บทที่ 250

กำลังพลของชานชุยและ ฉีเฟิงได้ขยายเป็น 1 แสน 5 หมื่นนาย ทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาใกล้เคียงกับกองทัพปิงหยวนที่มีกำลังพล 1 แสนนาย

แท้จริงแล้วทั้ง 3 ทัพนี้โดยพื้นฐานแล้วประกอบด้วยทหารใหม่เป็นหลัก และแทนที่จะเรียกมันว่ากองทัพใต้บังคับบัญชาของถังหยิน มันเหมือนกับกองทัพสำรองของกองทัพเทียนหยวนเสียมากกว่า

หลังจากการปรับเปลี่ยนหลายครั้ง โครงสร้างโดยรวมของกองทัพเทียนหยวนก็ถูกกำหนดขึ้นใหม่เป็นที่เรียบร้อย

ผู้บัญชาการกองทัพปิงหยวนคือมูฉิง รองผู้บัญชาการคือเฉินฟางและหลีซง

ผู้บัญชาการกองทัพชานชุย คือเหลียงฉี ที่ได้รองผู้บัญชาการเป็นไป๋หยงกับซูหนิว

ผู้บัญชาการกองทัพฉีเฟิงคือหลีเหวย โดยมีรองผู้บัญชาการคือเปิงเฮาฉู

ในความเป็นจริง เมื่อสังเกตอย่างรอบคอบ ก็จะเห็นได้ว่าแผนการของถังหยินนั้นผ่านการคิดมาอย่างดีแล้ว ด้วยถึงแม้ชายหนุ่มจะเชื่อในความสามารถของพวกเขา หากแต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อใจในความภักดีของอีกฝ่ายที่มีต่อตน ดังนั้นเขาจึงทำการวางคนสนิทที่เชื่อถือได้ไว้ข้าง ๆ คนเหล่านั้น เพื่อลบความกังวลใจออกไป

ในเวลานี้ถังหยินมีความทะเยอทะยานอย่างมาก เขาคิดจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อบุกโจมตี !

ชายหนุ่มวางแผนที่จะเดินทางต่อไปทางใต้ และเข้าโจมตีปราการหน้าด่านที่ขว้างกั้นระหว่างทัพของเขากับเมืองหยาน ! เพราะตราบใดที่เขาเข้ายึดเขตหลีฮู่ได้ กองทัพเทียนหยวนก็จะสามารถเข้าตีเมืองหยานได้โดยตรง !

ทว่าหลังจากที่นำความคิดดังกล่าวไปปรึกษากับเหล่าคนสนิท พวกเขากลับไม่เห็นด้วย และบอกให้รอไปก่อน

ถังหยินรู้สึกงงงวย ด้วยในขณะนี้ฝ่ายของพวกเขาได้เปรียบแท้ ๆ ทำไมถึงต้องรออีกกัน ?

ชิวเจิ้นที่เห็นท่าทีแบบนั้น ก็หัวเราะออกมา ก่อนจะส่ายหัวและกล่าวว่า “นายท่านอย่างได้ย่ามใจเกินไปขอรับ ถึงตอนนี้เราจะมีความได้เปรียบ แต่เรายังห่างไกลจากคำว่าชัยชนะอีกมากนัก”

ถังหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถาม “ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ชิวเจิ้น ?”

ชิวเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เรียนนายท่าน ตอนนี้เรามีกำลังถึงครึ่งล้านก็จริง หากแต่คนมากมายพวกนี้ต่างก็ต้องกินดื่มและใช้เงิน แล้วถ้าเงินที่เราใช้จ่ายพวกนั้นหมดเล่า มันจะเป็นยังไง ?”

หลังจากได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม ถังหยินก็ราวกับถูกน้ำเย็นเฉียบสาดเข้าใส่ ความตื่นเต้นในใจของเขาดับลง เช่นเดียวกับใบหน้าที่ดำมืดลง

คำพูดของชิวเจิ้นไม่น่าฟัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีเหตุผล ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าถังหยินจะชอบ เขาใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ แล้วถามว่า “แล้วเจ้าคิดว่าไงข้าควรทำเช่นไร ?”

