รถม้าเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว อาจเพราะเคลื่อนผ่านสถานที่ที่มีหลุมบ่อ จึงทำให้โยกโคลงเคลงอย่างรุนแรง คนโยกไปตามรถม้าด้วย
เซี่ยยวี่หลัวตัวโยกทีหนึ่ง หน้าผากกำลังจะชนกับขอบหน้าต่างแล้ว แต่นางกลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เซียวยวี่ตาไวมือเร็วรีบวางมือไว้ตรงหน้าผากเซี่ยยวี่หลัว หน้าผากของนางชนเข้ากับฝ่ามือของเซียวยวี่ ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
เมื่อคืนเซี่ยยวี่หลัวไม่ได้นอนดีๆ ตอนนี้จึงง่วงนอนมาก ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองเกือบชนจนหัวแตก
เซียวยวี่เห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวไม่ตื่น จึงวางมือไว้ตรงขอบหน้าต่างรถต่อ หน้าผากของเซี่ยยวี่หลัวค้ำอยู่บนฝ่ามือของเขา ปอยผมสองข้างลู่ลง ปัดไปมาบนมือของเขา ทั้งรู้สึกคันและรู้สึกชา
มองดูเซี่ยยวี่หลัวที่กำลังหลับสนิท อาจเพราะนางฝันถึงเรื่องดีงามบางอย่าง แม้แต่ยามนอนหลับ มุมปากของนางก็ยังตวัดขึ้นเล็กน้อย เซียวยวี่ไม่อยากปลุกนางตื่น และไม่อยากทำให้นางตื่น คิดครู่หนึ่ง เขาพยุงเซี่ยยวี่หลัวให้นอนลงช้าๆ ให้ศีรษะของนางพิงอยู่บนตักของเขา
เช่นนี้ต่อให้รถม้าโยกโคลงเคลงเพียงใด ก็ไม่ทำให้นางเจ็บ
อาจเพราะเปลี่ยนอิริยาบถ เซี่ยยวี่หลัวจึงนอนหลับสบายยิ่งขึ้น
เซียวยวี่ก็ผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก หันมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ พร้อมกับหันมองคนที่กำลังนอนหลับสนิทเป็นครั้งคราว เขาเหยียดขาตรง แม้แต่ร่างกายก็เกร็งจนเหมือนสายพิณที่ขึงจนตึง เตรียมพร้อมอยู่ทุกเมื่อ
เซียวยวี่จ้องมองตาของเซี่ยยวี่หลัวที่ปิดสนิท ก่อนจะหันมองออกไปด้านนอกเป็นระยะ เกรงว่านางอาจตื่นได้ทุกเมื่อ เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หากเซี่ยยวี่หลัวตื่นขึ้นมาตอนนี้ จะอธิบายท่านอนของนางในตอนนี้เช่นไร?
เซี่ยยวี่หลัวหลับสบายมากว่าครึ่งทาง เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็เพิ่งพบว่ารถม้าหยุดแล้ว ท้องฟ้าภายนอกมีแสงสลัว ทั้งยังมีเสียงพูดคุยที่ฟังคุ้นหู
เป็นเสียงของกวั่นซื่อและหลี่ซื่อ น่าจะถึงในตัวเมืองแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวนอนอิ่มแล้ว หาวทีหนึ่ง จากนั้นจึงเหยียดกายบิดขี้เกียจ บิดคอครู่หนึ่ง ตอนหันหน้ามองไปตามทิศของแสงสว่าง ก็เห็นหน้าต่างรถม้าพอดี
นางมองดูหน้าต่างรถม้า ก่อนดูตำแหน่งของตัวเอง
เสี้ยววินาทีต่อมา เซี่ยยวี่หลัวลุกพรวดขึ้นนั่ง
หากนางจำไม่ผิด เมื่อครู่นี้นางล้มตัวลงนอนใช่หรือไม่? แต่ก่อนหน้านั้น นางนอนพิงอยู่ตรงขอบหน้าต่างรถม้าไม่ใช่หรือ? มานอนอยู่กลางรถม้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?
นอกจากนั้น ยังนอนอยู่ภายในตัวรถม้าด้วย
รถม้าคันนี้เรียบง่ายมาก มีแต่ไม้แข็งกระด้างทุกที่ นางนอนมาตลอดทาง ตามหลักแล้ว ทั้งคอทั้งศีรษะ น่าจะกระแทกจนเจ็บ เหตุใดนางถึงไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย! นอกจากนั้น นางล้มตัวลงนอนอยู่ในรถม้าตั้งแต่เมื่อไรกัน
รถม้าโยกโคลงเคลงจนนางล้มลงนอน หรือนางนอนลงไปเอง?
