บทที่ 251

ถ้าสามารถทำตามที่วางแผนไว้ได้จริง ๆ การยึดประตูตงก็กลายเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว และถ้ายึดครองได้จริง แม้ว่าซ่งเทียนกับจ้านอู่ฉางกับคนอื่น ๆ จะร่วมมือกับ ก็ไม่อาจที่จะทัดเทียมเขาได้ !

ถังหยินมองไปที่ซงหยวน จากนั้นก็หันไปมองที่ชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ แล้วถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าไง ?”

ไม่มีใครกล้าตอบกลับทันที ด้วยเรื่องนี้มีความสำคัญเกินไป

ห้องโถงเงียบอย่างน่าขนลุก ด้วยบรรดาปรึกษากำลังคิดอย่างรวดเร็วว่าแผนของซงหยวนเป็นไปได้จริงหรือไม่ และหลังจากนั้นไม่นาน จางจี้ก็พลันทำลายความเงียบด้วยการพูดออกมา “แผนของท่านซงนั้นยอดเยี่ยมทีเดียว”

“แต่ข้ามีเรื่องที่อยากจะสอบถาม ว่ากองทัพของเราควรส่งไปกี่คนดี ด้วยถ้าเราส่งคนน้อยเกินไป ข้าก็เกรงว่าเราจะไม่สามารถยึดประตูตงไว้ได้นาน นอกจากนี้หากเราจะซุ่มโจมตีพวกมัน พวกเราก็ต้องถูกพวกหนิงเข้าล้อมเป็นแน่แล้ว งั้นแล้วจะจัดการอย่างไรกัน ?”

คำถามที่จางจี้ถามล้วนเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ด้วยมันไม่ง่ายเลยที่จะยึดประตูตง และหากการปะทะกับพวกหนิงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ งั้นแล้วชัยชนะของพวกเขาก็ยิ่งไม่แน่นอนมากเข้าไปอีก !

ถังหยินพยักหน้า รู้สึกว่าคำถามของจางจี้นั้นสมเหตุสมผล ก่อนที่ชายหนุ่มจะเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซงหยวน รอคำตอบของอีกฝ่าย

“ทหารไม่ต้องมากก็ได้ แค่ 5 หมื่นนายก็พอแล้ว !” ซงหยวนกล่าวอย่างมั่นใจ “และจากที่ข้าคิด ข้าก็เชื่อว่าถ้าเป็นแม่ทัพเหลียงฉีน่าจะสามารถรับผิดชอบการศึกครั้งนี้ได้ พร้อม ๆ กันนั้น ข้าก็คิดว่าเราควรจะให้แม่ทัพหยวนยู่ที่กล้าหาญไปอีกสักคน เพราะมันจะเพิ่มขวัญกำลังใจ และทำให้กองทัพของเราประสบชัยอย่างแน่นอน ! ”

ถังหยินเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน ปล่อยให้ซงหยวนก้มหน้าก้มตาวางแผนการต่อไป

ทั้ง 2 คนนี้งั้นหรือ ?

ถังหยินลังเล ด้วยมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะตัดสินใจ เขาเงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะพูดออกมา “ข้าขอเวลาคิดสักพัก… ”

“นายท่าน !” ซงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องนี้ไม่อาจที่จะยืดเยื้อออกไปได้มากกว่านี้แล้วนะขอรับ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรารอให้กองกำลังเสริมของแคว้นหนิงมารวมกันกับกลุ่มของจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ ดังนั้นขอนายท่านกรุณารีบตัดสินใจเถอะขอรับ !”

“เรื่องนั้น…?” สีหน้าของถังหยินดูลำบากใจ

“นายท่าน !” ซงหยวนยังคงต้องการที่จะพูดต่อ หากแต่ก็เป็นชิวเจิ้นที่โบกมือขัดจังหวะเขาแล้วพูดกับถังหยิน “นายท่าน ข้าคิดว่าสิ่งที่ท่านซงพูดนั้นสมเหตุสมผล เหล็กดีต้องตีตอนยังร้อน !”

“ถ้าทหารชั้นยอดทั้ง 5 หมื่นนายอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพเหลียงและแม่ทัพหยวนยู่ งั้นแล้วมันก็ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสามารถยึดประตูตกได้อย่างง่ายดาย หากทว่าพวกเขายังสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นปราการในการป้องกันตัวได้ด้วย”

“และเมื่อกองทัพของเราสามารถตั้งหลักได้ มันก็จะทำให้กองกำลังที่เหลืออยู่ของจ้านอู่ฉางกับจ้านอู่ตี้เกิดการเสียขวัญ จนพานทำให้ซ่งเทียนสูญเสียพันธมิตรที่ทรงพลังที่สุดไป ซึ่งมันก็เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเรา ดังนั้นแล้ว ข้าจึงหวังว่าท่านจะคิดมันอย่างถี่ถ้วน !”

วิธีการพูดของชิวเจิ้นนั้นตรงไปตรงมามากกว่าซงหยวน และมีเพียงชิวเจิ้นเท่านั้นที่กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าถังหยิน ทำให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นขณะที่มีแสงสีเขียวแปลก ๆ แวบเข้าตา ชายหนุ่มกัดฟันกรอด เงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ขอ 2 คน เดินมาข้างหน้า !”

