เล่มที่ 10 บทที่ 273 เหตุใดเขาถึงไม่สอบให้ดีขึ้นหน่อย

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

กลิ่นฉุนจนเซี่ยยวี่หลัวตาแดง รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่ชุบน้ำจนเปียกมาเช็ดตา มือขวายังคงผัดอาหารในกระทะต่อ มือซ้ายใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกตลอด ไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไร

เติมเกลือเพื่อปรุงรสก่อนจะตักขึ้นจากกระทะ ผัดอาหารอย่างแรกเสร็จแล้ว

เซียวจื่อเซวียนเห็นว่าตักขึ้นจากกระทะแล้ว จึงรีบยกไปยังห้องโถง

กลิ่นฉุนเกินไป เซียวจื่อเซวียนก็จามไปหลายครั้งเช่นกัน

เซียวจื่อเซวียนยกอาหารออกมา ก็เห็นพี่ใหญ่ของตัวเองเดินมาจากฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว “พี่ใหญ่ อาหารยังไม่เสร็จขอรับ”

เขานึกว่าเซียวยวี่ออกมาเพื่อกินอาหาร “ท่านกลับไปอ่านตำราก่อน เสร็จแล้วข้าจะไปเรียกท่านขอรับ”

“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าผัดพริกอีกแล้ว? ” เซียวยวี่ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม

เซียวจื่อเซวียนยกอาหารในมือขึ้น “อืม ใช่ขอรับ พี่ใหญ่ได้กลิ่นแล้วใช่หรือไม่ขอรับ? หอมมากทีเดียว ท่านดูสิขอรับ ปอดหมูผัดพริก”

เซียวยวี่ไม่เคยกินปอดหมูมาก่อน “ปอดหมู? ”

“พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าปอดหมูอร่อยมากทีเดียว เห็นว่าปอดหมูมีสรรพคุณลดการอักเสบล้างพิษ บำรุงธาตุหยินและปอดขอรับ” เซียวจื่อเซวียนยิ้มพร้อมกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าท่านชอบกินอาหารรสเผ็ด จึงทำปอดหมูผัดพริกให้ท่าน ทั้งยังตุ๋นน้ำแกงหัวใจหมูและปอดหมูหนึ่งหม้อ บอกว่าจะช่วยให้พวกเราคลายร้อน แก้ร้อนในขอรับ”

เซียวยวี่มองดูอาหารในมือเซียวจื่อเซวียน พริกหยวกสีเขียว กลีบกระเทียมสีขาว แผ่นขิงสีเหลือง ยังมีปอดหมูสีเทา แค่มองดูสีสัน ก็ทำให้น้ำลายไหลอย่างอดไม่ได้

เขาชอบกินอาหารรสเผ็ด

ทั้งยังเป็นอาหารที่เซี่ยยวี่หลัวทำกับมือ

ภายในใจเซียวยวี่รู้สึกดีใจเล็กน้อย กลับเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบสงบ “หลังจากนี้ยังมีอาหารที่ใส่พริกอีกหรือไม่? ”

เซียวจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าตอนเที่ยงผัดถั่วฝักยาวอีกอย่างก็พอแล้ว”

“ถั่วฝักยาวใส่พริกหรือไม่? ”

“ไม่ใส่ขอรับ เป็นอาหารของจื่อเมิ่ง พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ใส่พริกขอรับ”

เซียวยวี่ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ไม่มีพริกก็ดี

เห็นพี่ใหญ่ทำท่าทางเหมือนจะผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก เซียวจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไปขอรับ? ”

ด้วยเกรงว่าเซียวจื่อเซวียนจะดูออกว่าตนเองคิดอะไรอยู่ เซียวยวี่รีบหันกลับไปยังห้องตัวเอง “ไม่มีอะไร ข้าไปอ่านตำราก่อน”

เซียวจื่อเซวียนเกาศีรษะ รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก

พี่ใหญ่มาทำอะไรกัน?

เพื่อถามว่ายังจะผัดพริกอีกหรือไม่?