โดยไม่รอให้ชิวเจิ้นพูด ซงหยวนก็ได้ก้าวไปข้างหน้า ก่อนทำการป้องมือโค้งคำนับแล้วพูดขึ้น “ตามที่ข้าน้อยคิด เราควรรักษาตำแหน่งให้มั่นคงเสียก่อน ด้วยการเข้าควบคุมมณฑลกวนหนานและมณฑลจิงกวง”

“ถ้าได้ทั้ง 2 มณฑลนี้มาเพิ่ม การสนับสนุนกำลังพลจำนวน 5 แสนนายก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ซึ่งตัวนายท่านก็ควรจะทำการส่งจดหมายถึงผู้ว่ามณฑลอื่น ๆ โดยเร็วที่สุด เพื่อขอการสนับสนุนจากพวกเขา ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้รับความช่วยเหลือ หากแต่มันก็ถือได้ว่าเป็นการลดความแข็งแกร่งของซ่งเทียนไปด้วยในตัว นับได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนะขอรับ !”

“ฟังดูดีนี่ !” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหยินก็พยักหน้า ด้วยเขาชอบที่จะได้ยินคำแนะนำประเภทนี้ ว่าแล้วชายหนุ่มก็ทำทีครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมองไปที่ซงหยวนและถามว่า “จากมุมมองของท่านซง ข้าจะเข้าควบคุมมณฑลกวนหนานและจิงหยางได้อย่างไร ?”

ซงหยวนหัวเราะและพูดว่า “มันง่ายมาก ก็แค่ฆ่าผู้ว่ามณฑลคนเดิม และแทนที่พวกเขาด้วยผู้ว่ามณฑลคนใหม่ !”

ถังหยินกลอกตาไปมา จากนั้นก็พลันเหล่ตาและถาม ” เจ้าอยากให้ข้าไปฆ่าเซ่าฮุยกับยู่เต๋า ?”

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น !” ซงหยวนโบกมือและกล่าวว่า “หากนายท่านต้องการได้รับการสนับสนุนจากมณฑลอื่น ๆ ท่านจะต้องปฏิบัติต่อเซ่าฮุยและยู่เต๋าอย่างดี ไม่ใช่แค่ว่าห้ามฆ่าพวกเขาเท่านั้น ยังต้องเพิ่มผลประโยชน์ให้กับพวกเขาด้วย แน่นอนนายท่านสามารถมอบตำแหน่งที่ว่างอยู่ให้แก่พวกเขาได้ ด้วยมันถือได้ว่าเป็นการใช้ความสามารถของพวกเขาให้เป็นประโยชน์”

จิตใจของถังหยินเต้นแรงขณะที่รับฟังข้อเสนอดังกล่าว และหลังจากที่ซงหยวนพูดจบ ชายหนุ่มก็มองไปที่ชิวเจิ้น ก่อนถามถึงความคิดเห็นของเด็กหนุ่ม ด้วยในส่วนลึกของหัวใจถังหยินแล้วนั้น คนที่เขาไว้ใจมากที่สุดก็ยังคงเป็นชิวเจิ้นอยู่ดี !

เมื่อเห็นว่าถังหยินกำลังถามและมองมาที่ตน ชิวเจิ้นก็พลันยิ้มและพยักหน้า “ความคิดเห็นของท่านซงเป็นสิ่งที่ข้าต้องการจะพูดพอดี อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่าเนื่องจากท่านเซ่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์และเชื่อถือได้ ดังนั้นการมอบความรับผิดชอบอันหนักอึ้งนี้ให้กับเขาถือเป็นความคิดที่ดี ในทางกลับกัน ยู่เต๋าที่เป็นคนคิดไม่ซื่อ ข้าคิดว่าเราไม่ควรปล่อยให้เขาครองตำแหน่งสำคัญ ๆ”

“ ฮ่า ๆ!” ถังหยินหัวเราะเสียงดังลั่น กล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าและท่านซงพูดนั้นถูกต้องทีเดียว เอาเป็นว่าข้าจะทำตามที่เสนอก็แล้วกัน !”

ชิวเจิ้นกล่าว “งั้นนายท่านขอรับ ข้าคิดว่าท่านควรเรียกผู้ว่าทั้ง 2 คนมาพบกันที่จิงกวง และเอาไว้ตอนนั้น พวกเราก็ค่อยพูดคุยกันจะดีกว่านะขอรับว่าจะเอาเช่นไรต่อไป !”