ตามคำพูดของเขา ทหารองครักษ์ 2 นายก็ได้เดินออกมาด้านหน้า พร้อมกับประสานมือและโค้งคำนับก่อนพูดว่า “นายท่านประสงค์สิ่งใดขอรับ ?”

“พวกเจ้า 2 คนไปจงหาแม่ทัพเหลียงและแม่ทัพหยวน ข้ามีเรื่องจะคุยกับพวกเขา !”

“ขอรับ นายท่าน !”

องครักษ์ทั้งสองโค้งคำนับและจากไป ก่อนเป็นซงหยวนที่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ในขณะเดียวกันเขาก็เหลือบมองไปที่ชิวเจิ้นอย่างซาบซึ้ง ด้วยเป็นอีกฝ่ายที่ช่วยสนับสนุนคำของตน

ไม่นานหลังจากนั้น เหลียงฉีและหยวนยู่ก็ได้มาถึงทีละคน และเมื่อเห็นถังหยิน พวกเขาทั้งสองก็โค้งคำนับพร้อมถาม “นายท่านเรียกข้ามาทำไมหรือขอรับ ?”

ถังหยินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เล่าแผนเดิมของซงหยวนออกไปให้ฟัง ก่อนที่ในตอนท้ายจะกล่าวว่า “ท่านซงเสนอให้พวกเจ้าสองคนนำกำลังทหารชั้นยอดจำนวน 5 หมื่นนายไป ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าพวกเจ้ายินดีที่จะแบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งนี้หรือไม่ ?”

เหลียงฉีขมวดคิ้ว ไม่ตอบกลับในทันที ด้วยมันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะถึงแม้ว่าการใช้ทางอ้อมเพื่อลอบโจมตีประตูตงจะเป็นความคิดที่ดี แต่ถ้าต้องปกป้องประตูตงด้วยหลังจากนั้น มันก็นับว่าเป็นการยากที่เดียว

โดยไม่ต้องรอให้เหลียงฉีพูด หยวนยู่ก็พลันยิ้มกว้าง หันมองไปที่ซงหยวน ก่อนจะพูดกับถังหยิน “ไว้ใจข้าได้เลย การพิชิตประตูตงสำหรับข้าแล้วมันง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ”

เหลียงฉีที่อยู่ข้าง ๆ เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ด้วยเขารู้สึกว่าในใจของหยวนยู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอันตรายคืออะไร ซึ่งตัวเขานั้นก็ไม่ได้มีความมั่นใจมากล้นเหมือนกับอีกฝ่าย ดังนั้นจึงกล่าวอย่างจริงจังออกไปว่า “นายท่าน ข้าคิดว่ากำลังพลเพียง 5 หมื่นนายมันน้อยเกินไป ข้าต้องการกำลัง 1 แสนคน ท่านจะอนุญาตข้าหรือไม่?”

“หืม ?” ถังหยินพึมพำกับตัวเองสักครู่ แล้วจึงพยักหน้า “เอาสิ ข้าอนุญาต !”

“นอกจากนี้ ข้ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องการ ด้วยในเมื่อข้าต้องไปกับแม่ทัพหยวนยู่ งั้นแล้วข้าก็อยากที่จะให้เขาทำตามคำสั่งของข้า !” เหลียงฉีกล่าวประเด็นสำคัญออกมาทันที เพราะมันไม่ควรมีแม่ทัพถึง 2 นายใน 1 กองทัพ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมีแม่ทัพผู้มีอำนาจใหญ่สุดคนเดียวเท่านั้น ด้วยไม่เช่นนั้นทั้งกองทัพจะเกิดความสับสน

โดยไม่รอให้ถังหยินพูด หยวนยู่ก็ได้เลิกคิ้วด้วยความไม่พอใจและกล่าวเน้นย้ำออกมา “แม่ทัพเหลียง ข้าคิดว่าเจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นทัพหน้าของกองทัพเทียนหยวน ส่วนเจ้าเป็นเพียงแม่ทัพของกองทัพชานชุย ดังนั้นแล้วจึงควรเป็นเจ้าที่ต้องฟังข้า ! ”

เหลียงฉีกลอกตาไปมา ก่อนเหลือบมองและพูดพึมพำ “ถ้าฟังเจ้า เราคงอยู่ที่นั่นได้ไม่เกิน 3 วันหรอก”

“พล่ามอะไรของเจ้ากัน ?” ดวงตาที่เหมือนเสือของหยวนยู่เบิกกว้าง ขณะที่เขาจับจ้องไปยังเหลียงฉีที่กำลังหันหลังให้ ชายเลือดร้อนกำหมัดแน่น ราวกับต้องการที่จะซัดหน้าคนตรงหน้าสักที

เหลียงฉียักไหล่และไม่พูดอะไรอีกต่อไป

เมื่อมองไปที่พวกเขาสองคน ถังหยินก็พลันส่ายหัวและหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นจึงหันไปมองซงหยวน “คิดว่าสองคนนี้พอที่จะทำงานครั้งนี้ได้ไหม ?”

