เสี่ยวเชี่ยนเอานาฬิกาวางทาบข้อมือ การออกแบบที่ทำมาอย่างประณีตเข้ากันกับกำไลหยกที่เสี่ยวเฉียงให้
เธอจำได้ว่าสุ่ยเซียนคบกับจูขี้บ่นมานานแล้ว ลองนับเวลาดูก็ควรแต่งงานกันได้แล้ว
จูเต๋อซีเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของหน่วยเดิมของอวี๋หมิงหลาง เนื่องจากลายมือของเขาคล้ายกับอวี๋หมิงหลาง ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนเกือบเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้มีพระคุณไปแล้ว
จูเต๋อซีคนนี้ขี้บ่นมาก อวี๋หมิงหลางจึงตั้งฉายาให้ว่าจูขี้บ่น ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคู่ดูตัวของสุ่ยเซียน
ก่อนหน้านี้สุ่ยเซียนกับเขาไม่สปาร์คกันหรอก เสี่ยวเชี่ยนวางแผนให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน จนสุดท้ายกลายเป็นคู่รัก
จูขี้บ่นกับสุ่ยเซียนก็เคยมีเรื่องราวหวานๆในอดีต ถึงทั้งสองคนจะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน แต่เสี่ยวเชี่ยนก็รู้ว่าสุ่ยเซียนให้ความสำคัญกับเขามาก
สุ่ยเซียนบอกว่าจะรับช่วงต่อธุรกิจของที่บ้าน สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงก่อนเลยก็คือจูขี้บ่น
พอนึกถึงจูเต๋อซี มือของสุ่ยเซียนที่เล่นเกมของเล่นอยู่ก็กดไวขึ้น
“เชี่ยนเอ๋อ ฉันเหลือแค่เธอกับพ่อแล้ว ฉันเลิกกับจูเต๋อซีแล้ว”
“หืม? เลิกแล้ว?” เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตา
ย้อนกลับไปเมื่อสองเดือนก่อน เธอจำได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งพอพูดถึงจูเต๋อซีก็ยิ้มอย่างมีความสุข พอไปเมืองนอกกลับมากำลังจะเปลี่ยนสถานะเป็นบุคคลใหญ่โตกลับมาบอกว่าเลิกกับจูขี้บ่นแล้ว?
“แต่งงานมันเป็นความรู้สึกแบบไหนเหรอ?” สุ่ยเซียนเดินไปที่หน้าต่างมองวิวข้างนอก คนที่อยู่ในนี้เหมือนอยู่กันคนละโลกกับเธอ
“ก็ไม่รู้สึกไงหรอก ไม่ต่างจากเมื่อก่อน ก็แค่มีทะเบียนสมรสเพิ่มเข้ามา ทรัพย์สมบัติไม่ใช่ของคนๆเดียวแล้ว ต้องแบ่งกันสองคน อ้อ แถมยังได้บ้านที่น่าเกลียดมาด้วย ช่วงเวลาต่อจากนี้ฉันยังต้องมานั่งหาวิธีทำให้บ้านดูมีรสนิยมขึ้นมาหน่อยอีก” มีสามีที่รสนิยมตรงกันข้ามกับชาวโลกแบบนี้ปวดหัวแท้
“ฟังดูน่าเบื่อ เธอดูสิ ชีวิตคู่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตอนนี้สถานการณ์ของฉันก็วุ่นวาย ไม่มีอารมณ์คิดเรื่องรักๆใคร่ๆหรอก ไม่อยากแต่งงานก็เลยเลิก”
“เลิกยังไง? บอกต่อหน้าเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนพอจะรู้จักนิสัยของจูขี้บ่นอยู่ เป็นถึงคนทำงานฝ่ายบริหารปกติไม่ใช่คนธรรมดา เธอไม่เชื่อว่าสุ่ยเซียนบอกเลิกแล้วเขาจะยอม
“ก่อนไปเมืองนอกฉันส่งข้อความไปบอกเขาว่าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร เขาไม่ได้ตอบฉัน นี่ก็เดือนกว่าแล้ว เขาคงยอมรับความคิดเห็นของฉันนั่นแหละ”
ดังนั้นตอนนี้สุ่ยเซียนจึงคิดว่าตัวเองเข้าสู่โหมดอกหักแล้ว
ช่วงหลายวันมานี้เธอรู้สึกเคว้งคว้าง มีบางอย่างที่อึดอัดอยู่ในใจแต่ก็พูดไม่ถูก
“คบกับจูขี้บ่นมานานเท่าไรแล้ว?”