หลังจากกลับไป เซียวจื่อเซวียนบอกเล่าเรื่องของพี่ใหญ่ของเซี่ยยวี่หลัวฟัง

เซี่ยยวี่หลัวหั่นหมูเนื้อแดงมาชิ้นหนึ่ง กำลังหั่นเป็นแผ่นบาง กลิ่นฉุนเผ็ดในห้องครัวกระจายหายไปไม่น้อย ได้ยินเซียวจื่อเซวียนบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจนัก มีดในมือเซี่ยยวี่หลัวพลันหยุดชะงัก

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า พี่ใหญ่ของเจ้าถามว่ายังจะผัดพริกอีกหรือไม่? ”

“ขอรับ คาดว่าพี่ใหญ่อยากกินพริก ข้าจึงบอกว่าผัดพริกไว้อย่างหนึ่ง หลังจากนี้ไม่มีแล้ว” เซียวจื่อเซวียนนึกว่าเซียวยวี่ถามด้วยความอยากกิน

เซี่ยยวี่หลัวก้มหน้าลง สติเลื่อนลอยไปไกล

นางครุ่นคิดวาจาที่เซียวจื่อเซวียนกล่าวเมื่อครู่อย่างตั้งใจ หวนคิดถึงครั้งก่อนตอนที่นางอยู่ในห้องครัวเหม็นฉุนจนจามไม่หยุด เซียวยวี่ก็พุ่งพรวดมาแย่งตะหลิวของนางไป และให้นางออกไปด้านนอก

หรือว่า เซียวยวี่ได้ยินเสียงจามของนาง จึงเดินมาดู เมื่อเห็นว่ายกอาหารออกไปแล้ว และเห็นว่าไม่มีอาหารที่ใส่พริกอีก จึงกลับห้องไป?

เซี่ยยวี่หลัวตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย เซียวจื่อเซวียนเอ่ยเรียกอยู่หลายครั้ง จึงเรียกสติของเซี่ยยวี่หลัวคืนกลับมาได้

“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไปขอรับ? ข้าเรียกท่านหลายครั้งแล้ว”

“หา? อะไรหรือ? ” เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

“พี่สะใภ้ใหญ่ มีควันลอยออกจากน้ำมันแล้วขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกล่าวอย่างร้อนรน

เซี่ยยวี่หลัวหันมองไปในกระทะ มีควันลอยออกจากน้ำมันแล้วจริงๆ น้ำมันเดือดแล้ว

หยิบจานขึ้นมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน เทเนื้อหมูที่หมักไว้ในจานลงไป เกิดเสียง “ซ่า” ดังขึ้น ควันลอยฟุ้งขึ้นมา ก่อนจะผัดด้วยอาการลุกลี้ลุกลนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตักใส่ไว้ในจาน เทน้ำมันใส่กระทะเพิ่มอีกเล็กน้อย เทถั่วฝักยาวที่ล้างและหักเสร็จแล้วลงไปผัดในกระทะ

ถั่วฝักยาวนั้นไม่ต้องเติมน้ำ หากเติมน้ำ ถั่วฝักยาวจะสุกได้ยาก ต่อให้ต้มจนสุก ก็แทบเปื่อยแล้ว รสสัมผัสไม่ดี

ถั่วฝักยาวที่ผัดด้วยน้ำมันเป็นสีเขียวมรกต เหมือนสีตอนเพิ่งเด็ดลงมา นอกจากนั้น รสสัมผัสก็ดีเป็นพิเศษ

ผัดถั่วฝักยาวเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวเทเนื้อหมูที่ผัดไว้เมื่อครู่ลงไปในกระทะผัดรวมกัน หลังจากสุกแล้วจึงเติมเกลือเพื่อปรุงรส ก่อนตักขึ้นจากกระทะ

ผัดผักเสร็จแล้ว น้ำแกงหัวใจหมูและปอดหมูในหม้อใหญ่ด้านในก็ต้มเสร็จแล้ว เซี่ยยวี่หลัวเติมเกลือเล็กน้อย ลองชิมรสชาติ รสชาติทั้งหอมอร่อยทั้งสดใหม่ เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง “เอาล่ะ ต้มเสร็จแล้ว กินข้าวได้! จื่อเมิ่ง ไปตามพี่ใหญ่มากินข้าว”

เซียวจื่อเมิ่งบอกว่าได้เจ้าค่ะ ก่อนจะวิ่งออกไปด้านนอก ไปตามเซียวยวี่มากินข้าว

เซี่ยยวี่หลัวและเซียวจื่อเซวียน คนหนึ่งยกอาหาร อีกคนยกข้าวและชาม ทั้งสองคนนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว ชามกับตะเกียบก็วางไว้แล้ว

เซียวยวี่ล้างมือเสร็จจึงเดินมา

ทั้งสี่คนนั่งลงตามตำแหน่งที่นั่งเป็นประจำ

เซียวยวี่มองดูอาหารในวันนี้ ผัดถั่วฝักยาวใส่หมู ปอดหมูผัดพริก ยังมีน้ำแกงหัวใจหมูและปอดหมู

