บทที่ 249

จ้านอู่ตี้ฟาดฟันคลื่นปราณออกมา เพื่อสลายการโจมตีของหยวนยู่ ก่อนที่เขาจะเข้าไปคว้าแขนของจ้านอู่ฉาง และเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “รีบถอยเร็ว !”

แม่ทัพใหญ่ของกองทัพศัตรูกำลังจะล่าถอย แล้วมีหรือที่นักล่าทั้งสองจะปล่อยไป ? ว่าแล้วร่างเงาและหยวนยู่ก็ไล่ตามพวกเขาอย่างกระชั้นชิด ก่อนจะเป็นร่างเงาที่ใช้วิชาสลับเงาพุ่งเข้าหาทั้งสองอย่างรวดเร็ว !

โดยไม่ต้องรอให้จ้านอู่ฉางทำการปัดป้อง จ้านอู่ตี้ก็ได้คว้าดาบของตัวเองมาปัดการโจมตีของถังหยินอย่างรวดเร็ว ทั้งยังฉวยโอกาสแทงอีกฝ่ายสวนกลับไปด้วย

ทว่าร่างเงาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการโจมตีนั้นแม้แต่น้อย มันเพียงแค่เอียงศีรษะหลบการโจมตีที่พุ่งเข้าใส่อย่างสบาย ๆ ก่อนจะยกดาบทั้งสองขึ้นแทง โดยมีเป้าหมายเป็นซี่โครงของจ้านอู่ตี้ !

ซึ่งการโจมตีในครั้งนั้น มันก็ทำให้จ้านอู่ตี้โกรธจัด จนเขาชักอยากจะสวนกลับไป หากแต่ก็เป็นจ้านอู่ฉางที่จับแขนและดึงอย่างแรงก่อนจะกล่าวเตือนสติออกมา “อย่าหันกลับไป ตามข้ามา !”

จ้านอู่ตี้ยังคงมีใจที่จะต่อสู้ ทว่าเขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้เป็นพี่ได้ จึงได้แต่วิ่งไปที่ม้า ก่อนเป็นจ้านอู่ฉางที่ขึ้นควบขี่ม้าพร้อมกับผู้เป็นน้อง และพากันมุ่งตรงไปยังด้านหลังของสนามรบ

โดยไม่รอช้า หยวนยู่ที่เห็นแบบนั้น เขาก็พยายามเร่งความเร็วขึ้นอีก ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี !

เมื่อจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ถอยมาอยู่ในระยะปลอดภัยแล้ว พวกเขาก็หันกลับไปส่งสัญญาณบางอย่าง ทำให้พวกทหารหนิงระดับสูงรู้ได้ในทันที “ท่านแม่ทัพสั่งการลงมาแล้ว พวกเจ้า ถอยทัพได้ !”

เสียงตะโกนของพวกเขาดังไปถึงกองกำลังส่วนกลางของกองทัพหนิงอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกทหารที่ได้ยิน เริ่มสูญเสียขวัญกำลังใจในการต่อสู้ พร้อมกับพากันถอยกลับไปข้างหลังในทันทีโดยไม่ต้องให้สั่งซ้ำสอง

แต่ในการต่อสู้ที่มีกำลังทหารมากถึงเพียงนี้ ฝ่ายที่เสียเปรียบจะล่าถอยไปเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?

เมื่อกองทัพหนิงค่อย ๆ ล่าถอยไป พวกเทียนหยวนที่เห็นโอกาส ก็พลันพุ่งทะยานเข้าหาพร้อมดาบและหอกในมือที่จ้วงแทงออกไปไม่หยุด !

ฝั่งหนึ่งวิ่งหนีตาย ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งควบขี่ม้าเข้าฟาดฟัน …ผลลัพธ์ของมันจะเป็นเช่นไร ก็คงไม่ต้องเดาเลยแม้แต่น้อย

แม้ว่าจะมีบางส่วนที่หนีไปได้ หากแต่พวกหนิงที่ล้มลงกับพื้นกลับไม่มีโอกาสเช่นนั้น ด้วยทันทีที่คนเหล่านั้นล้มลง พวกเขาก็จะถูกเหยียบย่ำจากสหายรวมทัพที่หนีตายทันที !

ความพ่ายแพ้ของทหารนับแสน …เป็นดั่งน้ำที่แตกทะลักออกจากเขื่อนที่ไม่อาจหยุดยั้งได้เลย

สองพี่น้องตระกูลจ้านอยู่ข้างหน้าสุด ส่วนคนที่ไล่ตามพวกเขามาติด ๆ ก็คือร่างเงากับหยวนยู่ และที่ไม่ห่างออกไปไกลนัก ก็คือพวกทหารองครักษ์หนิงของจ้านอู่ฉางที่ตามมา พร้อมกับพลธนูของกองทัพ

ร่างเงาของถังหยินและหยวนยู่ยังคงไล่ล่าต่อ ก่อนที่ในเวลานั้นร่างเงาจะทำการกระชากบังเหียนม้าและหยุดการไล่ล่า พร้อมกับหันไปพูดกับหยวนยู่ว่า “หยวนยู่ พอแล้ว หยุดเดี๋ยวนี้ !” ระยะห่างในการควบคุมเงาร่างเงาของถังหยินถึงขีดจำกัดแล้ว และเขาก็กังวลว่าหยวนยู่จะเป็นอันตรายหากไปคนเดียว ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะหยุดการไล่ล่า

“นายท่านเป็นอะไรไป ?” หยวนยู่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาขี่ม้าอย่างกระวนกระวาย ก่อนถอยกลับไปที่ด้านข้างของร่างเงาแล้วพูด “ถ้าเราปล่อยพวกมันออกไปตอนนี้ เราจะไม่มีโอกาสที่จะจัดการกับพวกมันแล้วนะขอรับ !”

