางต้องการกักเก็บพลังจำนวนไม่น้อย นางมีโอกาสน้อยมากที่จะเติมเต็มได้ ส่วนร่างเทพกระดูกเทพต้องการพลังลมปราณมาฝึกฝน หากเป็นเพราะสาเหตุนี้ นางบรรลุไม่สำเร็จก็เป็นไปได้
เยี่ยยวนชะงักมือ ก่อนจะหันมามองนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “เจ้าอยากบรรลุเป็นเทพไปอยู่โลกสวรรค์หรือ”
“ฮะ!?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงถามขึ้น แต่นางก็ลองครุ่นคิดดูอย่างตั้งใจ จากนั้นขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อืม…ไม่ได้อยาก ตอนนี้โลกมนุษย์ก็ดีอยู่แล้ว ข้าไม่มีความคิดอยากเปลี่ยนที่” การศึกษาของเสวียนเหมินเพิ่งจะเผยแพร่ไปทั่ว นางยังคิดจะสานต่อธุรกิจ อีกทั้งโลกสวรรค์มีแต่ความวุ่นวาย
แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่อยากหรือไม่ แต่เมื่อฝึกฝนถึงที่แล้วจะบรรลุเองโดยอัตโนมัติไม่ใช่หรือ
เยี่ยยวนผ่อนคลายลง ก่อนจะยื่นขนมให้นางหนึ่งชิ้น “ยังไม่ถึงเวลา”
“…” เวลา? หมายความว่าอย่างไร
อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะเอ่ยปากถาม หลงฉางที่อยู่ด้านข้างกลับตะโกนแทรกขึ้นมา “อาจารย์พูดถูก ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่!”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ชายแก่ “…”
( ̄_ ̄)
อาจารย์ปู่พูดอะไร ถูกอะไร?!
คำพูดหลอกคนอย่าง ‘ยังไม่ถึงเวลา’ กับ ‘ข้าไร้วาสนาต่อสิ่งนี้’ มีความแตกต่างกันตรงไหน
ท่านต้องเป็นคนที่ชื่นชอบอาจารย์ปู่อย่างไร้สมองแน่?! ต้องใช่แน่!
…
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้อยู่ในยมโลกต่อ หลังจากที่อธิบายเรื่องของลั่วคายหยวนแล้ว พวกนางทั้งสามคนก็ออกเดินทางกลับชิงหยาง อาจารย์อาใหญ่ไม่ได้บังคับทั้งสองคนอยู่ฝึกฝนต่อในเมืองหมิ่นเฟิน ส่วนสำคัญเป็นเพราะวิชาที่เขาต้องการให้ทั้งสองคนฝึกฝนนั้น อวิ๋นเจี่ยวล้วนฝึกแล้ว อีกทั้งยังเดินนำหน้าตำราไปอีก นอกจากนี้ยังมีบางอย่างที่หลงฉางเองก็ไม่เข้าใจ อวิ๋นเจี่ยวถึงขั้นต้องมอบตำราให้เขาหลายเล่ม
ส่วนชายแก่ถึงจะมีพลังไม่มาก ยังรอคอยการฝึกฝน แต่ในฐานะที่เป็นผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำขั้นรุนแรง หลงฉางไม่อาจยอมรับให้ชายแก่อยู่คนเดียวได้ จึงละทิ้งความคิดที่จะให้พวกนางอยู่ต่อ
หลังจากชื่นชมยกยออาจารย์ปู่จนเสร็จสิ้นแล้ว หลงฉางถึงได้ส่งพวกเขาออกจากเมืองไปทั้งน้ำตา ท่าทางที่อาลัยอาวรณ์มีเพียงหานซูที่ทำหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ด้านข้างจึงจะสามารถเทียบเทียมได้
วันที่สองตอนกลางวันทั้งสามคนถึงจะกลับถึงชิงหยาง เดิมทีอวิ๋นเจี่ยวคิดจะพักผ่อนเสียหน่อย ค่อยเดินทางไปรายงานเจ้าสำนักสวีเรื่องเขตหมิ่นเฟิน
ไม่คิดว่าพอกลับมาจะพบกับถังเฉินที่รออยู่หน้าตำหนัก เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรอคอยมาหลายค่ำคืน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา อีกฝ่ายบุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์อวิ๋น พวกท่านกลับมาแล้ว” เขาสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องของ…”
อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “ไม่มีอะไร พวกข้าอธิบายกับเจ้าเมืองหมิ่นเฟินแล้ว ท่านบอกว่าจะไม่เอาเรื่องเสวียนเหมิน แต่ผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังจำเป็นต้องสืบให้กระจ่าง”
