เซี่ยยวี่หลัวออกจากประตูใหญ่ของฮวาหม่านยีก็มุ่งหน้าไปยังตลาดทันที นางไปซื้อเนื้อหมูสามจินจากร้านเดิมเป็นอันดับแรก ทั้งยังซื้อกระดูกใหญ่อีกสองชิ้น เห็นว่ามีปอดหมูและหัวใจหมูด้วย เซี่ยยวี่หลัวจึงซื้อทั้งหมด
ถึงฤดูร้อนแล้ว ต้มน้ำแกงหัวใจหมูและปอดหมูสักหนึ่งหม้อ คลายร้อนแก้ร้อนใน
ซื้อเนื้อหมูเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวเห็นคนขายปิงถังหูหลู่ระหว่างทาง ซื้อมาสี่ไม้ ซื้อขนมกุ้ยฮวาและขนมเข่งมาอย่างละหนึ่งกล่อง จากนั้นจึงไปร้านขายของชำ
เมื่อถึงตอนออกมา ในมือมีถุงน้ำเพิ่มมาอีกหนึ่งถุง นั่นเป็นถุงน้ำที่ทำจากหนังวัว ดีกว่าถุงน้ำที่เซียวยวี่ใช้ก่อนหน้านี้มากทีเดียว
ถึงแม้จะใช้เงินไปไม่น้อย แต่เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก
ถุงน้ำของเซียวยวี่ก่อนหน้านี้ นางเคยใช้แล้ว จึงไม่คิดคืนให้เขาอีก ด้วยเกรงว่าให้เขาไปก็คงโยนทิ้ง มิสู้เก็บไว้ในบ้านเผื่อใช้ในยามจำเป็น
อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้เป็นโรครักสะอาด คนอื่นเคยใช้ดื่มแล้วแค่ล้างให้สะอาดก็พอ
เมื่อซื้อของจนครบ ตะกร้าที่หิ้วอยู่ในมือก็เต็มแล้วเช่นกัน เซี่ยยวี่หลัวรีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับเซียวยวี่ไว้
เซียวยวี่รออยู่ที่เดิมนานแล้ว
เขาถือตำราเล่มหนึ่ง กำลังนั่งอ่านตำราอย่างตั้งใจในพื้นที่ว่างระหว่างแผงขายของสองแผง
เซียวยวี่ตั้งใจมาก ราวกับว่าเสียงวุ่นวายต่างๆ ที่อยู่รอบข้างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาสนใจเพียงตำราในมือเท่านั้น
เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ที่เดิม มองเซียวยวี่เงียบๆ
เขาขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง ผ่อนคิ้วบางครา ราวกับว่าเรื่องราวในตำราชักนำสภาวะอารมณ์ของเขา ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นบางครั้ง และรู้สึกเศร้าใจเป็นบางคราว จมดิ่งอยู่ในเรื่องราวภายในตำรา ลืมสิ่งรอบข้างไปโดยไม่ทันรู้ตัว
เซียวยวี่อ่านอยู่ครู่หนึ่ง อาจเพราะรู้สึกเหนื่อย จึงเงยหน้ามองไปทางผู้คนที่เดินผ่านไปมา จากนั้นจึงลุกขึ้นมาบิดคอ มองดูสองข้างทาง ก่อนจะก้มหน้าอ่านตำราในมือต่อ
เซียวยวี่ไม่เห็นนาง เซี่ยยวี่หลัวจึงจ้องมองเซียวยวี่อย่างพินิจด้วยความใจกล้า
เซียวยวี่ตัวสูงเสียจริง
ชุดสีครามสวมใส่อยู่บนกายเขา เหมือนนายแบบในยุคสมัยปัจจุบัน ประหนึ่งเป็นไม้แขวนเสื้อแต่กำเนิด
ไม่เพียงแต่มาดเข้ม ตัวสูงโปร่ง รูปร่างดีเยี่ยม ราวกับว่าสวรรค์มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เซียวยวี่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา หรือวิชาความรู้ หากเขาบอกว่าตนเองเป็นที่สอง ทั้งต้าเยว่ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง
ตอนนี้เซียวยวี่เพิ่งอายุสิบเจ็ดปี สิบเจ็ดปีที่เผชิญกับชะตากรรมพลิกผัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย จะกลายเป็นของขวัญที่ชะตากรรมมอบให้เขาทั้งหมด ให้เขาได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ราวกับหงส์อาบเพลิงถือกำเนิดใหม่ในสิบเจ็ดปีให้หลัง
ท่านราชบัณฑิตน้อยในอนาคต จุดมุ่งหมายของเขา กำหนดไว้แล้วว่าเขาต้องเป็นบุคคลระดับตำนาน
หากต้าเยว่แห่งนี้เป็นเส้นขนานกับประวัติศาสตร์จริง คาดว่าคนผู้นี้จะมีชื่อก้องกระเดื่องไกล ได้รับการเล่าขานสู่ชนรุ่นหลังเป็นแน่
เซี่ยยวี่หลัวเพ่งความสนใจไปที่ตัวเซียวยวี่ทั้งหมด นางมองจนสติเลื่อนลอย จ้องมองเซียวยวี่ตาไม่กะพริบ ไม่ทันสังเกตเลยว่า เวลานี้เซียวยวี่เงยหน้าขึ้น
ถึงแม้เซียวยวี่กำลังอ่านตำราอย่างตั้งใจ แต่ก็เฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวของสองข้างทางอยู่ตลอด
นัดหมายกันแล้วว่าอีกครึ่งชั่วยามให้หลังพบกันที่นี่ เซียวยวี่มาเร็ว เกรงว่าเซี่ยยวี่หลัวก็มาเร็วเช่นกัน ดังนั้นจึงคอยเงยหน้ามองดูความเคลื่อนไหวสองด้านเป็นระยะ ตอนแรกเขานั่งอยู่ ในภายหลังมีผู้คนเดินผ่านไปมามากขึ้นเรื่อยๆ แผงขายของก็มากขึ้นเรื่อยๆ เขาเกรงว่าเซี่ยยวี่หลัวมาแล้วจะหาเขาไม่พบ ดังนั้นจึงลุกขึ้นยืน
เขาตัวสูง คิดว่าหากเซี่ยยวี่หลัวมองหาเขา น่าจะมองแวบเดียวก็เห็นทันที เซียวยวี่จึงสงบใจอ่านตำราต่ออย่างตั้งใจ
จวบจนเขาสัมผัสได้ถึงสายตาอันเร่าร้อนที่มองมาทางตนเอง สายตานั่นไม่เพียงแต่เร่าร้อน ทั้งยังจ้องมองเป็นเวลานานมาก
เซียวยวี่เงยหน้าขึ้น สบประสานกับสายตาของเซี่ยยวี่หลัวพอดี
รูปโฉมงามสะคราญไร้ตำหนิ ปรากฏสู่สายตาเซียวยวี่เช่นนี้เอง
เซี่ยยวี่หลัวจ้องมองเซียวยวี่ เซียวยวี่ก็มองเซี่ยยวี่หลัว ทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็ไม่หลบสายตา
บุรุษรูปลักษณ์หล่อเหลาประหนึ่งพานอัน สตรีเลอโฉมยิ่งกว่าเทพธิดา ที่กล่าวกันว่ารักแรกพบ สิ่งที่ต้องตาต้องใจก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีเท่านั้นเอง
จู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองสั่นไหว
นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาทั่วไป ไม่อาจหลีกหนีจากชะตาชีวิตได้
เวลาเหมือนจะหยุดนิ่ง
จวบจนเสียงตะคอกดังทำลายความเงียบสงบนี้
“มีคนขโมยเงิน จับขโมย จับขโมยเร็ว…” เสียงหญิงชาวบ้านที่แผดเสียงตะคอกดังมาจากตำแหน่งที่ไม่ห่างมากนัก จากนั้น เงาร่างหนึ่งก็พุ่งพรวดไปทางเซี่ยยวี่หลัวอย่างรวดเร็ว
“รีบหลบไป! ” จู่ๆ เซียวยวี่ก็ตะโกนเสียงดัง
หัวขโมยกำลังพุ่งพรวดมาทางเซี่ยยวี่หลัวแล้ว เซียวยวี่ก็รีบวิ่งมาทางนี้ คิดจะปกป้องเซี่ยยวี่หลัว
เซี่ยยวี่หลัวไม่ขยับเขยื้อน มองดูหัวขโมยพุ่งมาทางนี้ด้วยท่าทางอาฆาตมาดร้าย แสยะปากตะโกนเสียงดัง “ไปให้พ้น”
