ตอนที่ 187.1 การต่อสู้ระหว่างสองชายงาม (1)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ชายผู้นี้ดุจสัตว์ร้ายที่ถูกแย่งชิงคนรักไป ร่างกายจึงกระจายไอเย็นที่หนาวเหน็บถึงกระดูกออกมา

ใบหน้าเย็นชา ดวงตาเย็นชาคมกริบเย็นยะเยือก มองไปที่ใดต่างแข็งตัวหนากว่าสามนิ้ว!

เมื่อมองยอดเขาสูงตระหง่านที่อยู่ไกลลิบ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากกระจับแน่น ดวงตาเย็นชาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

เหยาเหยา เจ้าต้องรอข้า ต้องรอข้า!

ขณะชายหนุ่มร้องตะโกนในใจ ด้านหน้าจากพวกเขาไม่ไกลมีเสียงตกใจและดีใจดังขึ้นมา

“ท่านอ๋อง พวกเราพบทางลับขึ้นสู่เขาเทพธิดาแล้ว”

“เยี่ยม พวกเราไป!”

หิมะสีขาวหนาวเย็น หยดเลือดแดงสดบนพื้น และร่างกายที่ถูกตัดแขนขานั้น ใบหน้าดูซีดขาว ทว่าดวงตากลับกำลังเบิกกว้างจ้องมองตนเอง ร่างกายที่สูญเสียแขนขาไปจนดุจไส้เดือนนั้น ดิ้นกระเสือกกระสนพาตนเองไปด้านหน้าไม่หยุด

พลางปีนป่ายและพลางเอ่ยว่า

“ล้วนเป็นเจ้าทำร้ายข้า ล้วนเป็นเจ้าทำร้ายข้า เอาชีวิตข้าคืนมา เอาชีวิตข้าคืนมา”

“ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้คิดทำร้ายเจ้า ข้าไม่ได้ทำ ฮือ…”

หลังตกใจตื่นจากฝันร้าย เล่อเหยาเหยาร้องอย่างตกใจออกมา ก่อนจะลุกนั่งอยู่บนเตียง

เมื่อเห็นผ้าม่านสีแดงตรงหน้าพัดปลิวไสวไปตามสายลม ราวกับปีศาจสาวสวมชุดแดง ทำให้เล่อเหยาเหยาตกตะลึงในใจ ก่อนรีบปีนลงจากเตียง สุดท้ายกลับไม่ระวังตกจากเตียงลงมา

โชคดีที่เตียงนี้ไม่สูง และบนพื้นยังปูด้วยขนแกะหนานุ่ม ดังนั้นเมื่อตกลงไปจึงไม่บาดเจ็บ

เมื่อนอนบนพรมขนแกะอ่อนนุ่มนั้น มองห้องที่สว่างไสวนี้ เล่อเหยาเหยาหายใจติดขัดตลอดเวลา ยื่นมือออกไปซับเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนพบว่าที่แท้เธอไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เป็นเวลากลางคืน

เมื่อเห็นความมืดมิดที่ด้านนอกหน้าต่าง เล่อเหยาเหยาอดนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนกลางวันไม่ได้

นึกถึงเหนียนซูหลานที่ถูกตัดแขนขานอนอยู่บนกองเลือด ไม่รู้เธอตอนนี้จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน

คงมิใช่เธอตายไปโดยอาฆาตแค้น ดังนั้นจึงคิดมาล้างแค้นเธอหรอกนะ!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกอึดอัดใจ

และเมื่อนึกถึงความโหดเหี้ยมของซือมู่หาน เพราะเพียงประโยคเดียวของเขาสามารถคร่าชีวิตคนได้ และการสังหารที่เหี้ยมโหดนั้น ทำให้คนตายไม่ครบส่วน

เขาคือปีศาจ!

ครั้งแรกที่เห็นเขา เขาแสดงท่าทีอ่อนโยนใส่ใจออกมาต่อหน้าเธอ ทำให้เธอค่อยๆ ลดความระแวงที่มีต่อเขาลง และคิดว่าความจิงเขาก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

แต่เรื่องของเหนียนซูหลาน ทำให้เธอเข้าใจว่าซือมู่หานคือปีศาจ ดังนั้นเธอจึงต้องหลบหนี!