“นั่นสินะ !” ถังหยินพยักหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า “ชิวเจิ้น ข้าขอฝากเจ้าเรื่องนี้ด้วย !”

“ขอรับ นายท่าน !”

เมื่อการสนทนาสิ้นสุดลง ซงหยวนก็รีบยกมือขึ้นและพูดว่า “นายท่าน ข้ามีแผนสำหรับเรื่องทางการทหาร ขออนุญาตที่จะเสนอได้ไหมขอรับ ?”

ถังหยินไม่สนใจในการวางอุบายและแผนการมากนัก เขาสนใจแค่เรื่องทางการทหารเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของซงหยวน ดวงตาของชายหนุ่มก็พลันสว่างวาบขึ้นมาทันที “ตั้งแต่ที่เจ้าเข้าร่วมกับพวกเรา เราก็เป็นดั่งพี่น้องกันแล้ว ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจ พูดมาเลย !”

ซงหยวนโล่งใจ เขาโค้งคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็กล่าวอย่างจริงจัง “ครั้งนี้กองทัพของเราได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในการรบกับพวกหนิง และถึงจะได้รับความเสียหายมาบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก”

“ดังนั้นตามความเห็นของข้าน้อยแล้ว พวกเราควรที่จะส่งกำลังทหารไปยึดครองพื้นที่สำคัญ เพื่อไม่ให้พวกหนิงที่อยู่ในแคว้นหนิงเข้ามาเสริม และในขณะเดียวกัน ก็จะได้เป็นการดักจับกำลังทหารที่เหลือรอดไปด้วยในตัว ! ”

“อ๋อ ? แล้วมันคือที่ไหนกัน ”

“เขตหน้าด่านประตูตง !”

“เขตหน้าด่านประตูตง ?” ไม่ต้องพูดถึงถังหยินที่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะแม้แต่ชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ ก็ยังเผยสีหน้าตกใจ พากันพร้อมใจหันมองไปที่ซงหยวนเป็นตาเดียว

ซงหยวนกล่าวว่า “เขตหน้าด่านประตูตงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพวกเรา และยังเป็นประตูเชื่อมต่อระหว่างแคว้นหนิงกับแคว้นเฟิง ทำให้ถ้าได้ครอบครอง พวกเราก็จะได้เปรียบเหนืออีกฝ่ายอย่างแน่นอน ด้วยแคว้นหนิงจะส่งกำลังเสริมมาไม่ได้ ทั้งยังทำให้จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ติดอยู่ในแคว้นเฟิง !”

เมื่อเขาพูดจบ ถังหยินและคนอื่น ๆ ก็พูดไม่ออก

ทุกคนรู้ถึงความสำคัญของประตูตง แต่กองทัพเทียนหยวนในขณะนี้นั้นตั้งอยู่ที่จิงกวง แล้วจะให้ไปยึดถึงที่นั่นได้อย่างไรกัน ? ด้วยมันอยู่ห่างออกไปไกลนับพันลี้ !

และยิ่งไปกว่านั้น เขตหน้าด่านประตูตงก็ถือได้ว่าอยู่ใกล้กับแคว้นหนิงมาก จึงอาจกลายเป็นว่าพวกเขาตกอยู่ในวงล้อมของพวกหนิงก็เป็นได้ !

ทุกคนพิจารณาอย่างรอบคอบสักครู่ ก่อนจะส่ายหัว ด้วยพวกเขารู้สึกว่าแผนนี้ห่างไกลความจริงมากเกินไป ยากที่จะทำสำเร็จได้ !

เมื่อซงหยวนเห็นการแสดงออกของทุกคน เขาก็พลันยิ้มและพูดว่า “พวกเราต้องกล้าที่จะเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อีกอย่างที่แห่งนั้นก็ถูกยกให้แคว้นหนิงไปแล้ว ซึ่งกองกำลังที่ประจำอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้การป้องกันนั้นแข็งแกร่งจากทิศตะวันตกเพียงอย่างเดียว ผิดกับทางตะวันออกที่อ่อนแอยิ่ง”

“และตราบใดที่กองทัพของเราสามารถโจมตีได้อย่างกะทันหัน งั้นแล้วพวกเราก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่การโจมตีครั้งแรก !”