แท้จริงแล้วตัวถังหยินเองก็ไม่ต้องการจะปล่อยทั้งสองไป แต่เนื่องจากข้อจำกัดของร่างเงา เขาจึงไม่สามารถไล่ฆ่าสองพี่น้องนั่นได้อีก ชายหนุ่มถอนหายใจ โบกมือและพูดว่า “จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้หนีไปไกลแล้ว แต่ทหารของพวกมันไม่ ไปจัดการถอนรากถอนโคนพวกมันแทนก็แล้วกัน !”

“แต่ข้า…” ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นของถังหยิน มันก็ไม่อนุญาตให้ใครปฏิเสธได้ ดังนั้นหยวนยู่จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องติดตามร่างเงาของผู้เป็นเจ้านายกลับไป

พวกเขาสองคนรีบวิ่งกลับไป ทำให้พวกหนิงที่วิ่งมาจากด้านหลังตกใจอย่างมาก หากแต่พวกเขาก็ไม่มีที่ให้หลบอีก ดังนั้นจึงทำได้เพียงกัดฟันแน่นและพุ่งไปที่ร่างเงากับหยวนยู่

ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ก็เป็นหยวนยู่ที่ปลดปล่อยปราณคลั่งอันเป็นทักษะการต่อสู้ชั้นยอดออกมา

เขาไม่สามารถติดตามจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ได้อีก ทำให้ชายเลือดร้อนรู้สึกอัดอั้น และต้องการจะระบายความโกรธทั้งหมดลงกับพวกหนิงที่ตามหลังมา !!

ทันทีที่คลื่นพลังปราณพัดผ่าน ทั้งสนามรบก็เต็มไปด้วยแขนขาที่หักและซากม้าล้มตาย เช่นเดียวกับโลหิตสีแดงฉานที่ออกมารวมตัวกันเหมือนพรมแดงขนาดใหญ่ เข้าย้อมพื้นที่โดยรอบเอาไว้สิ้น

ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ทหารหนิงกว่า 2 ร้อยนายก็พลันถูกสังหาร และแม้ว่าพวกหนิงที่เหลือจะตกใจกับภาพที่เกิดขึ้น หากแต่พวกเขาก็ยังคงกัดฟันและพุ่งไปข้างหน้าต่อ ด้วยทางตรงหน้ามันเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้นที่พวกเขามี !

ร่างเงาและหยวนยู่ทำการปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของพวกหนิง ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนเทพแห่งความตาย ที่สังหารเหยื่อทุกคนที่ผ่านมา เปลี่ยนให้บริเวณโดยกลายเป็นเนินเล็ก ๆ ที่ใช้ซากศพของพวกหนิงเป็นฐานรอง !

การต่อสู้ดำเนินไปตั้งแต่เช้ามืดจนถึงค่ำ และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงในเวลากลางคืนนี้นี่เอง

ขณะที่พวกเขากำลังเก็บกวาดสนามรบ สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือซากศพที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว มีทั้งชุดเกราะ และอาวุธที่กระจายเต็มไปหมด และเนื่องจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นของพวกหนิง ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่สามารถกลับไปที่ค่ายได้อีก จนทำให้เสบียงอาหารที่อยู่ภายในค่ายตกเป็นของกองทัพเทียนหยวนไปโดยปริยาย

ซึ่งมันก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะครั้งนี้พวกเขายังได้รถม้ามาอีกหลายสิบคัน กับชุดเกราะอีกจำนวนนับไม่ถ้วน

หลังจากทำการเก็บกวาดเสร็จสิ้น พวกเขาก็พบว่าผู้ที่บาดเจ็บล้มตายในฝั่งของพวกตนนั้นอยู่ที่ราว ๆ 8 หมื่นนาย ในขณะที่พวกหนิงไม่อาจทราบได้ถึงจำนวนผู้บาดเจ็บ ทว่าแค่จากซากศพบนพื้น มันก็มีมากกว่าแสนร่างแล้ว !

