“ไป๋ตี้ ไอ้บ้า! เจ้ากล้าแกล้งข้า เจ้าทำเป็นแค่ป้องกันแต่ไม่โจมตีตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ!” เฮยหยู่ก่นด่าอย่างโกรธๆ ในขณะที่ไป๋ตี้ยังคงเงียบ
พวกเขามาพบกันในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ต่างคนต่างมองหน้ากัน แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ในขณะที่ไป๋ตี้และเฮยหยู่ยังคงต่อสู้กันอยู่…
ในขณะนี้เสียงที่มีพลังที่ได้ยินตอนก่อนการประลองก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ข้ายินดีมากที่ทุกท่านมาถึงที่นี่ สองท่านตรงนั้น ขอให้หยุดก่อนชั่วคราวนะ”
พอคำพูดนั้นจบลง ความแข็งแกร่งอันทรงพลังที่มองไม่เห็นก็โจมตีไป๋ตี้และเฮยหยู่อย่างไม่เกรงใจและทั้งสองออกจากกัน
“เอาละ ทุกท่านเงียบก่อน” เสียงที่มีพลังพูดอย่างสบายๆ เสียงนั้นดังขึ้นในอากาศโดยไม่เห็นร่างใดๆ “ข้าคิดว่าทุกท่านที่อยู่ที่นี่ล้วนมีจุดมุ่งหมาย และจุดมุ่งหมายนี้ไม่ใช่เพื่อเป็นราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำทัพเข้าร่วมสงครามศักดิ์สิทธิ์ จุดประสงค์ของทุกท่านในที่แห่งนี้ ก็คือยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ไม่มีใครคิดว่าเสียงนี้จะพูดออกมาแบบนั้นเลย
“ข้าพูดไม่ถูกหรือ? แขกทั้งสองจากโลกภูตผีปีศาจ?” ในเวลานี้เสียงที่มีพลังพูดอย่างแผ่วเบา
สีหน้าของเฟิงอี้เซวียนและนายน้อยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เฟิงอี้เซวียนเงียบ นายน้อยรีบวิ่งเข้าใส่อากาศอย่างไม่พอใจและตะโกน “เจ้ามีหลักฐานอะไรที่บอกว่าพวกเราเป็นภูตผีปีศาจ?”
“ถ้าเป็นพวกภูตผีปีศาจที่คิดจะเข้ามาหาเรื่อง พวกเจ้าคิดว่าเราจะยอมให้พวกเจ้าเข้ามาในโลกอสูรปีศาจของเราหรือ? และจะให้พวกเจ้าเข้าร่วมการประลองครั้งนี้หรือ?” น้ำเสียงนั้นฟังดูยิ้มแย้มไปด้วย หัวใจของชีอ้าวชวางบีบแน่นขึ้น นางเข้าใจได้ทันทีว่าตัวตนที่เป็นมนุษย์ของนางก็คงจะไม่ได้ถูกซ่อนไว้หรอก พวกเขาคงจะรู้ตัวตนที่เป็นมนุษย์ของนางอยู่แล้วและเข้าใจว่านางไม่ได้คิดร้ายต่อโลกอสูรปีศาจ ดังนั้นจึงปล่อยให้นางได้เข้าร่วมการประลองนี้ เหล่าพลังที่สูงสุดเหล่านี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยจริงๆ!
