“เจ้ารู้หรือไม่ ไม่ว่าเจ้ามีหน้าตาดีมากเพียงใดหรือพรสวรรค์ความสามารถสูงส่งแค่ไหน ก็มีวันที่ผู้นำกองธงเบื่อหน่ายเข้าสักวัน ตอนนี้คาดว่าผู้นำกองธงก็ได้เบื่อหน่ายเจ้าแล้ว”

“คืนนี้ผู้นำกองธงจะโปรดปรานเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เขาตัดสินใจจะส่งเจ้าไปให้กับผู้นำกองธงเสาเย่า เจ้าก็รู้ว่าความชอบของผู้นำกองธงเสาเย่าก็เหมือนกับเขา หรือจะพูดได้ว่า ความชอบและรสนิยมของผู้นำกองธงสาวเย่านั้นมีความรุนแรงและเหี้ยมโหดกว่า ขอเพียงแค่เป็นคนที่เขาเคยรักและโปรดปราน ทุกคนล้วนถูกถลกหนังออกมาและแขวนเล่นเอาไว้ที่ผนัง”

เยี่ยเฟิงหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง ไร้เรี่ยวแรง เจ็บปวด ความสิ้นหวังได้เข้าปกคลุมเรือนร่างของเขาไว้ทั้งหมด

ตัวเขาเองนั้นมีรูปร่างหน้าตาดีมาก แต่ตอนนี้แววตาที่ดูไร้สิ้นความหวัง ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต่างอดทุกข์ใจไม่ได้ มีเพียงเจียวซวี่เท่านั้นที่หัวเราะออกมา จึงทำให้เขายิ่งหมดสิ้นซึ่งความหวัง

กู้ชูหน่วนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็เต็มไปด้วยความโกรธ

นางไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุผลการตายของพ่อแม่เขา แต่จากนิสัยของเยี่ยเฟิงแล้ว เยี่ยเฟิงไม่มีทางทำร้ายคนอื่นโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน นอกเสียจากพ่อแม่ของเขาจะเป็นคนบาปที่ชั่วร้าย

เจียงซวี่เดินเข้ามาใกล้เยี่ยเฟิงและกระซิบที่ข้างหูของเขา

“รอให้เจ้าถูกส่งไปยังผู้นำกองธงสาวเย่า เจ้าลองทายดู ชีวิตของยายแก่คนนั้นจะเป็นอย่างไร?”

ทันใดนั้นดวงตาของเยี่ยเฟืงก็เบิกกว้างและพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้าต้องการจะทำอะไรน่ะ?”

เขาแทบไม่มีสติ แต่เขากัดริมฝีปากฝืนทนเอาไว้เพื่อให้ตัวเองยังพอมีสติ

“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ”

“นางก็เป็นแค่คนแก่คนหนึ่งที่น่าสงสาร นางไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเจ้าเลยด้วยซ้ำ ทำไมเจ้ายังคิดหาเรื่องทำร้ายนางด้วย”

“เพราะนางเป็นคนที่เจ้าให้ความสำคัญยังไงล่ะ ขอเพียงแค่เป็นคนที่เจ้าให้ความสำคัญ ข้าจะไม่มีทางปล่อยไปได้ ไม่เพียงแค่ยายแก่หนังเหี่ยวคนนั้น ยังมีกู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียน ข้าจะไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน”

เยี่ยเฟิงจ้องเขม็งไปที่เจียงซวี่ด้วยความโกรธ แต่นอกจากนี้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย

“วางใจได้ หลังจากเจ้าตายไป ข้าจะให้ยายแก่นั่นตายตามเจ้าไป เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้นางตายดีหรอก อย่างน้อยก็ให้นางได้เสวยสุขกับความหรรษาบนโลกมนุษย์ก่อนสักสองสามวัน”

เจียงซวี่เน้นย้ำไปที่คำว่าเสวยสุข ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าความหมายแฝงในคำพูดของเขานั้นหมายความว่าอย่างไร

กู้ชูหน่วนยกเท้าขึ้นมาข้างหนึ่งและเตะไปที่เจียงซวี่อย่างแรงโดยไม่รอให้เยี่ยเฟิงตอบกลับ

นางยืนอยู่ข้างหลังของเจียงซวี่ แต่เมื่อจู่ๆ ก็เกิดการต่อต้านขึ้น ถึงแม้ว่าฝีมือการต่อสู้ของเจียงซวี่จะเก่งกาจกว่ากู้ชูหน่วนอยู่มาก ก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทัน จึงถูกเตะออกไปอย่างแรงและตีลังกาม้วนตลบขาชี้ฟ้า

ในขณะเดียวกัน อี้เฉินเฟยก็ลงมืออย่างรวดเร็วโดยการกดจุดลงไปที่จุดฝังเข็มหรือจุดเลือดลมบนร่างกายของผู้ถือธงคนอื่น เพื่อไม่ให้พวกเขาขยับและพูดออกมาได้

“ใครกล้าเตะข้า”

“แกร่ก……”

ทันที่เจียงซวี่พูดจบ เขาก็ถูกอี้เฉินเฟยบีบคอเอาไว้ โดยไม่ให้เขาหายใจหรือส่งเสียงออกมาได้

“เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ……”

กู้ชูหน่วนตบใบหน้าของเขาอย่างต่อเนื่อง ซ้ายขวาๆ โดยไม่ยั้งมือ

“เจ้าหมอนี่ เจ้ามีความสามารถนักนะ แม้แต่คนของข้าเจ้าก็กล้าที่จะลงมือ”

เจียงซวี่ถูกตบจนมีเสียงดังก้องออกมาจากหู

เขามองไปที่กู้ชูหน่วนและอี้เฉินเฟยด้วยความตกใจ ทำอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าสองคนนี้จะแอบเข้ามาในพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่นอย่างเผ่าปีศาจที่มีผู้มีศิลปะการต่อสู้ที่สูงส่ง แถมยังมาอยู่ตรงหน้าของเขา

“เพี๊ยะ……”

กู้ชูหน่วนตบหน้าเขาอีกครั้งหนึ่งและกระซิบเบาๆ “มองอะไร หากยังมองอีกเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะควักดวงตาของเจ้าออกมา”

เจียงซวี่อยากจะตะโกนด่าออกมา แต่เมื่ออี้เฉินเฟยออกแรงที่มือ เขาเจ็บปวดจนพูดไม่ออก

แต่ในทางกลับกัน อี้เฉินเฟยกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย “แม่สาวน้อย ไม่คุ้มเลยที่เจ้าจะเป็นคนลงมือจัดการกับเขา หากอยากสั่งสอนเขา ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”

“ก็ได้ เขาทำให้เยี่ยเฟิงเจ็บปวดมากเช่นนั้น เจ้าคิดว่าเราควรจะจัดการอย่างไรให้สาสม?”

“เช่นนั้นแล้ว หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”

กู้ชูหน่วนดูเหมือนจะเข้าใจ

แต่เจียงซวี่กลับไม่เข้าใจเลยสักนิด

อี้เฉินเฟยกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม “พอดีเลย ข้าก็พอรู้วิธีการปลอมตัวอยู่บ้าง คืนนี้ยามจื่อต้องส่งเยี่ยเฟิงไปที่ผู้นำกองธงกล้วยไม้ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเรามาทำการเปลี่ยนตัวเป็นอย่างไรบ้าง?”