อันที่จริงการสูญเสียของกองทัพหนิงนั้นใหญ่กว่าที่กองทัพเทียนหยวนคำนวณไว้มาก เพราะเมื่อจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้หยุดหลบหนี มันก็มีทหารเพียงไม่กี่พันนายเท่านั้นที่เหลืออยู่

ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นาน จะมีทหารหนิงทยอยกันกลับมาเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดก็มีทหารเพียง 2 แสนนายเท่านั้นที่กลับมา ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว

และนอกจากพวกหนิงที่ว่าแล้ว ทหารกว่าอีก 2 แสนนายของพวกหนิงก็ได้หายไป โดยไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาเสียชีวิตจากการสู้รบหรือหนีไปอย่างไร้ร่องรอยกันแน่

การต่อสู้ในครั้งนี้ ทำให้กำลังทหารกว่า 4 แสนของจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้หายไปกว่าครึ่ง ส่วนที่รอดมาได้ ส่วนใหญ่ก็ได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจสู้ได้อีก

ภาพตรงหน้าทำให้จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ต่างก็พูดไม่ออก ด้วยนับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นหนิงมา มันก็ไม่เคยมีสงครามครั้งไหนที่ต้องเสียกำลังทหารไปมากถึง 2 แสนนาย !

ในฐานะแม่ทัพใหญ่ จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้สมควรถูกตำหนิ และจนถึงตอนนี้ จ้านอู่ฉางก็ยังไม่กล้าที่จะเชื่อ ว่ากองทัพของพวกเขาจะได้รับความพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชเช่นนี้กลับมา

ความล้มเหลวของจ้านอู่ฉางไม่ใช่เพราะเขาไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะเขาประมาทมากเกินไป

เขาประเมินความแข็งแกร่งของกองทัพเทียนหยวนต่ำไป และประเมินความแข็งแกร่งของกองทัพหนิงมากเกินไป ถึงรูปแบบการยิงธนูของพวกหนิงนั้นน่าประทับใจ แต่พวกทหารก็ไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด

นอกจากนี้ เนื่องจากข้อมูลที่ไม่เอื้ออำนวยของพวกหนิง ทำให้พวกเขาไม่รู้เลยว่า ‘ทหารม้าเกราะหนักของเบสซ่า’ ได้เข้าร่วมกองทัพเทียนหยวนด้วย จนพานทำให้พวกเขาไม่สามารถรับมือได้และหลังจากที่ทหารม้าเกราะหนักได้เข้าสู่การต่อสู้อย่างกะทันหัน ทุกอย่างก็กลายเป็นแย่ไปหมด

ซึ่งมันก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะยังมีการซุ่มโจมตีจากทหารม้าเกราะเบานั่นอีก !

หลังจากจบศึกนี้ จ้านอู่ฉางก็ได้ทำการเขียนรายงานกลับไปยังเมืองหลวง เพื่อรายงานให้อ๋องแห่งแคว้นหนิงทราบถึงความพ่ายแพ้และรายละเอียดโดยรวมของการรบ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะในท้ายของรายงาน จ้านอู่ฉางก็ได้เขียนสอบถามไปด้วยว่า พวกเขานั้นควรจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อปกป้องเมืองหยาน และอ๋องหุ่นเชิดซ่งเทียน จากกองทัพเทียนหยวนหรือไม่

เมื่อกองทัพเทียนหยวนสามารถฆ่าซ่งเวิน และได้รับชัยชนะเหนือกองทัพหนิงแบบนี้ มันก็ย่อมจะทำให้พวกเขามีขวัญกำลังใจ และแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยมันจะทำให้พวกเฟิงมีความหวัง และพากันมารวมตัวที่เทียนหยวน เช่นเดียวกับเสียงต่อต้านซ่งเทียนที่จะดังขึ้นไปอีก จนยากที่อีกฝ่ายจะปกครองแคว้นเฟิงได้อย่างราบรื่น

ยิ่งพวกเขาต่อสู้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะขาดกำลังคนมากขึ้นเท่านั้น ทว่ายิ่งพวกเขาต่อสู้และได้รับชัยชนะมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้พวกเขากลายเป็นที่น่าดึงดูดใจของผู้คนมากขึ้นเท่านั้น

เพียงไม่นานหลังจากนั้น กำลังพลของถังหยินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีจำนวนมากถึง 5 แสนนายแล้วในตอนนี้ และหลังจากจำนวนคนเพิ่มขึ้น ถังหยินก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำการปรับปรุงกองพันต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา

มูฉิงยังคงเป็นผู้นำทัพปิงหยวน ที่มีกำลังพลอยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด 10 กองพัน ในขณะที่กองทัพชานชุยที่นำโดยเหลียงฉีและไป่หยงได้ถูกขยายเป็น 15 กอง นอกจากนี้ ถังหยินก็ยังทำการย้ายเปิงเฮาฉูจากกองกำลังหลัก ไปยังกองทัพฉีเฟิง โดยให้อีกฝ่ายเป็นรองผู้บัญชาการเพื่อช่วยหลีเว่ยในการดูแลกองทัพ

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ทำให้กองกำลังภายใต้การบังคับบัญชาของถังหยินลดลงเหลือเพียง 10 กองพันเท่านั้น ซึ่งทั้ง 10 กองพันที่ว่าก็อยู่ภายใต้คำสั่งของกู่เยว่ โดยปล่อยให้ตำแหน่งรองผู้บัญชาการว่างลงชั่วคราวไปก่อน