“ถึงจะเช่นนั้นก็เถอะ แต่จะทำยังไงเล่า ?” จางเป๋าส่ายหัวและกล่าวว่า “จากจินกวงไปยังประตูตง ต้องผ่านหลีฮู่ไปทางตะวันตกของเมือง นอกจากนี้ระยะกว่า 400 ลี้รอบที่นั่น มันก็ได้กลายเป็นของแคว้นหนิงไปแล้ว !”

ความสงสัยของเขาคือสิ่งที่ทุกคนสงสัยเช่นกัน ว่าจะทำการซุ่มโจมตีเช่นไร ด้วยการพูดแต่ปากมันง่าย หากแต่ยากที่จะนำไปใช้ได้จริง

ซงหยวนดูเหมือนจะคิดไว้แล้วว่าจะมีคนถามคำถามนี้ ดังนั้นเขาจึงหันมองไปที่ถังหยิน ก่อนจะเอ่ยถาม “นายท่าน ท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาพันธรัฐมอร์ฟีสไม่ใช่หรือ ?”

คำพูดของอีกฝ่ายตลกยิ่ง ด้วยถ้าถังหยินไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนในเมืองเบสซ่า งั้นแล้วพวกเขาจะส่งทหารม้าเกราะหนักของเบสซ่ามาทำไมกัน ? และแม้แต่เจ้าหญิงแห่งเบสซ่าเองก็ตามมาด้วย

ถังหยินขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้น “พูดต่อสิ !”

ดวงตาของซงหยวนวาววับ ในขณะที่เขาพูดแผ่วเบา “ถ้ากองทัพต้องผ่านพรมแดนของแคว้นเฟิง พวกหนิงก็อาจจะได้รับข่าวสารของพวกเราทันที และก่อนที่พวกเขาจะไปถึงประตูตง พวกเราก็จะถูกขัดขวางด้วยกองทัพหนิงที่ตั้งรอไว้ก่อนแล้ว”

“อย่างไรก็ตาม กองทัพเราจะไม่ผ่านแคว้นเฟิง แต่ควรเลือกที่จะอ้อมไปรอบ ๆ ผ่านมอร์ฟีสแทน ด้วยถ้าทำแบบนั้นพวกหนิงจะไม่มีทางรู้ตัวอย่างแน่นอน !”

“อะ…” เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ผู้คนรอบ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง

ทั้ง ๆ ที่มีที่ปรึกษามากมายแท้ ๆ แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะใช้ทางอ้อมเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูตงเลยสักคน !

ต้องเข้าใจสมาพันธรัฐมอร์ฟีสไม่ใช่ของเบสซ่า หากแต่มันประกอบไปด้วยรัฐขนาดเล็กมากมาย และในหมู่พวกเขา เบสซ่าก็ถือได้ว่าเป็นรัฐที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วยคนพวกนี้มักใช้กองทัพเข้าปะทะกับแคว้นเฟิงเพื่อปล้นชิงและฆ่าผู้คนมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนทุกข์ยาก

ทว่าตอนนี้ถังหยินก็ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาแล้ว ทำให้ชายหนุ่มสามารถใช้เมืองเบสซ่า เพื่อติดต่อกับเมืองอื่น ๆ ได้ และด้วยเหตุผลนี้เอง มันจึงไม่ควรยากเกินไปที่จะขอยืมเส้นทางเพื่อทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

ทางด้านตะวันตกของประตูตง คือแคว้นเฟิง ในขณะที่ด้านตะวันออกคือแคว้นหนิง ส่วนทางทิศเหนือก็เป็นดินแดนของนครรัฐดูกี้ที่ห่างออกไปราว ๆ 10 ลี้จากประตูตง

และแม้ว่าพวกทหารหนิงจะรีบร้อนแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถจัดตั้งกองทัพรับมือทันอย่างแน่นอน ถ้าหากกองทัพเทียนหยวนสามารถเข้าประชิดประตูตงได้ภายในครึ่งชั่วยาม

หลังจากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มก็พบว่าแผนการนี้ถือได้ว่าน่าสนใจไม่น้อย ว่าแล้วถังหยินก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่นัยน์ตาจะเกิดแสงสว่างจ้า และหันไปทางซงหยวนด้วยความรู้สึกนับถือ

ชายหนุ่มลูบคางของเขาและพูดแผ่วเบา “ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นแล้วกองทัพของเราก็สามารถลอบโจมตีประตูตงได้อย่างสมบูรณ์แบบ !”