ภาคที่ 3 บทที่ 126 เรือเคลื่อนเมฆา (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 126 เรือเคลื่อนเมฆา (3)

เมื่อรู้เช่นนี้ ซูเฉินก็ยกยิ้มมุมปาก

แล้วกล่าวว่า “ข้าอยากลองดูว่ามันใช้พลังมากเท่าไหร่”

“คุณชายเชิญได้เลยเจ้าค่ะ” ซุยเมี่ยวหลิงยกมือขึ้น ปลดปล่อยเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาออกมา เรือเหาะมังกรวารีหลากจึงขยายใหญ่กลับคืนสู่ขนาดเดิม ก่อนชายหนุ่มกระโดดเข้าไปแล้วพยายามทำการควบคุมมัน จนกระทั่งเริ่มสัมผัสถึงแรงดึงได้ ซึ่งมันก็ราวกับมีหลุมดำคอยดูดพลังจิตของเขาเข้าไป

กระทั่งใช้พลังจิตของเขา ซูเฉินยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ในใจบังเกิดความพิศวง หากเป็นคนอื่นก็คงถูกมันทำหมดสติไปก่อนจะทันได้บังคับมันแล้วกระมัง

ในที่สุดเขาก็ทำการเคลื่อนเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาได้สำเร็จ แสงสว่างจ้าเริ่มแผ่ออกมาจากลำเรือ ทำเอาสว่างไปทั่วทั้งชั้นสี่

ซูเฉินและคนอื่น ๆ ไม่ใช่แขกกลุ่มเดียวบนชั้นสี่ ยังมีแขกคนอื่น ๆ ที่มาเลือกซื้อเรือเคลื่อนเมฆาอยู่ด้วย

เมื่อพวกเขาเห็นเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาปรากฏขึ้นมา คนที่รู้ว่ามันมีตำหนิเรื่องใดก็หัวเราะแล้วเดินเข้ามาดู เห็นได้ชัดว่ารอดูซูเฉินหมดสติ

แต่ที่ไม่คาดคิดคือเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆากลับส่งเสียงคำรามลั่นออกมา ทำเอาคนที่ยืนมองตกตะลึงไป

ยังมีผู้เชี่ยวชาญพลังอีกหลายคนที่สามารถเปิดใช้เรือเหาะมังกรวารีหลากได้ แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้เชี่ยวชาญพลังที่มีพื้นฐานพลังต่ำต้อยเช่นนี้ทำได้สำเร็จ เป็นเรื่องน่าตกใจนัก

ซูเฉินเก็บมือกลับมา “จะเปิดใช้มันยังใช้พลังงานจิตมากโข ถึงจะใช้พลังงานจิตในการคงความเร็วน้อยกว่าก็เถอะ แต่ก็หมายความว่าถึงข้าคุมมันได้ แต่พลังงานจิตในตอนนี้ของข้าก็ใช้งานมันไม่ได้นานนัก”

“แต่คุณชายก็แข็งแกร่งขึ้นอีกได้นี่เจ้าคะ ? ด้วยความเร็วและพลังป้องกันของเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆา ถึงคุณชายจะอยู่ด่านสู่พิสดารก็ยังใช้มันได้ ด้วยระดับการเติบโตของพลังของคุณชายแล้ว อีกไม่กี่ปีก็สามารถคุมเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาได้อยู่หมัดแน่” ซุยเมี่ยวหลิงขายของเป็นจริง ๆ ช่วยชี้ความคิดซูเฉินได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น

ซึ่งก็จริง แม้พลังจิตของเขาในตอนนี้จะยังใช้คุมมันไม่ได้มากมาย แต่ซูเฉินก็ยังแกร่งขึ้นอีกได้ หากเขาต้องการก็สามารถเพิ่มพลังงานจิตได้อย่างรวดเร็ว

ทว่าชายหนุ่มย่อมไม่อาจเห็นด้วยกับคำซุยเมี่ยวหลิงอย่างเปิดเผย

เขาเพียงเอ่ยเสียงไม่แยแส “จะง่ายเช่นนั้นได้หรือ ? มีแต่ต้องบ่มพลังสักสิบปี ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่มาถึงขั้นนี้หรอก”

เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่บอกเวลาเกินเลยไปหน่อยเท่านั้น ทว่าซุยเมี่ยวหลิง และคนอื่น ๆ กลับคิดว่าปกตินัก

กระทั่งคนในราชวงศ์ก็ยังไม่อาจมีวิชาบ่มเพาะพลังจิตและมีโอสถปลุกวิญญาณให้ใช้มากมายเช่นเขา

ซุยเมี่ยวหลิงเป็นสตรีเย็นชาที่คิดคำนวณทุกอย่างในหัว เมื่อได้ยินคำซูเฉินก็รู้ว่าไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการสินค้า แต่เขาต้องการให้ลดราคาลงอีกต่างหาก

แม้เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากลำนี้จะดีนัก แต่ก็ขายไม่ออกมานานหลายปีแล้ว เพราะใช้พลังงานจิตจำนวนมาก จนกลายเป็นของแสลงของร้านจันทร์ลอยเด่น ด้วยเงินทุนมหาศาลกลับมาจมฝุ่นนอนนิ่งอยู่เท่านี้

สำหรับร้านจันทร์ลอยเด่นแล้ว พวกเขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสขายหลุดลอยไป ส่วนราคา 100 ล้านนั้นก็แค่พูดไปอย่างนั้น

ซุยเมี่ยวหลิงกล่าว “ว่ากันว่าสมบัติล้ำค่าเป็นผู้เลือกนายมันเอง เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากมีทั้งพลังป้องกันและความรวดเร็วที่คุณชายต้องการ เหมาะสมกับท่านมาก ไม่แน่ว่าคุณชายอาจเป็นนายที่มันรอมานานหลายร้อยปี หากคุณชายชอบจริง ๆ เมี่ยวหลิงก็พร้อมลดราคาให้เจ้าค่ะ”

“เท่าไหร่ ?” ซูเฉินถาม

“หินพลังต้นกำเนิด 90 ล้านก้อนเจ้าค่ะ”

ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “แพงเกินไป !”

“คุณชายซู เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากลำนี้ราคา 150 ล้านหากไร้ตำหนิ ที่เราลดราคาก็เพราะมันมีตำหนิเล็ก ๆ น้อย ๆ นะเจ้าคะ”

“มันไม่ใช่ตำหนิเล็ก ๆ แต่เป็นตำหนิใหญ่เชียวล่ะ” ซูเฉินว่า “หากเป็นปัญหาตรงอื่น อย่างมากก็แค่ความสามารถของตัวเรือเหาะลดลง แต่การที่ต้องใช้พลังจิตทำให้มันตัดคนใช้ออกไปได้มาก และถึงข้าจะใช้มันได้ แต่ก็ใช้ได้จำกัด ตำหนิเท่านี้ก็ทำลายเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากได้แล้ว ขายราคา 90 ล้านด้วยตำหนิเช่นนี้มันมากเกินไป”

“เช่นนั้นคุณชายคิดว่าราคาไหนเหมาะเจ้าคะ ?”

“40 ล้าน”

ซุยเมี่ยวหลิงไม่พอใจทันที “หากเราขายราคานั้นก็คงมีคนซื้อไปนานแล้วล่ะเจ้าค่ะ จะรอมาถึงขนาดนี้ได้หรือเจ้าคะ ?”

นางกล่าวไม่ผิด เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากยังมีคนที่สามารถใช้มันได้อยู่หลายคนเช่นกัน ด้วยยังมีคนที่มีพื้นฐานพลังด่านสู่พิสดารหรือสูงกว่านั้นที่ใช้มันได้ แต่คนทั้งหลายกลับไม่คิดซื้อมัน

ซุยเมี่ยวหลิงว่า “คุณชายซู หากท่านสนใจจะซื้อจริง ข้าขายให้ได้ในราคา 80 ล้าน”

ซูเฉินส่ายหน้า “หากลดเหลือ 50 ล้านข้าจึงจะคิดดู”

ซุยเมี่ยวหลิงกัดฟัน “70 ล้านเจ้าค่ะ ลดไม่ได้กว่านี้แล้ว”

