เซียวยวี่เหยียบไปในกองใบไม้ร่วงอย่างระมัดระวัง ฟังเสียงใต้เท้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
เซี่ยยวี่หลัวไม่กล้าพิงศีรษะไว้บนไหล่เซียวยวี่ ได้แต่หันศีรษะไปด้านข้าง ทอดสายตามองไปยังใบไม้ร่วงที่ทับกันเป็นชั้นหนาอย่างเงียบสงบ
ทันใดนั้น กองใบไม้ร่วงชั้นหนาแห่งหนึ่งพลันเคลื่อนไหว
เซี่ยยวี่หลัวนึกว่าเป็นเสียงเซียวยวี่เหยียบใบไม้ จากนั้น หัวงูตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากกองใบไม้ร่วง หันมองไปมา จากนั้นจึงเลื้อยผ่านไป
ตั้งแต่เห็นงูจนงูเลื้อยผ่านไป เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่เซี่ยยวี่หลัวกลับรู้สึกราวกับเวลาผ่านไปทั้งชีวิต
นางตกใจจนร่างกายแข็งทื่อ ตัวแข็งเกร็ง สุดท้ายก็มุดศีรษะไปตรงคอเซียวยวี่ ไม่กล้ามองไปบนพื้นอีก
เซียวยวี่ก็เห็นแล้วเหมือนกัน
เมื่อเห็นคนข้างหลังตัวสั่นอย่างรุนแรง เซียวยวี่ก็รู้สึกหวาดผวาเช่นกัน ตรงคอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเซี่ยยวี่หลัว เซียวยวี่ปลอบโยนเสียงเบาไม่หยุด “ไม่ต้องกลัว เลื้อยไปแล้ว ไม่ต้องกลัว”
เขาแบกเซี่ยยวี่หลัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว จวบจนเดินออกจากผืนป่า เซียวยวี่ยังไม่ปล่อยนางลง ยังคงแบกเซี่ยยวี่หลัวเดินต่อไป
เซี่ยยวี่หลัวกลัวงู
นางโอบรัดคอของเซียวยวี่ไว้แน่น ในห้วงความคิด มีเพียงงูที่เลื้อยผ่านไปเมื่อครู่ รวมถึงหัวงูทรงกลมนั่น ถึงแม้จะไม่มีพิษ แต่นางก็ยังกลัว!
เซี่ยยวี่หลัวโอบรัดแน่นขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ตัวนางราวกับเป็นปลาหมึกยักษ์ก็มิปาน โอบรัดเซียวยวี่ไว้แน่น
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเพียงใด เซี่ยยวี่หลัวไม่กลัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว จึงค่อยๆ คลายมือออก พอเห็นว่าเซียวยวี่เดินอยู่บนถนนเส้นใหญ่แล้ว นอกจากนั้น อาจเพราะแบกนางเดินเป็นระยะทางไกลเกินไป หนักเกินไป หน้าผากของเซียวยวี่มีเหงื่อซึมชื้น เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกเก้อเขินทันที “คือ เจ้าปล่อยข้าลงเถอะ! ”
เซียวยวี่ขานตอบทีหนึ่ง หยุดฝีเท้า คลายมือออก เซี่ยยวี่หลัวลงจากหลังของเขา “เมื่อครู่ เจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอด เพราะเจ้าเห็นงูใช่หรือไม่? ”
ระหว่างช่วงที่เดินออกมา เซี่ยยวี่หลัวคิดมาตลอด เซียวยวี่ที่เป็นคนรักสะอาดถึงเพียงนั้น จะทนให้นางถ่ายเบาอยู่ข้างๆ ได้อย่างไร
ในภายหลังได้เห็นงู นางจึงเข้าใจทันที เซียวยวี่ต้องเห็นว่ามีงูเป็นแน่ เกรงว่านางจะกลัวงู ดังนั้นจึง…