แต่หากเป็นเพราะรถม้าโยกโคลงเคลง เหตุใดบนกายนางถึงไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย หากนางนอนลงไปเอง เหตุใดถึงจำไม่ได้สักนิดเล่า?
เซี่ยยวี่หลัวตบศีรษะตัวเองเบาๆ รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก “เซี่ยยวี่หลัวนะเซี่ยยวี่หลัว เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน! เจ้านอนลงตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เจ้านอนหลับนิ่งมากไม่ใช่หรือ เหตุใดนั่งอยู่ดีๆ ถึงกลายเป็นนอนลงได้เล่า? เจ้ายังนอนอยู่กลางรถม้าด้วย เช่นนี้ก็เบียดท่านราชบัณฑิตน้อยจนโมโหแย่น่ะสิ!
เวลานี้เอง เซียวยวี่เปิดม่านชะโงกศีรษะเข้ามา ได้ยินประโยคที่เซี่ยยวี่หลัวตำหนิตัวเองพอดี
เซียวยวี่เม้มริมฝีปากแย้มรอยยิ้ม ดวงหน้าเต็มไปด้วยความสุข ตอนเซี่ยยวี่หลัวเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปแล้ว กลับคืนสู่สภาพเรียบสงบดังเดิม “ตื่นแล้วหรือ? ลงมาเถอะ จะเปิดร้านแล้ว”
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบว่า “อ่อๆ” รีบคลานลงจากรถม้าโดยใช้ทั้งมือและเท้า นางเพิ่งลงมายืน หลี่ซื่อก็มาทันที จับมือเซี่ยยวี่หลัวไม่ยอมปล่อย กล่าวด้วยความรู้สึกผิด “ทำให้เจ้าลำบากแล้ว ยวี่หลัว เมื่อคืนไม่ได้นอนดีๆ ใช่หรือไม่? ”
เซี่ยยวี่หลัวอธิบาย “ไม่ใช่เจ้าค่ะ นอนหลับดี เพียงแต่อยู่บนรถม้าไม่มีอะไรทำ จึงนอนสักงีบหนึ่ง”
หลี่ซื่อมองเซียวยวี่แวบหนึ่ง ก่อนตบหลังมือเซี่ยยวี่หลัวเบาๆ ยิ้มพร้อมกล่าว “เซียวยวี่ของเจ้าช่างรักเจ้าเสียจริง พอลงรถม้าก็ถามพวกเราว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะเปิดร้าน พวกเราบอกว่าต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่ง เขาก็บอกว่าให้เจ้านอนอีกหน่อย จะเปิดร้านแล้วจึงมาปลุกเจ้า”
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกตกใจเล็กน้อย “เขากล่าวเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ? ” ไม่ได้รังเกียจที่นางไม่นอนดีๆ กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งคันรถ?
หลี่ซื่อแสดงสีหน้าราวกับจะพูดว่าข้าจะโกหกเจ้าได้อย่างไร “จะโกหกเจ้าไปทำไม? ข้าได้ยิน พ่อแม่สามีข้าก็ได้ยิน หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าลองไปถามพวกท่านดู”
เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะเบา ไม่ได้กล่าวอะไร
นางจะไม่เชื่อหลี่ซื่อได้อย่างไร นางแค่ไม่เชื่อเซียวยวี่ก็เท่านั้น
นางชำเลืองมองไปทางเซียวยวี่ เซียวยวี่กำลังคุยอะไรบางอย่างกับเซียวจิ้งยี่อยู่ เซียวจิ้งยี่ฟังแล้วก็แสดงสีหน้าชื่นชม พยักหน้าไม่หยุด
เซี่ยยวี่หลัวมองจนเคลิ้ม
มังกรทะยานจากท้องนภา คล้อยตามเมฆาสู่เหวลึก มังกรเร้นกายในเหวลึก เคลื่อนตามเมฆาสู่ท้องนภา มังกรจากพงไพรทะยานสู่ธารสวรรค์ ชื่อเสียงขจรไปทั่วหล้า
คงเป็นคำบรรยายบุคคลประเภทเซียวยวี่กระมัง
หลี่ซื่อมองดูเซี่ยยวี่หลัว ก่อนหันมองเซียวยวี่ที่อยู่ไม่ห่างนัก แย้มรอยยิ้ม เข้าใจได้โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไร
สามีภรรยาคู่นี้ ช่างมีความสัมพันธ์ที่ดีเสียจริง ไปไหนมาไหนด้วยกัน ห่างกันครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้!
ที่สำคัญคือสองสามีภรรยารักใคร่ช่วยเหลือซึ่งกัน เจ้ารักข้า ข้าก็รักเจ้า ความสัมพันธ์เช่นนี้ถึงจะยั่งยืน!