“เจ้า! เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” นายน้อยตะโกนด้วยความโกรธ
“คำถามนี้ข้าควรถามพวกเจ้าทุกคนที่นี่ต่างหากว่าพวกเจ้าต้องการอะไร?” เสียงในอากาศพูดอย่างช้าๆ “ไม่รู้เลยว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์มันจะกินเวลากี่ปี ทุกครั้งที่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ จะต้องมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่จบสิ้นลง โลกอสูรปีศาจเองก็เช่นกัน ตอนนี้พวกเราเองก็เหนื่อยล้ากันแล้ว ไม่อยากจะเข้าร่วมสงครามศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว”
“หยุด ไร้สาระ ใครจะอยากสู้ล่ะ สู้กันไปมาก็ไม่มีผลอะไร พวกเจ้าไม่เหนื่อยหรือ ข้าดูข้ายังเหนื่อยเลย” นายน้อยพูดอย่างไม่พอใจ
“เจ้าไม่อยากต่อสู้มันก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ปกครองสูงสุดของโลกเทพเจ้าและโลกภูตผีปีศาจจะไม่อยากต่อสู้นี่” เสียงในอากาศพูดอย่างจนใจ
“แล้วอย่างไร…” ชีอ้าวชวางถามอย่างต่ำและมองไปที่น้ำพุตรงกลาง
“ดังนั้นข้าคิดว่าในบรรดาพวกเจ้า ต้องมีคนที่หยุดสงครามที่ไร้ความหมายนี้ได้ ให้สงครามศักดิ์สิทธิ์มันยุติลงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” เสียงในอากาศพูดช้าๆ “เราจัดการประลองครั้งนี้ แต่เรื่องการหยุดสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อไปก็คงต้องพึ่งพาพวกเจ้า ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะทำมันสำเร็จได้”
“ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าให้สมหวังกับความปรารถนาที่พังทลายนี้ด้วยล่ะ? พวกเจ้ายังทำเองไม่ได้เลยนี่? สู้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไม่ใช่หรือ?” เฮยหยู่พูดอย่างเย็นชา ในขณะที่ถือเคียวสีดำขนาดใหญ่ของเขาอยู่ด้วย
“งั้นหรือ?” เสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลังหัวเราะ จากนั้นก็พูด “เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ? คนคนนั้นที่อยู่ในใจเจ้า เจ้าจะยอม…”
“หยุด!”เฮยหยู่ตะโกนด้วยความโกรธ เขารีบหยุดเสียงนั้น หากพูดต่อจากนั้นมันจะต้องถูกเปิดเผยแน่ๆ บ้าเอ๊ย! เฮยหยู่โกรธมาก อสูรปีศาจอาวุโสเหล่านี้ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างเลย! หากปล่อยให้เขาพูดต่อไปคงจบเห่แน่!
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ยินดีที่จะเข้าร่วมในภารกิจนี้” เสียงนั้นมีความล้อเล่นเจืออยู่
เฮยหยู่เงียบ เขาทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ถือเป็นการยอมรับ
“ถ้าอย่างนั้น หากทุกคนไม่มีอะไรขัดข้องก็โปรดลงไปที่น้ำพุ” เสียงที่มีพลังนั้นพูด “หลังจากลงไปแล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าต้องทำอะไร บางทีพวกเจ้าอาจจะแยกกันทำ แต่ต้องจำไว้ว่าพวกเจ้ามีเป้าหมายร่วมกันเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงแต่จะหยุดสงครามครั้งนี้เท่านั้น แต่ต้องยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ หนึ่งพันปีนี้ไปเลย”
เสียงนั้นหายไปและรอบๆ ก็เงียบลง
ทุกคนขมวดคิ้วครุ่นคิด ชีอ้าวชวางก็กำลังคิดถึงสิ่งที่เสียงนั้นพูด มีอะไรอยู่ใต้น้ำพุนั้นกันนะ
เมื่อทุกคนเงียบลง เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็เดินนำไปก่อนแล้วมองชีอ้าวชวางด้วยรอยยิ้มจางๆ แม้ว่าเสียงที่เย็นชาจะไม่ดัง แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน “อ้าวชวาง ข้าบอกแล้วว่าสิ่งที่เจ้าต้องการข้าจะทำมันให้ได้”
หลังจากที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดจบเขาก็พาคนข้างหลังเดินไปที่น้ำพุโดยไม่ลังเลเลย
ชีอ้าวชวางมองไปที่แผ่นหลังของเหลิ่งหลิงยวิ๋นและต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
นายน้อยมองแผ่นหลังของเหลิ่งหลิงยวิ๋นอย่างดุร้าย เกลียดจนแทบอยากจะกินเขาไปเลย
“ไป เราจะปล่อยให้หน้าขาวๆ นั่นแย่งไปก่อนไม่ได้!” นายน้อยลากเฟิงอี้เซวียนเดินไปที่น้ำพุ ระหว่างเดินก็หันไปพูดกับชีอ้าวชวาง “เราจะทำให้ได้ก่อนเจ้าหน้าขาวนั่น!”