ตอนเพิ่งมา จื่อเมิ่งบอกเขาแล้ว ว่าปอดหมูนั้นล้างได้ยากมาก พี่สะใภ้ใหญ่ใช้เวลาไปมากทีเดียว

เขาไม่เคยกินปอดหมู แต่ก็รู้ว่าของอย่างปอดนั้นสกปรกยิ่งนัก หากคิดจะทำเป็นอาหาร ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเป็นแน่

แววตาของเขาฉายประกายแปลกประหลาดอย่างที่เขาเองก็ไม่ทันสังเกต เป็นความตื้นตัน ความชื่นชอบ ความเห็นใจ หรืออาจเป็นความรู้สึกอื่น เขาไม่ทันรู้ตัว

เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่เห็นเช่นกัน นางไม่ได้ดื่มน้ำแกงหัวใจหมูและปอดหมูมานานแล้ว ตอนนี้ต้มไว้หนึ่งหม้อ ย่อมต้องให้คนในครอบครัวกินอาหารอย่างมีความสุข

นางตักน้ำแกงให้ทุกคนหนึ่งชามใหญ่ ในชามนอกจากน้ำแกงแล้ว ยังมีหัวใจหมูและปอดหมูอีกกว่าครึ่งชาม นางเองก็ตักหนึ่งชาม ก่อนกล่าวอย่างดีอกดีใจ “กินข้าว กินข้าว”

เด็กสองคนยังไม่เคยดื่มน้ำแกงหัวใจหมูและปอดหมูมาก่อน อยู่ในห้องครัวมาตลอด ได้กลิ่นก็รู้สึกอยากกินมาก ตอนนี้ได้กินแล้ว จึงรีบยกขึ้นมาดื่ม

เซี่ยยวี่หลัวตกใจจนต้องรีบกล่าวกำชับ “ระวังลวกปาก! ”

เด็กสองคนได้ฟังดังนั้นจึงเป่าอยู่หลายที ก่อนดื่มด้วยความระมัดระวัง

หัวใจหมูและปอดหมู มีความแตกต่างจากน้ำแกงเนื้อหมูและน้ำแกงกระดูกหมู

น้ำแกงไม่มันมากนัก กลับมีกลิ่นและความสดชื่นเฉพาะตัว อร่อยเป็นพิเศษ

“พี่สะใภ้ใหญ่ น้ำแกงนี่อร่อยเหลือเกินขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกินหัวใจหมูหนึ่งชิ้น หัวใจหมูเหนียวนุ่มสู้ฟัน ส่วนปอดหมูกลับตุ๋นจนเปื่อย แต่หากปอดหมูชิ้นใดมีส่วนหลอดลมสีขาว ปอดหมูชิ้นนั้นก็จะมีเสียงกรุบกรุบตอนเคี้ยว “หัวใจหมูก็อร่อย ปอดหมูก็อร่อยขอรับ”

เซียวจื่อเมิ่งก็ชอบกิน “พี่สะใภ้ใหญ่ อร่อยมากเจ้าค่ะ”

“อร่อยก็กินมากหน่อย” เซี่ยยวี่หลัวตักหัวใจหมู ปอดหมู และน้ำแกงเพิ่มให้เด็กสองคนอีกคนละหนึ่งช้อน “หัวใจหมูและปอดหมูล้วนมีสรรพคุณคลายร้อน ถึงฤดูร้อนแล้ว ทั้งร้อนทั้งอบอ้าว กินหัวใจหมูและปอดหมูเพื่อคลายร้อนแก้ร้อนใน”

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว

เวลานี้เอง เซียวยวี่ที่นั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้น มองดูเซี่ยยวี่หลัวที่อยู่ตรงข้าม หัวใจหมูและปอดหมูสามารถคลายร้อนแก้ร้อนในได้?

ครั้งก่อนเซี่ยยวี่หลัวทำสบู่ดอกจินหยิน นางก็บอกว่ามีสรรพคุณคลายร้อนลดความแห้งกร้าน ทั้งสองอย่างล้วนเป็นอาหารที่มีสรรพคุณทางยา หรือว่าเซี่ยยวี่หลัวจะรู้หลักการใช้ยา?