ถูกต้อง หนีไปจากที่นี่!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาลุกขึ้นจากพื้น ก่อนกวาดสายตาสำรวจรอบด้านครู่หนึ่ง จึงพบว่าภายในห้องเวลานี้ไร้ผู้คน

เรื่องนี้สำหรับเธอถือว่าเป็นเรื่องดี!

ไม่หนีไปเวลานี้ ต้องรอให้ถึงเวลาไหนอีก!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารีบร้อนสวมเสื้อหนังสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ พร้อมสวมหมวกหนังสุนัขจิ้งจอกปิดบังเส้นผมสีดำทั้งหมดไว้

เพราะเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ยาวถึงเท้า ทั่วร่างกายจึงไร้เส้นขนโผล่ออกมา สีขาวของเสื้อนั้นแทบจะกลมกลืนไปกับหิมะสีขาว

หากเธอนิ่งไม่ขยับตัวอยู่กลางหิมะ คนทั่วไปไร้หนทางที่จะมองเห็น

ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงสวมเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ เพื่อใช้บดบังร่างกายของตน

หลังตรวจสอบการแต่งกายของตนเสร็จ เล่อเหยาเหยาไม่กล้าไปที่ประตูใหญ่ จึงปีนออกไปทางหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้บานนั้น

ระหว่างทางเล่อเหยาเหยาคอยระมัดระวังตลอดเวลา ด้วยเกรงจะมีคนมาพบเข้า

ภายในสมองนึกถึงเรือนกระเบื้องที่ซือมู่หานพาเธอไปเยี่ยมชมมาในวันนี้ไม่หยุด เพียงเธอเดินไปถึงเรือนกระเบื้องนั้นได้ แล้วใช้เส้นทางลับนั้นลงจากเขา เธอจะหลบหนีได้สำเร็จแน่นอน!

พอคิดถึงว่าสามารถไปจากที่นี่ได้ กลับไปอยู่ข้างกายอวี๋ ร่างกายเล่อเหยาเหยาคล้ายถูกฉีดเลือดไก่ ไร้ความเกรงกลัว คิดเพียงอยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

แต่ขณะที่เธอเดินผ่านทุ่งดอกเหมย คิดว่าหลังจากผ่านตรงนี้จะไปถึงเรือนกระเบื้องนั้น พลันมีเสียง ‘แปะๆ’ ดังขึ้น เป็นเสียงปรบมือที่ดังกังวานเป็นพิเศษภายในค่ำคืนที่เงียบสงัด

และทำให้เล่อเหยาเหยาตกใจจนพลันหยุดฝีเท้าลง ก่อนค่อยๆ หมอบตัวลงหลบซ่อนอยู่ใต้ต้นเหมย ดวงตาคู่งามกวาดมองไปยังที่มาของเสียงนั้น

เห็นเพียงด้านหน้าไม่ไกลจากตำแหน่งของเธอ กำลังมีเงาร่างสีเทาและสีดำยืนอยู่

แสงจันทร์เย็นเฉียบ ทำให้ผืนดินดูขมุกขมัวและละมุนละไม

เล่อเหยาเหยาเพ่งมอง ยังเห็นท่าทางของสองคนนั้นได้ชัดเจนเพียงเจ็ดแปดส่วน

เห็นเพียงชายชุดดำนั้น มีรอยบากที่โหดร้ายบนใบหน้า ทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวเป็นพิเศษ แต่กลับไม่สูญเสียความป่าเถื่อน

ก็คือชิงเฟิงที่เคยเจอก่อนหน้านี้

หญิงที่ยืนตรงข้ามชิงเฟิง แม้เธอจะเปลี่ยนเป็นสวมชุดสีเทา แต่เล่อเหยาเหยายังจำเธอได้ หญิงสาวผู้นี้มีนามว่าหงหลัวชาง

จากการปรากฎตัวที่ทำให้คนยากจะลืมเลือนของเธอในวันนี้ กระบี่ยาวเปื้อนเลือด และรอยยิ้มยั่วยวนดุจปีศาจของเธอ ทำให้เล่อเหยาเหยาจดจำได้ ความจริงเธอไม่ได้เห็นหญิงสาวผู้นี้เป็นครั้งแรก

ครั้งแรกที่เห็นหญิงสาวผู้นี้ คือที่หอนางโลมแห่งนั้น!