“ก็หลายปีแล้วมั้ง”
สุ่ยเซียนรู้สึกว่าตอนจบที่ไร้คำพูดก็คือจุดจบของเธอกับจูเต๋อซี ในใจกลับรู้สึกเสียใจแบบบอกไม่ถูก
เธอพยายามสะกดกลั้นความเสียใจ แล้วอธิบายกับเสี่ยวเชี่ยน
“อยู่ในช่วงอายุไหนก็ย่อมมีความชอบที่ต่างกัน สิ่งที่เคยอยู่กับเราในช่วงเติบโตสุดท้ายวันหนึ่งมันก็จะถูกวางไว้ที่เดิม ไม่มีทางที่จะให้คนอายุยี่สิบเล่นของเล่นเมื่อตอนสามขวบ จะบอกว่าตัวเราเมื่อตอนสามขวบไม่ชอบของเล่นชิ้นนั้นก็ไม่ถูก เพียงแต่ตอนนี้มันไม่เหมาะกับเราแล้ว ฉันคิดว่าฉันเคยชอบเขาจริงจัง แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว”
ด้วยสถานะของสุ่ยเซียนทำให้เธอไม่อาจเปิดเผยเรื่องส่วนตัว มีแค่เสี่ยวเชี่ยนเท่านั้นที่เธอจะพูดความรู้สึกด้วยได้
เสี่ยวเชี่ยนไม่ปฏิเสธความคิดของเธอที่ดูเป็นผู้ใหญ่
“ความสัมพันธ์คนเรามันซับซ้อน คำพูดตัดเยื่อใยที่พูดตอนอยู่กันคนละที่เป็นสิ่งที่เธอคิดเอาเองฝ่ายเดียว”
“ฉันอกหักแล้วนะ เธอจะไม่ปลอบหน่อยเหรอ?” สุ่ยเซียนคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนจะจัดคอร์สปลอบใจเธออย่างหนักหน่วงให้เสียอีก
“จะให้ปลอบอะไร? เรื่องความรักนอกจากตัวเธอแล้วใครจะเข้าใจ? ตอนนี้เธอเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง รอเจอจูขี้บ่นก่อน ความคิดของเธอก็จะเปลี่ยนไป ฉันพูดอะไรไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า เกิดฉันด่าเขาพอพวกเธอคืนดีกันฉันก็หมาสิ เธออยากระบายฉันก็จะฟัง แต่อย่ามาคาดหวังว่าจะให้ฉันแสดงความคิดเห็นที่โจมตีเขา”
ผู้หญิงที่มีความรักไม่ต่างอะไรกับคนบ้า เมื่อกี้บอกว่าจะหัวเด็ดตีนขาดไงก็เลิก แต่พักเดียวพอผู้ชายปรากฏตัวก็คืนดีกันซะงั้น คนนอกพูดอะไรไปกลับกลายเป็นหมาหัวเน่า เสี่ยวเชี่ยนไม่เอาด้วยหรอก
“เธอจะบอกว่าฉันเลิกไม่จริงงั้นเหรอ? ฉันจริงจังนะ ฉันส่งข้อความไปแล้ว เขาไม่ยอมตอบกลับ ฉันก็เลยคิดว่าเขายอมรับแล้ว”
“ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เธอคิดไปเองคนเดียว”
ตกลงว่าควรเดินหน้าต่อหรือถอยหลังกลับ สุ่ยเซียนรู้สึกเคว้งคว้าง เดิมคิดว่าประธานเชี่ยนจะช่วยเสนอความคิดเห็นดีๆได้ แต่ประธานเชี่ยนที่เคยเป็นฝ่ายสนับสนุนเธอมาตลอดกลับเอาแต่เงียบ
“ฉันกับจูเต๋อซีก่อนหน้านี้ก็ยังโอเคกันอยู่ แต่ช่วงหลายเดือนมานี้เขาชอบหายตัวไปบ่อยๆ ติดต่อเขาไม่ได้ ฉันเลยคิดว่าเขาคงเบื่อฉันแล้ว ฉันก็…เบื่อเหมือนกัน”
สุ่ยเซียนพูดด้วยความเจ็บปวด แต่ประธานเชี่ยนกลับสนุก
“คำพูดแบบนี้เธอหลอกตัวเองยังไม่ได้ แล้วคิดว่าจะหลอกฉันได้เหรอ?”
เหอเหอตัวโตๆ
สุ่ยเซียนไม่ใช่ผู้หญิงที่ขาดผู้ชายแล้วจะอยู่ไม่ได้ แต่ละวันเธอมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมาย ก่อนหน้านี้ตอนที่จูขี้บ่นยังต้องทำงานกับอวี๋หมิงหลางก็หายตัวกันไปบ่อยๆ ไปทีก็หลายเดือนไม่มีข่าวคราว หลายปีที่ผ่านมาสุ่ยเซียนยังไม่เบื่อ แล้วนี่มาบอกเบื่อ คิดจะหลอกใคร?