หลี่ซื่อรู้สึกอิจฉายิ่งนัก เมื่อสายตาหันมองไปที่สามีตนเอง ก็แฝงเร้นด้วยความรักหวานซึ้งเช่นกัน
ถึงฤกษ์งามยามดี หลังจากเสียงประทัด “ปังปัง” ดังอยู่ระลอกหนึ่ง ร้านอาหารเช้าก็เปิดกิจการแล้ว
ก่อนจะเปิดร้าน ทุกคนต่างแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อย
ทำซาลาเปาไว้แต่เช้า ตอนนี้นึ่งเสร็จแล้ว ทำซาลาเปาไว้สองเข่ง ตอนนี้เหลือเพียงทอดโหยวเถียวเท่านั้น
หลี่ซื่อรับผิดชอบทอดโหยวเถียว เซียวเหลียนรับผิดชอบนวดแป้งทำโหยวเถียว เซียวจิ้งยี่รับผิดชอบเก็บเงิน กวั่นซื่อช่วยเก็บโต๊ะ ถึงเวลาแม้แต่เซียวฉงเหวินและเซียวฉงหวู่ก็ต้องช่วยยกของและเช็ดโต๊ะ
เห็นครอบครัวนี้อยู่กันพร้อมหน้า ตั้งแต่คนวัยชราถึงเด็กเล็กต่างก็ขยันขันแข็ง เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกอิจฉายิ่งนัก
ยังไม่มีลูกค้ามา เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวก็จะไปช่วย แต่ไม่ว่าอย่างไรกวั่นซื่อก็ไม่ยอม ดันเซี่ยยวี่หลัวและเซียวยวี่ไปนั่งลงตรงโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างห่าง “พวกเจ้านั่งตรงนี้ ที่นี่เงียบสงบ คนเดินผ่านไปมาก็จะไม่วุ่นวายมากนัก”
“ท่านป้า ให้ข้าไปช่วยเถอะเจ้าค่ะ” เซี่ยยวี่หลัวพยายามดิ้นรนลุกขึ้นไปช่วย
“ให้เจ้าช่วยอะไรกัน ที่เรียกพวกเจ้ามาเพื่อให้พวกเจ้ามากิน ไม่ได้ให้พวกเจ้ามาช่วย พวกเจ้านั่งกินตรงนี้แหละ” หลี่ซื่อกดตัวเซี่ยยวี่หลัวให้นั่งลง
เซี่ยยวี่หลัวหมดหนทาง ได้แต่นั่งลงพร้อมเซียวยวี่
ยังไม่มีลูกค้ามา หลี่ซื่อยกโจ๊กสองชาม ซาลาเปาไส้หมูสี่ลูก และโหยวเถียวสี่ตัวมาแล้ว “พวกเจ้ากินก่อน”
เซี่ยยวี่หลัว “ลูกค้ายังไม่มาเลย! ”
“พวกเจ้าเป็นลูกค้ารายแรกของเรา” หลี่ซื่อกล่าวพร้อมยิ้มจนตาหยี หลังจากยิ้มแล้ว หลี่ซื่อจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ยวี่หลัว เจ้าอย่าบ่ายเบี่ยงเลย อาหารมื้อนี้ถือว่าแทนคำขอบคุณจากเรา หากไม่ใช่เพราะเจ้าสอนข้าทำ ข้าจะคิดถึงเรื่องมาเปิดร้านอาหารเช้าได้อย่างไร ดังนั้นร้านนี่เปิดได้ เจ้ามีความดีความชอบกว่ากึ่งหนึ่ง”
เซี่ยยวี่หลัว “ที่สำคัญคือพวกท่านเรียนอะไรก็ทำได้หมด พวกท่านขยันขันแข็ง กิจการต้องรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็ได้ยินคนตะโกนถาม “เถ้าแก่ ที่นี่มีอะไรกินบ้าง? ”
มีลูกค้ามาสี่ถึงห้าคน
หลี่ซื่อยิ้มพร้อมตบมือเซี่ยยวี่หลัวเบาๆ กล่าวด้วยความตื้นตัน “เห็นหรือไม่ เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา เพียงเจ้าปริปากพูด ลูกค้าก็มาแล้ว ข้าไม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว พวกเจ้ากินก่อน ไม่พอก็หยิบเพิ่ม ข้าไปต้อนรับลูกค้าก่อน”
เซี่ยยวี่หลัวมองส่งหลี่ซื่อเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงนั่งลง มองดูอาหารที่วางเต็มตรงหน้า เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกว่ามากเกินกว่าที่นางจะกินให้หมดได้