ถังเฉินโล่งอก อธิบายกระจ่างแล้วก็ดี ทั้งสองโลกไม่อาจเป็นศัตรูกันได้ เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เขาต้องร้อนใจที่สุดเป็นธรรมดา นอกจากนี้เขายังวางแผนไว้ หากยมโลกไม่เชื่อ อย่างมากเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง
“ถังเฉิน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ชายแก่ถาม ตามหลักแล้ว หากพวกเขาไม่อยู่ชิงหยาง นอกจากเจ้าสำนักสวีของสำนักเทียนซือแล้ว ไม่มีใครสามาถเชื่อมข่ายพลังขนส่งได้
“อ่อ เจ้าสำนักสวีให้ข้ามา” ถังเฉินราวกับเพิ่งนึกเรื่องนี้ได้ เขารีบพูดขึ้น “มีคนมาจากโลกสวรรค์ เจ้าสำนักสวีให้ข้ามาเชิญอาจารย์อวิ๋นไป”
“โลกสวรรค์?!” ทั้งสองคนต่างตกตะลึง อวิ๋นเจี่ยวถาม “คนจากสวรรค์ไหน”
“เหมือน…ไม่ใช่!” ถังเฉินส่ายหัว “เขามาถึงตอนเช้าตรู่ ข้าเองก็ไม่รู้เหตุการณ์ เพียงแต่อีกฝ่ายราวกับไม่ได้เป็นศัตรู เพียงแค่ตามหาอาจารย์อวิ๋น ตอนนี้เขารอมาสามสี่ชั่วยามแล้ว ท่านตามข้าไปดูเถอะ”
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองอาจารย์ปู่ที่รอป้อนอาหารอยู่ จากนั้นนางจึงพูดขึ้น “หากเป็นเช่นนี้ รอพวกข้ากินอาหารกลางวันเสร็จค่อยไปแล้วกัน” รอมาทั้งเช้าแล้ว รออีกหน่อยคงจะไม่เป็นอะไร
ถังเฉิน “…” อาจารย์เอาแต่ใจเช่นนี้ได้หรือ
ในขณะที่เขากำลังจะโน้มน้าว อวิ๋นเจี่ยวกลับดึงคนข้างตัวเดินไปทางห้องครัว “อาจารย์ปู่ มาช่วยข้า”
“ข้าไปหยิบชาม!” ส่วนชายแก่เดินไปทางห้องโถงด้านข้างด้วยความเคยชิน เขาเหลือบมองถังเฉินทีหนึ่ง ก่อนจะถาม “จริงสิ ศิษย์หลานถังกินข้าวแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกข้าจะไม่เรียกเจ้า เจ้านั่งดื่มชารอไปก่อน พวกเราเป็นคนคุ้นเคย ถือเสียว่าเป็นบ้านตัวเอง ไม่ต้องเกรงใจ!” พูดจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ถังเฉิน “…” เขาไม่เคยพูดว่ากินแล้วนะ
(⊙_⊙)?
…
ถังเฉินรออยู่ด้านนอกห้องอาหารพร้อมกับได้กลิ่นหอมของอาหารเป็นระยะกว่าครึ่งชั่วยาม อวิ๋นเจี่ยวถึงจะมีท่าทีเคลื่อนไหว ก่อนจากไปนางเตรียมขนมให้กับอาจารย์ปู่ที่กำลังดื่มน้ำแกงอยู่ พร้อมกับกำชับอะไรบางอย่าง ก่อนจะเดินมาหาเขา
“ไปเถอะ”
ถังเฉินเดินตามขึ้นไป เขาหันกลับไปมองเยี่ยยวนที่กำลังกินขนมหวาน จากนั้นมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านหน้า ทันใดนั้นเขาเผยสีหน้าแปลกประหลาด
จนกระทั่งออกจากห้องครัวตำหนักหลังมาถึงข่ายพลังขนส่ง เขาจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “อาจารย์อวิ๋น ชายบนโต๊ะกินข้าวผู้นั้น…คืออาจารย์ปู่ของท่าน?” เขานึกย้อนไปถึงเมื่อหลายวันก่อน อาจารย์อวิ๋นดึงชายคนนั้น…
“ใช่!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
“เช่นนั้นท่าน…กับเขา? ใช่…ใช่…” สีหน้าของเขาแดงก่ำ พูดประโยคด้านหลังไม่ออก
“เป็นคู่กัน?” อวิ๋นเจี่ยวพูดแทนเขา จากนั้นนางพยักหน้ารับอย่างไม่มีท่าทีปิดบัง “ใช่ พวกเราเป็นคู่กัน”
“อะไรนะ!” ถังเฉินตกตะลึง ตาของเขาเบิกกว้าง สีหน้าเหลือเชื่ออย่างมาก ก่อนจะโพล่งออกมา “เช่นนั้นเจ้าสำนักสวีทำอย่างไร?!”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
อะไรกัน
( ̄△ ̄;)