“ฉันจริงจังนะ! ไม่ได้ล้อเล่น! ฉันอยากเลิกนานแล้ว เขาไม่เหมาะกับฉัน จูจี้ขี้บ่น น่ารำคาญ…”
เสี่ยวเชี่ยนฟังสุ่ยเซียนว่าจูขี้บ่น อยู่ๆก็นึกถึงเสี่ยวเฉียงขึ้นมา คิดๆแล้วก็ขำ
สุ่ยเซียนพูดไปเรื่อยๆก็ดราม่าน้ำตาไหล คิดจะหาทิชชู่มาเช็ดน้ำตา เสี่ยวเชี่ยนแกล้งเธอโดยเอากระดาษใช้แล้วส่งให้ สุ่ยเซียนกำลังจะเช็ดก็เอะใจ นี่มันกระดาษใช้แล้ว…
“อ้อ โทษที สงสัยนี่คงเป็นกระดาษที่เสี่ยวเฉียงใช้เช็ดตอนตกแต่งบ้านหรือไม่ก็เช็ดส้วมมาน่ะ”
สุ่ยเซียนปากระดาษใส่หน้าเสี่ยวเชี่ยน
“นี่! ฉันกำลังระบายความอัดอั้นตันใจให้เธอฟังนะ เธอมานั่งหัวเราะแบบนี้มันใช่เหรอ!!”
“ฉันแสดงออกชัดมากเลยเหรอ?”
“ไปส่องกระจกสิ! น่าโมโหที่สุดเลย!”
สุดท้ายเสี่ยวเชี่ยนก็ไม่เก็บอาการอีกต่อไป เธอยิ้มกว้างออกมา
“ในเมื่อถูกเธอจับได้แล้วงั้นฉันก็จะไม่เก็บอาการต่อ ใช่ พอฉันเห็นเธอเป็นแบบนี้แล้วฉันก็นึกถึงเรื่องโง่ๆนี่ฉันทำเมื่อก่อน ฮ่าๆๆ ตอนนั้นฉันยังจำได้เลยว่าตัวเองน่าสงสารมาก ตอนนี้มาเห็นเธองอแงเป็นเด็กๆก็เลยนึกถึงตัวเอง ฉันกำลังคิดว่าตอนนั้นฉันอาการเดียวกับเธอหรือเปล่านะ สิ่งที่ปากพูดกับสิ่งที่อยู่ในใจมันคนละเรื่องกันเลย แถมยังคิดว่าตัวเองฉลาดหลอกทุกคนได้อีก จึ๊ๆ”
สุ่ยเซียนยืนขึ้น แล้วเริ่มเอาของที่เสี่ยวเชี่ยนหยิบออกมาจากกระเป๋าเก็บกลับเข้าไป เสี่ยวเชี่ยนรีบเข้าไปห้าม
“ว่าที่บอสใหญ่เจ้าคะ ทำตัวใจแคบแบบนี้ไม่เหมาะนา ให้ของมาแล้วจะเอาคืนได้ไง?”
สุ่ยเซียนชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยนด้วยความโมโห นี่มันใช่คนรู้ใจกันหรือเปล่าเนี่ย!
“ฉันมาหาเธอเพราะอยากให้เธอปลอบ ไม่ได้ให้เธอมาสาดเกลือใส่แผลฉัน! เธอยังเป็นน้องสาวของฉันหรือเปล่าเนี่ย?”
“เดี๋ยวฉันจะทำหน้าที่เพื่อนที่ดีให้เอง ขอรับโทรศัพท์ก่อน!” เสี่ยวเชี่ยนเห็นเบอร์คนที่โทรมาก็ทำมือขอให้สุ่ยเซียนหยุดก่อน
เย่เสียวอวี่โทรมา
“เธอบอกว่าพ่อเธอจะไปขอโทษเวยเวยงั้นเหรอ?”
“ใช่ ได้ยินว่าเมื่อคืนเขาฝันร้ายทั้งคืน วันนี้ทนไม่ไหวแล้ว ทำตัวลุกลี้ลุกลนคิดว่าหมาจะมากัดอยู่เรื่อย
เมื่อสองวันก่อนเย่เสียวอวี่ไปขู่เย่ต้าเชียนโดยพูดตามที่เสี่ยวเชี่ยนบอก เสี่ยวเชี่ยนยังแอบคิดว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นทำเรื่องเลวไว้ตั้งมากมายคงใจเด็ดไม่เบา อย่างน้อยก็น่าจะใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์
แต่นึกไม่ถึงว่า…
ผลที่ได้จะมาไวกว่าที่คิด!