และแล้ว เซียวยวี่ก็ขานตอบ ถือว่ายอมรับ
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกขอบคุณยิ่งนัก “คือ ขอบคุณเจ้ามาก”
เซียวยวี่มองเซี่ยยวี่หลัว ก่อนสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า “กลับบ้านกันเถอะ! ”
เซี่ยยวี่หลัวตามอยู่ข้างหลังเซียวยวี่ ตามเซียวยวี่ไปติดๆ เมื่อเดินผ่านหลุมบ่อเป็นครั้งคราว เซียวยวี่จะเดินช้าลงทุกครั้ง เซี่ยยวี่หลัวเดินตามอยู่ข้างหลังในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป ไม่ได้เดินตามติด ทิ้งระยะห่างสองหมี่อยู่ตลอด แต่หากนางเดินเร็วขึ้นสองก้าว ก็จะตามทันฝีก้าวของเซียวยวี่
เซี่ยยวี่หลัวมองเงาแผ่นหลังสูงตระหง่านตรงหน้าด้วยอาการเหม่อลอย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า ท่านราชบัณฑิตน้อยไม่ได้น่าสะพรึงกลัวเหมือนที่เขียนไว้ในนิยาย
ทั้งยังน่ารักมากทีเดียว
เซี่ยยวี่หลัวส่งเสียงหัวเราะพรืด เดินเร็วขึ้นสองก้าวพร้อมเรียกเซียวยวี่ให้หยุด “ข้าหยิบของก่อน”
ตั้งแต่เซี่ยยวี่หลัวถ่ายเบา เซียวยวี่ก็เป็นคนคอยถือและสะพายตะกร้ามาตลอด
เซี่ยยวี่หลัวปลดตะกร้าสะพายลง หยิบสิ่งของสองไม้ออกมาจากด้านใน ยื่นส่งไม้หนึ่งให้เซียวยวี่ “กินหรือไม่? ”
เซียวยวี่มองดูสิ่งของในมือเซี่ยยวี่หลัว นั่นเป็นปิงถังหูหลู่สีแดงหนึ่งไม้ ซานจาด้านในเป็นรสเปรี้ยว น้ำตาลสีแดงที่เคลือบอยู่ด้านนอกหวานจนฟันแทบหลุด
ตอนเด็กเซียวยวี่เคยกินเจ้าสิ่งนี้ ในภายหลังไม่เคยได้กินอีก
ประการแรกเพราะรู้สึกว่าหวานเกินไป ประการที่สองเพราะไม่มีคนซื้อให้เขากินอีก
นั่นเป็นสิ่งของที่ผู้ใหญ่ใช้เอาใจเด็ก
เซี่ยยวี่หลัวหยิบปิงถังหูหลู่ ยื่นส่งไปตรงหน้าเซียวยวี่ “เจ้านี่อร่อย”
เซียวยวี่รับมา เม้มริมฝีปากแย้มรอยยิ้ม ก่อนเริ่มกัดกิน
กัดไปคำแรก เซียวยวี่รู้สึกว่าหวานจนฟันแทบหลุด เมื่อกินเป็นคำที่สอง ภายในใจราวกับเต็มไปด้วยน้ำผึ้ง หวานไปทั้งตัว
ความจริงเซี่ยยวี่หลัวก็ไม่ชอบกินอาหารรสหวาน นางรู้สึกว่ากินอาหารรสหวานเลี่ยนแล้วไม่สบายคอ เพียงแต่ไม่ได้กินมานาน กินเป็นครั้งคราว เพื่อเปลี่ยนรสชาติบ้าง
ปิงถังหูหลู่นี่หวานยิ่งนัก ภายในยังมีซานจารสเปรี้ยว ซานจาในยามนี้ยังเป็นชนิดที่ขึ้นตามธรรมชาติ สภาพแวดล้อมก็ดี ไม่ต้องกังวลว่าจะมีฝุ่นผงหรือยาฆ่าแมลง เซี่ยยวี่หลัวกินอย่างเอร็ดอร่อย
เซียวยวี่หันมองเซี่ยยวี่หลัวเป็นครั้งคราว เห็นนางกินปิงถังหูหลู่อย่างอิ่มเอมใจ สีหน้ามีความสุข
นางช่างพึงพอใจได้ง่ายเสียจริง แค่ปิงถังหูหลู่หนึ่งไม้ยังสามารถยิ้มอย่างมีความสุขได้ถึงเพียงนี้
กลับถึงบ้าน เด็กสองคนเปิดประตูให้พวกเขาเข้าบ้านอย่างดีอกดีใจ