เฟิงอี้เซวียนมองตาของชีอ้าวชวางอย่าซับซ้อน ทำเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็หยุด ในแววตาของเขามีความเศร้าอยู่ลึกๆ
ไป๋ตี้เหลือบมองชีอ้าวชวาง จากนั้นก็หันไปทางเฮยหยู่ข้างๆ เขาแล้วพูด “ไปกันเถอะ”
“จะไปไหน? ยังไม่ได้ตัดสินผู้ชนะเลย” เฮยหยู่โบกอาวุธในมือและจะเริ่มอีกครั้ง
ไป๋ตี้ไม่สนใจ แต่เดินตรงไปข้างหน้าและพูดอย่างเย็นชาตอนเขาเดินไปที่น้ำพุ “เจ้าจะไปหรือไม่?”
“ไปก็ไปสิ!” เฮยหยู่ตะคอกอย่างเย็นชาแล้วรีบตามไป ก่อนจะไปเขาก็หันไปมองชีอ้าวชวาง
จากนั้นทุกคนก็หายไปในน้ำพุนั่น
คามิลล์ยิ้มอย่างอ่อนโยนและสง่างาม “ไปกันเถอะ เสี่ยวอ้าวชวาง”
ชีอ้าวชวางมองน้ำพุที่สว่างไสวและเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล สีหน้าคามิลล์แปลกไปเล็กน้อย แต่ยังเดินตามมาเงียบๆ
เมื่อชีอ้าวชวางก้าวเข้าไปในน้ำพุ ทัศนียภาพโดยรอบก็เปลี่ยนไป
สภาพแวดล้อมกลายเป็นสีดำสนิท ชีอ้าวชวางเวียนหัวและมีความปั่นป่วนแปลกๆ ไปทั่วร่างกายของนางจากนั้นสติก็ค่อยๆ พร่าเลือน ดูเหมือนจะมีเสียงร้องของแมวล่าสมบัติอยู่ข้างหูด้วย
เมื่อชีอ้าวชวางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่ได้เห็นก็คือต้นไม้สีเขียวท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาว
“เหมียว…” เสียงร้องเบาๆ นั้นดึงชีอ้าวชวางให้กลับมา ชีอ้าวชวางลุกขึ้นนั่งแล้วก็ได้เห็นว่าแมวล่าสมบัติแยกออกจากร่างของนางแล้ว ตอนนี้มันนั่งอยู่ข้างๆ นางอย่างเงียบๆ พอเห็นนางตื่นขึ้น แมวน้อยน่ารักที่มีดวงตาสีอำพันกระโดดไปมาบนตักของนางอย่างมีความสุข ตอนนี้แมวล่าสมบัติได้กลับไปเป็นกลายเป็นเจ้าแมวที่มีขนสีขาวราวกับหิมะแบบเมื่อก่อนแล้ว
ชีอ้าวชวางกอดแมวล่าสมบัติเบาๆ และลูบหัวของมัน เป็นสัญญาณบอกว่านางไม่เป็นไร แต่พอหันไปมองตามความเคยชินก็ไม่พบคามิลล์เลย
คามิลล์ล่ะ?
ชีอ้าวชวางลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ
ไม่มีใครเลย ไม่มีใครอยู่รอบๆ นี้เลย
มีเพียงสายลมสดชื่นที่พัดผ่านมา ทำให้ได้กลิ่นหอมของดอกไม้เท่านั้น
เหลิ่งหลิงยวิ๋นที่เข้าไปในน้ำพุคนแรกก็ไม่มี เฟิงอี้เซวียนกับนายน้อยก็ไม่อยู่ ไป๋ตี้และเฮยหยู่ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้แต่คามิลล์ที่อยู่เคียงข้างนางอยู่ตลอดก็ไม่อยู่!
เหลือเพียงตัวนางเองเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้น? ที่นี่ที่ไหน?
ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
“เหมียว…” แมวล่าสมบัติหดตัวในอ้อมแขนของชีอ้าวชวางและร้องเบาๆ
ชีอ้าวชวางก้มลงมองแมวล่าสมบัติที่แยกออกจากร่างกายของนางแล้วคิด หรือว่าที่แมวล่าสมบัติแยกตัวออกจากร่างของนางก็เพราะที่นี่?
แล้วที่นี่คือที่ไหนกัน?
ชีอ้าวชวางนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ นางพิงต้นไม้และมองท้องฟ้าสีคราม ชีอ้าวชวางจำสิ่งที่เสียงนั้นพูดได้
ยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์…อาจต้องแยกกัน…พวกเจ้าไม่อยากต่อสู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ปกครองสูงสุดของโลกเทพเจ้าจะไม่อยากต่อสู้…
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะแสดงออกถึงอะไรบางอย่าง
หรือว่าน้ำพุนั้นเป็นประตูมิติ
และที่นี่คือโลกเทพเจ้า?!
เหล่าผู้อาวุโสของโลกอสูรปีศาจส่งพวกเขามาที่โลกเทพเจ้าเพื่อให้พวกเขาหยุดสงครามศักดิ์สิทธิ์?
ชีอ้าวชวางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆ
นี่คือโลกเทพเจ้างั้นหรือ? แต่ดูเหมือนหมู่บ้านธรรมดาๆ อย่างไรอย่างนั้นเลย
มองดูภาพรวมมีพื้นที่การเกษตรและสวนผลไม้ขนาดใหญ่ ในบริเวณไร่นาห่างไกลมีคนทำงานอยู่ด้วย
โลกเทพเจ้าเป็นเช่นนี้หรือ? หรือที่นี่มีไรบางอย่างผิดปกติ หรือว่าที่นี่ไม่ใช่โลกเทพเจ้า?
ชีอ้าวชวางอุ้มแมวล่าสมบัติและเดินไปยังพื้นที่เพาะปลูกด้านหน้าอย่างช้าๆ บางทีคนที่ทำงานอยู่ที่นั่นอาจบอกคำตอบกับนางได้
พอชีอ้าวชวางเข้ามาใกล้ก็เห็นว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคนที่นี่กับชาวนาในโลกมนุษย์เลย เสื้อผ้าและเครื่องมือในฟาร์มแทบจะเหมือนกันทั้งหมด
“ขอโทษนะคะ…” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ
ชายที่ทำงานในนาเป็นชายวัยกลางคน เขาคนเงยหน้าขึ้นมองชีอ้าวชวางและก็ตะลึงเพราะเสื้อผ้าของชีอ้าวชวาง
“คุณหนู ออกมาเดินเล่นแล้วหลงทางหรือครับ?” ชายวัยกลางคนถามอย่างระมัดระวัง
ชีอ้าวชวางอึ้งไปครู่หนึ่ง นางไม่เข้าใจว่าทำไมชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าจึงถามเช่นนี้
“เหมียว!” แมวล่าสมบัติในอ้อมแขนของชีอ้าวชวางก็โบกมือและส่งเสียงร้องเบาๆ
ดวงตาของชายวัยกลางคนเริ่มพร่ามัวในทันที จากนั้นเขาก็หัวเราะและพูด “คุณหนูอยากรู้อะไรครับ?”
ชีอ้าวชวางลูบหัวของแมวล่าสมบัติและรู้ได้ทันทีว่าอาเป่าใช้เสน่ห์กับคนตรงหน้า
จากนั้นชีอ้าวชวางก็ได้รับข้อมูลที่ต้องการมาอย่างราบรื่น
ที่นี่คือโลกเทพเจ้า
แต่เป็นสถานที่ที่ต่ำที่สุดในโลกเทพเจ้า เป็นหมู่บ้านเล็กๆ โลกเทพเจ้าไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดในตอนแรกว่าเป็นเทวดาที่มีปีกบินไปมา ไม่ใช่ทุกคนที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ แต่ขึ้นอยู่กับการเลือกและสุดท้ายคือการยอมรับจากเทพีจึงจะมีปีกและกลายเป็นนักรบเพื่อปกป้องเทพี โดยในทุกปีจะมีการคัดเลือกจากที่ต่างๆ