ขณะนั้นหงหลัวชางกำลังต่อสู้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เพียงเพราะการปรากฎตัวของเธอ จึงทำให้หงหลัวชางหนีไปได้ ต่อมาเธอจึงได้รู้จากปากเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า หงหลัวชางผู้นี้คือคนที่อันตรายร้ายกาจ

และเป็นหัวหน้าของลัทธินอกรีต เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเจ้าลัทธินอกรีต!

เล่อเหยาเหยานึกถึงสถานะของหญิงสาวผู้นี้ในใจ ก่อนมองสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง เห็นชิงเฟิงถูกตบหน้าหัน จึงรู้สึกสงสัยในใจ

พวกเขามาอยู่ที่นี่ในเวลาเที่ยงคืนตีสามไม่หลับไม่นอน หญิงสาวตบชายหนุ่ม นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!

ทว่าเรื่องของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เธอสนใจเพียงพวกเขาสองคนจะอยู่ที่นี่อีกนานเพียงใดจึงจะจากไป เพราะที่นี่คือเส้นทางที่ใกล้และปลอดภัยที่จะไปสู่เรือนกระเบื้องที่สุด

เพราะทุ่งดอกเหมยนี้ ตอนกลางคืนจะมีคนผ่านมาน้อยมาก

เดิมทีคิดว่าการหลบหนีจากที่นี่ในคืนนี้ จะราบรื่นไร้กังวล แต่กลับมีชายหญิงคู่นี้มาทำเสียเรื่อง เล่อเหยาเหยาจึงหมดคำพูด

คิดกลับไปหาเส้นทางอื่น ทว่ากลับทำไม่ได้

ดังนั้นจึงรอเงียบๆ อยู่ที่นี่ ให้พวกเขาจากไป เธอจึงจะหนีไปจากที่นี่

เพียงหวังว่าเรื่องของพวกเขาจะใช้เวลาเพียงไม่นาน เพราะเธอกลัวว่าหากซือมู่หานพบว่าเธอไม่อยู่ในห้อง ต้องรู้ว่าเธอหลบหนีแน่นอน

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ สองคนเบื้องหน้าเริ่มสนทนากัน เดิมทีเล่อเหยาเหยาไม่คิดแอบฟัง คิดไม่ถึงกลับได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงตน ทำให้เล่อเหยาเหยาอดเพ่งมองและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจไม่ได้

“ชิงเฟิง เหตุใดจึงทำเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นเห็นชัดว่าไม่ใช่นายหญิง เพียงมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกับนางเท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงพาตัวนางกลับมาหลอกลวงเจ้าลัทธิ!”

น้ำเสียงของหงหลัวชางแฝงไปด้วยความโมโหอย่างไม่ปิดบัง ใบหน้าดูดุร้าย ไม่พอใจอย่างสุดจะบรรยาย

สำหรับการซักถามของหงหลัวชาง ชิงเฟิงเพียงเงียบงันชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเบาๆ ขึ้นว่า

“เจ้าคิดว่าข้าอยากทำเช่นนี้หรือ ตอนนายหญิงเสียชีวิต เจ้าไม่ใช่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าลัทธิเพราะการเสียชีวิตของนายหญิง จึงโศกเศร้าเสียใจจนแทบคิดตามนายหญิงไป หากพวกเราไม่ห้ามปรามไว้ บอกว่าบนโลกนี้ยังมียาอายุวัฒนะที่ช่วยฟื้นคืนชีพได้ เจ้าลัทธิคงไม่มีความหวังสามารถใช้ชีวิตมาถึงตอนนี้ได้”

“แต่ยาอายุวัฒนะต่างคือเรื่องโกหก บนโลกนี้จะมียาอายุวัฒนะอยู่ที่ใดกัน”