เมื่อเซี่ยยวี่หลัวล้างมือเสร็จ เด็กสองคนจึงไปรื้อดูตะกร้าที่เซี่ยยวี่หลัวนำกลับมา
ภายในตะกร้ามีข้าวของไม่น้อย ด้านบนสุดคือขนมและปิงถังหูหลู่ เซี่ยยวี่หลัวแบ่งอาหารให้เด็กสองคน
ตัวนางเข้าห้องครัวไปเตรียมอาหารเที่ยง
นางซื้อหัวใจหมูและปอดหมูมา ตอนเที่ยงย่อมต้องต้มน้ำแกงหัวใจหมูและปอดหมู
หัวใจหมูเตรียมได้ง่าย ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นใส่ลงไปในหม้อแล้วเริ่มตุ๋นได้ทันที ส่วนปอดหมูนั้นจัดการค่อนข้างลำบาก
ปอดหมูสกปรกมาก ต้องชำระล้างให้สะอาดซ้ำหลายครั้ง
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ยากเกินความสามารถของเซี่ยยวี่หลัว ตอนเป็นบล็อกเกอร์อาหารรสเลิศ นางเคยเห็นอาหารแปลกประหลาดมามากมาย นอกจากนั้น ปอดหมูผัดพริก เป็นอาหารโอชารสทีเดียว!
เซี่ยยวี่หลัวเติมน้ำจนเต็มปอดหมู จากนั้นจึงเทน้ำจำนวนหนึ่งลงไปในหม้อ ใส่ปอดหมูลงไป ให้น้ำท่วมปอดหมู จากนั้นใช้ไฟอ่อนต้มช้าๆ ปล่อยหลอดลมหมูไว้นอกหม้อ ใช้ถาดวางรองเลือดด้านนอก เมื่อน้ำเดือดแล้ว หลอดลมของหมูก็จะคายสิ่งของที่คล้ายกับฟองออกมาเป็นระลอก
รอจนหลอดลมหมูไม่มีฟองออกมาอีก เซี่ยยวี่หลัวจึงนำปอดหมูออกมา ชะล้างด้วยน้ำเกลือเจือจางอย่างต่อเนื่อง เมื่อล้างจนน้ำสะอาดมากแล้ว ถึงจะถือว่าล้างเสร็จ
เซี่ยยวี่หลัวหั่นปอดหมูออกมากึ่งหนึ่ง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ใส่ลงไปในน้ำแกงหัวใจหมู ต้มต่อด้วยไฟแรง หลังจากต้มจนเดือด จึงเคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อน
เตรียมน้ำแกงหัวใจหมูและปอดหมูเสร็จ เด็กสองคนทำตามคำสั่งของเซี่ยยวี่หลัว เด็ดพริกและถั่วฝักยาวมาจำนวนหนึ่ง เมื่อเซี่ยยวี่หลัวหั่นปอดหมูเสร็จ อีกด้านหนึ่งก็ล้างพริกและถั่วฝักยาวเสร็จแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวหั่นพริกเสร็จ จึงเริ่มผัดอาหารทันที
อุ่นกระทะ อุ่นน้ำมัน เทหัวหอม ขิง และกระเทียมลงไป เจียวจนหอม หลังจากกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ก็ใส่ปอดหมูที่หั่นไว้ ผัดด้วยไฟแรง ก่อนใส่พริกแล้วผัดต่อ เซี่ยยวี่หลัวเลือกแต่พริกที่มีสีเข้ม พริกประเภทนี้เผ็ดมาก ผัดเพียงสองที กลิ่นฉุนก็ลอยตลบอบอวลเต็มห้อง
เซี่ยยวี่หลัวจามทีหนึ่ง
เซียวยวี่ที่กำลังอ่านตำราอย่างตั้งใจอยู่ในห้องหนังสือวางตำราลง เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเซี่ยยวี่หลัวจาม
กลิ่นฉุนเผ็ดของพริกลอยอยู่ในอากาศ เซียวยวี่วางตำราลง ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
นางคงรู้สึกเหม็นฉุนจนน้ำมูกน้ำตาไหลนองอีกเป็นแน่