การจะรู้หลักการใช้ยา ก่อนอื่นต้องเข้าใจลักษณะของอาหารอย่างชัดเจน ทั้งยังต้องรู้หลักการรักษา เข้าใจทั้งสองส่วนอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงจะใช้ได้อย่างอิสระ

ในอดีตท่านตาของนางเคยบอกว่า เพราะนางสุขภาพไม่ดี ดังนั้นจึงทำอะไรไม่เป็นแม้แต่อย่างเดียว

ทั้งที่นางในเวลานี้ ทำเป็นทุกอย่าง

ยังมีท่าเตะด้วยเท้าขวาตอนอยู่ในตัวเมือง ที่เตะทีเดียวก็จัดการหัวขโมยได้

ใครจะเตะขาได้สูงถึงเพียงนั้นกัน!

เซี่ยยวี่หลัวในอดีต ถึงแม้จะหน้าตางดงาม แต่เป็นคนหยาบคายไร้มารยาท อ้าปากเป็นต้องกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟัง นั่นเป็นเพราะถูกแม่เลี้ยงของนางสั่งสอนมา ในภายหลัง คิดจะแก้ไขก็ยากมากแล้ว

มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนั้นตั้งแต่เด็ก คิดจะเป็นคนดี ก็หาใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาอันสั้น

เซียวยวี่รู้สึกสงสัยในความรู้ต่างๆ ของเซี่ยยวี่หลัว สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

เซี่ยยวี่หลัวในอดีต ไม่เคยมีความรู้เหล่านี้ เมื่อก่อนเขาไม่ได้ถึงขั้นรังเกียจเซี่ยยวี่หลัว แต่ในภายหลัง ผ่านเรื่องราวมากมาย เขามีเพียงความเกลียดชังต่อเซี่ยยวี่หลัว จวบจนเขากลับมาครานี้ เซี่ยยวี่หลัวที่เปลี่ยนไป ทำให้เขารู้สึกชอบยิ่งนัก นางมักจะทำให้เขามีความสุขอย่างเหนือความคาดหมาย

เซียวยวี่รู้สึกยินดีอยู่ในใจ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยยวี่หลัวแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ภายในใจเริ่มเกิดความกลัว

อีกไม่กี่วัน ก็จะประกาศผลแล้ว…

ครั้งนี้เขาสอบได้ในระดับทั่วไป หรืออาจเรียกได้ว่า แย่กว่าครั้งก่อนๆ เล็กน้อย

คิดจะสอบให้ผ่าน มีโอกาสริบหรี่กว่าหลายครั้งก่อนเสียอีก เขารู้แก่ใจดี เพียงแค่คิดอยากสอบให้ผ่านสักครั้ง เพื่อให้สมดั่งความตั้งใจของตนเองก็เท่านั้น

ความเปลี่ยนแปลงของเซี่ยยวี่หลัว น่าจะเป็นเพราะคิดว่าเขาจะสอบผ่าน ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปกระมัง! หากเขาสอบได้ดี นางก็จะสมปรารถนา แต่หากผลสอบของเขาไม่ดีเล่า?

หากเซี่ยยวี่หลัวผิดหวัง เช่นนั้นนาง…

พอคิดถึงหนังสือหย่าฉบับนั้นที่เขามอบให้เซี่ยยวี่หลัวก่อนออกเดินทาง มือของเซียวยวี่ที่จับตะเกียบอยู่ก็ถึงกับสั่นเทิ้ม

เซียวยวี่หันมองไปทางเซี่ยยวี่หลัวที่อยู่ตรงข้าม

นางคีบอาหารให้เด็กสองคนอย่างอ่อนโยน พูดคุยหัวเราะกับเด็กสองคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เสียงพูดคุยหัวเราะที่เมื่อก่อนไม่เคยมีบนโต๊ะอาหาร บัดนี้กลับเป็นภาพที่เห็นบ่อยที่สุด

มนุษย์นั้นมีความโลภ

เมื่อก่อนไม่มี ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่บัดนี้ได้ลิ้มลองรสชาติของความสุข พอคิดว่าต้องหวนกลับไปใช้ชีวิตอย่างเย็นเยียบเหมือนในอดีต เซียวยวี่ก็เกิดความกลัวขึ้น

รู้สึกกลัวยิ่งนัก

อาหารอร่อยเป็นพิเศษ แทบจะเป็นอาหารอร่อยที่สุดที่เซียวยวี่เคยกินในรอบสิบเจ็ดปี แต่ก็เป็นมื้อที่กินด้วยความอึดอัดใจเป็นที่สุดเช่นกัน

เขารู้สึกนึกเสียใจยิ่งนัก เหตุใดถึงไม่อ่านตำราเพิ่มขึ้นสักสองสามหน้า สอบให้ดีขึ้นอีกหน่อย!