“ใช่ บนโลกนี้ไม่มี แต่สำหรับเจ้าลัทธินี่คือความหวังหนึ่ง มิฉะนั้นเจ้าลัทธิคงใช้ชีวิตราวตายทั้งเป็นอยู่บนโลกใบนี้”

ชิงเฟิงเอ่ยคำรามขึ้น เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้พลันหยุดชะงักลง ก่อนเอ่ยต่อว่า

“แต่หากหลอกลวงเจ้าลัทธิเช่นนี้ตลอดไป ช้าเร็วต้องมีสักวันที่เจ้าลัทธิจะรู้ว่าเรื่องยาอายุวัฒนะคือเรื่องโกหกหลอกลวง เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าลัทธิจะเป็นเช่นไร หลัวชางเจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเจ้าลัทธิรู้ว่าพวกเราหลอกลวงเขา เขาจะมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่ เจ้าลัทธิเมตตาพวกเรา พวกเราต่างคือคนที่เจ้าลัทธิช่วยกลับมา ชีวิตจึงเป็นของเจ้าลัทธิ หรือพวกเราจะทนดูเจ้าลัทธิตายไปเช่นนี้”

“แต่เจ้าก็ไม่ควรนำตัวปลอมกลับมา ช้าเร็วเจ้าลัทธิต้องรู้ความจริง มิใช่หรือ”

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเฟิง หงหลัวชางเม้มริมฝีปากแดงแน่น ก่อนเอ่ยอย่างดื้อรั้น

ชิงเฟิงเห็นเช่นนั้น อดถอนหายใจพร้อมเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า

“ตัวปลอมก็ถือว่าดี อย่างน้อยเจ้าลัทธิก็เชื่อว่านางคือตัวจริง ตอนแรกตอนการแข่งขันประชันความสามารถด้านศิลปะ ข้ามอบชีวิตให้แก่เจ้าลัทธิ คิดไปรวบรวมเลือดและหัวใจของหญิงสาวที่เหลือ คิดไม่ถึงจะพบกับหญิงสาวที่หน้าตาคล้ายคลึงกับนายหญิงคนนั้นเข้า ขณะนั้นข้ายังคิดว่านายหญิงฟื้นคืนชีพมา จนกระทั่งข้าตกหน้าผา กลับยากจะเชื่อว่าจะไม่ตาย ใช้ชีวิตอยู่ก้นหุบเขากว่าสองเดือนจึงรู้ว่า คนผู้นั้นไม่ใช่นายหญิง เพียงหน้าตาคล้ายนายหญิงเท่านั้น ดังนั้นเวลานั้นข้าจึงคิดออก หากข้าสามารถมีชีวิตรอดไปจากก้นหุบเขา จะนำตัวหญิงสาวที่หน้าตาคล้ายกับนายหญิงกลับมา อย่างน้อยเจ้าลัทธิจะคิดว่า นี่คือภรรยาที่ฟื้นคืนชีพกลับมาของเขา ทำให้เจ้าลัทธิไม่ได้มีชีวิตราวตายทั้งเป็น ทำให้ลัทธินอกรีตของเรารุ่งเรือง คงอยู่ตราบนานเท่านาน นี่เพียงพอแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเฟิง หงหลัวชางเอาแต่เงียบงัน ทว่าเมื่อเล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดนี้ กลับรู้สึกใจหาย

อดยื่นมืออุดปากเล็กไว้แน่นไม่ได้ ในใจกลับตกตะลึง

มิน่ายามเห็นชิงเฟิงหลังจากมาที่นี่ เธอจึงรู้สึกคุ้นหน้าชายผู้นี้อย่างมาก คล้ายกับเคยเจอกันมาก่อน แต่กลับนึกไม่ออกตลอดเวลา

เดิมทีชายหนุ่มนี้ ตอนแรกในงานแข่งขันประชันความสามารถด้านศิลปะคิดลักพาตัวเธอมา ทว่ากลับถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋ซัดตกเขาไปเสียก่อน

ยามนั้นเธอรู้สึกแปลกใจกับสายตาที่ชายผู้นี้มองเธอ ดวงตาที่เบิกกว้าง ท่าทางเต็มไปด้วยความตกใจ ราวกับรู้จักเธอ