เดิมทีนางคิดว่าซูเฉินจะต่อราคาลงอีกแต่เขาไม่ทำ กลับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ซุยเมี่ยวหลิง “นอกจากเรือเคลื่อนเมฆาแล้ว ข้ายังต้องการซื้อของพวกนี้จากร้านเจ้าอีก”

ซุยเมี่ยวหลิงเหลือบมองดู หัวใจเกือบวาย ด้วยกระดาษแผ่นนี้จดรายการวัตถุดิบและของล้ำค่าไว้มากมายนัก

หากพวกนางเตรียมของไว้ให้เขาจริง ราคาก็คงเพิ่มไปอีก 100 ล้านได้

ซุยเมี่ยวหลิงอดเอ่ยเสียงตะกุกตะกักขึ้นมาไม่ได้ “คุณชายใช้เงินได้เป็นเอกลักษณ์จริง ๆ”

“ของทั้งหมดรวมกันเป็น 150 ล้านเป็นไง ?” ซูเฉินถาม

หลังจากต่อรองกันอย่างดุเดือดกันอีกครั้ง สุดท้ายก็ตีราคาไว้ที่หินพลังต้นกำเนิด 155 ล้านก้อน

เห็นได้ชัดว่าซุยเมี่ยวหลิงทุ่มสุดตัวกับการเจรจาครั้งนี้ แม้นางจะไม่กล้าใช้วิชาลวงเสน่ห์อีกแต่ก็ใช้พลังใจไปไม่น้อย

และเมื่อตกลงเรื่องทุกอย่างได้ ทุกคนก็ถอนหายใจออกมาตาม ๆ กัน

การทำการค้าขายที่มีมูลค่าเกินร้อยล้าน กระทั่งกับร้านจันทร์ลอยเด่นก็ยังนับว่าหาได้ยากนัก

ส่วนกู่จิ่นถังก็ถึงกับอึ้งไปเลย

หินพลังต้นกำเนิด 155 ล้านก้อน !

ตกลงราคากันเช่นนี้เลยหรือ ?

ซูเฉินเป็นพวกไร้สายเลือด จะมีหินพลังต้นกำเนิดจำนวนมากมายมหาศาลขนาดนั้นได้อย่างไรกัน ?

เป็นไปได้อย่างไร ?

กู่จิ่นถังเป็นคุณชายสี่ตระกูลกู่ ทั้งยังเป็นคนด่านทะลวงลมปราณ ทุกเดือนเขาเลยได้เงินจากตระกูลเพียงหินพลังต้นกำเนิด 8 พันก้อนเท่านั้น ปกติแล้วก็ต้องหาทางหาเงินเพิ่มอีกหน่อยเพื่อจะสรรหาทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังมาใช้ให้มากพอ อย่างมากปี ๆ หนึ่งก็ได้มาเพียงเกือบ 1 ล้านเท่านั้น

แต่เจ้าซูเฉินไร้สายเลือดนี่กลับใช้หินพลังต้นกำเนิด 155 ล้านก้อนไปเช่นนี้

เป็นไปได้อย่างไรกัน ?

เขากำลังรอให้ซูเฉินใช่เล่ห์กลแล้วทำบอกปัดไป มั่นใจว่าอีกฝ่ายเพียงวางท่าไปเท่านั้น

แต่เมื่อซูเฉินหยิบแผ่นป้ายต้นกำเนิดสีทองจาก ‘ร้านแลกเงินฮุ่ยตง’ ออกมา กู่จิ่นถังก็อึ้งไป

ร้านแลกเงินฮุ่ยตง เป็นร้านแลกเงินที่ใหญ่ที่สุดในหลงซาง ทำการค้ามากมายหลายประเภททั่วแคว้น แผ่นป้ายต้นกำเนิดนั้นเป็นของที่ใช้โน้มน้าวได้ดีมาก ปกติแล้วร้านแลกเงินฮุ่ยตงจะมอบแผ่นป้ายต้นกำเนิดให้ลูกค้าตามมูลค่า โดยแผ่นป้ายต้นกำเนิดสีทองนับว่ามีมูลค่าสูงที่สุด หากไม่มีหินพลังต้นกำเนิดอย่างน้อยสักร้อยล้านก็ไม่อาจได้มาใช้