หัวขโมยผู้นี้ลักขโมยเป็นประจำ สีหน้าท่าทางดูดุร้าย อาศัยศิลปะการต่อสู้ปลายแถวของตัวเอง ก่อกรรมทำชั่วในพื้นที่ละแวกนี้ ขโมยเงินของผู้คนมาไม่น้อย ทางการคิดจะจับกุมเขามาตลอด แต่ก็อับจนหนทางเพราะคนผู้นี้เหลี่ยมจัดและรู้ศิลปะการต่อสู้ จึงจับกุมไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว
หัวขโมยผู้นี้เห็นว่าทางการจับกุมเขาไม่ได้ เหมือนจะท้าทายทางการหนักขึ้น ออกมาก่อเหตุทุกสามวันห้าวัน ก่อเหตุทางทิศตะวันออกของเมืองทีหนึ่ง ก่อนไปทิศตะวันตกของเมืองทีหนึ่ง ความเคลื่อนไหวไม่แน่นอน ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก
หลี่เจิ้ง[1]เมืองโยวหลันก็คิดจนหัวแทบแตก สั่งการให้หลี่ซวี[2]สองคนรับผิดชอบจับกุมหัวขโมยโดยเฉพาะ แต่หัวขโมยผู้นี้ลักขโมยจนติดนิสัย ต่อให้มีหลี่ซวีคอยรอจับกุมขณะเขาลงมืออยู่บนถนน หัวขโมยผู้นี้ก็ยังคงกระทำการอย่างอุกอาจ ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
วันนี้ก็ลักขโมยถุงเงินของหญิงชาวบ้านที่มีฐานะอีกครั้ง กว่าหญิงชาวบ้านผู้นั้นจะรู้ตัว หัวขโมยก็หนีไปแล้ว
หลี่ซวีไล่ตามอยู่ด้านหลัง จะไล่ตามทันได้อย่างไร
เซียวยวี่พุ่งพรวดมา เห็นว่าหัวขโมยนั่นเข้าใกล้เซี่ยยวี่หลัวมากขึ้นเรื่อยๆ “อาหลัว รีบหลบไป” เซียวยวี่ตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
หัวขโมยนั่นความเร็วสูงมาก รูปร่างสูงใหญ่ พุ่งพรวดไปด้วยความเร็วสูง หากพุ่งมาชนใส่เซี่ยยวี่หลัว…
เซียวยวี่ไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ
หัวขโมยนั่นไม่เห็นเซี่ยยวี่หลัวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เห็นว่าเป็นเพียงสตรีรูปร่างบอบบาง พุ่งชนใส่ก็พอแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวหรี่ตาเล็กน้อย ก้าวเท้าซ้ายไปด้านหน้าหนึ่งก้าว มือคู่กำหมัด ขณะที่หัวขโมยอยู่ห่างจากนางอีกเพียงสามก้าว จู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวก็กระโดดออกข้าง ยกขาขวาขึ้นสูง เตะไปด้านหน้า หัวขโมยหลบไม่ทัน ได้แต่มองท่อนขาที่รวดเร็วดุจวายุเตะใส่คอของตนเอง
หัวขโมยรู้สึกเบื้องหน้ามืดมิด หมดสติไปทันที
เซียวยวี่ยืนอยู่ด้านหลังเซี่ยยวี่หลัว ห่างเพียงก้าวเดียว เขาเกือบจับเซี่ยยวี่หลัวได้แล้ว แต่เมื่อเห็นหัวขโมยหมดสติไป เซียวยวี่ก็ตกอยู่ในอาการมึนงง
ผู้คนรอบข้างที่หลบห่างต่างก็มึนงงเช่นกัน
เตะทีเดียว ก็จับกุมหัวขโมยได้แล้ว?
หลี่ซวีวิ่งจนหายใจแทบไม่ทัน วิ่งมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ พอเห็นหัวขโมยที่นอนกองอยู่บนพื้น ก็รู้สึกมึนงงยิ่งนัก นี่… นี่จับตัวได้แล้วหรือ?
————————-
เชิงอรรถ
[1] หลี่เจิ้ง คือ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการระดับล่างในยุคสมัยจีนโบราณ ดูแลพื้นที่ชนบท (ในที่นี้ หลี่เจิ้งมีตำแหน่งอาวุโสกว่าหลี่ซวี)
[2] หลี่ซวี คือ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการระดับล่างในยุคสมัยจีนโบราณ ดูแลพื้นที่ชนบท