ซงหยวนเข้าใจว่าถังหยินหมายถึงอะไร เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ และหลีกทางให้เหลียงฉีกับหยวนยู่ “หยวนยู่ แม่ทัพเหลียงมีประสบการณ์ในการบังคับบัญชากองทหารมากกว่าเจ้า ดังนั้นเมื่อถึงเวลารบ เจ้าจะต้องฟังการสั่งการของแม่ทัพเหลียง !”

“นายท่าน ? ข้า…” หยวนยู่กำลังจะพูด หากแต่ถังหยินกลับโบกมือและหยุดเขาด้วยสายตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปถามเหลียงฉี “แม่ทัพเหลียง สงสัยอะไรอีกไหม ?”

เหลียงฉีส่ายหัว ปากกล่าวว่า “กองทัพชานชุย 1 แสนนาย กับการที่แม่ทัพหยวนยู่ฟังคำสั่งของข้า แค่นั้นขอรับ”

ถังหยินถาม “ถ้าอย่างนั้นแม่ทัพเหลียง หลังจากที่เจ้าเข้ายึดประตูตงได้แล้ว เจ้าคิดว่าจะยื้อเอาไว้ได้นานเท่าไหร่ ?”

เหลียงฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “นั่นน่าจะขึ้นอยู่กับปริมาณเสบียงที่เรามี หากมีเสบียงเพียงพอ ผนวกกับการใช้ประตูตงเป็นเครื่องป้องกัน งั้นแล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร น่าจะพอยื้อไว้ได้ 1 ถึง 2 เดือน”

“โอ้ !” ดวงตาของถังหยินมองไปรอบ ๆ ขณะที่เขาคำนวณเวลาในใจของเขา ตามที่เหลียงฉีพูด พวกเขาจะอยู่ได้เพียง 1 หรือ 2 เดือน ซึ่งมันก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสามารถไปถึงเมืองหยานได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นมันจึงยังเร็วเกินไปที่จะส่งเหลียงฉีและหยวนยู่ไปรบ

เมื่อคิดแบบนั้น เขาก็พลันพยักหน้าและพูดว่า “ข้ายังคงต้องหารือเกี่ยวกับการยืมเส้นทางจากสมาพันธ์มอร์เฟียส ดังนั้นเอาไว้ทำข้อตกลงเสร็จก่อน ข้าจึงจะไปพูดคุยกับเจ้าทั้งสองเพื่อหารือในรายละเอียดต่อไป”

“ขอรับ นายท่าน !” เหลียงฉีโค้งคำนับอย่างเคารพ

จริง ๆ แล้วเหลียงฉีไม่ได้ตำหนิถังหยินที่ส่งเขาไปซุ่มโจมตีในครั้งนี้ ด้วยเขารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะสร้างผลงานใหม่ ซึ่งก็แน่นอนว่ามันอันตรายมากเช่นกัน และแม้ว่าหยวนยู่จะติดตามเขาไปด้วยกับสามารถควบคุมกองทัพนับแสนได้ ทว่าเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถยื้อเอาไว้ได้นานแค่ไหน

หลังจากนั้นถังหยินก็เรียกหาหลี่เทียนและอัยเจียทันที ก่อนที่จะสั่งให้พวกเขาทำการรวบรวมข่าวและตรวจสอบสถานการณ์รอบ ๆ ประตูตง โดยเฉพาะจำนวนทหารของพวกหนิงที่ประจำการอยู่ที่ประตูตงที่ต้องสืบมาอย่างละเอียด !

เพียงแค่ได้ยินว่าถังหยินขอให้ทั้งสองคนตรวจสอบ พวกเขาก็สามารถสรุปทันทีได้ว่าชายหนุ่มกำลังวางแผนสำคัญ ซึ่งมันก็ทำให้หลีเทียนและอัยเจียไม่กล้าที่จะประมาท รีบรับคำสั่งและจากไปทันที

หลังจากจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ ถังหยินก็ออกไปตามหาองค์หญิงชัวน่า

หลังจากชัยชนะต่อกองทัพหนิงในการรบครั้งเดียว กองทัพเทียนหยวนก็ยังคงประจำการอยู่นอกเมืองจินฮั๋ว เพียงแค่ว่าแม่ทัพใหญ่และนายทหารระดับสูงได้ย้ายเข้ามาในเมืองแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ชัวน่าจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองด้วยเช่นกัน

และแม้ว่าเมืองจินฮั๋วจะไม่ใช่เมืองสำคัญ แต่มันก็ตั้งอยู่บนเส้นทางสายสำคัญ จึงทำให้มีนักเดินทางและกองคาราวานจำนวนมากผ่านไปมา จนตัวเมืองคึกคัก เต็มไปด้วยกิจการค้าขายที่เฟื่องฟู

หลังจากเข้ามาในเมือง ชัวน่าก็ไม่ได้อยู่ในโรงเตี๊ยมของนางอย่างที่ควรเป็น ทว่าหญิงสาวกลับใช้เวลาไปกับการเดินเที่ยวรอบเมืองกับเบลนและสมาชิกกองทหารเบสซ่าอีก 2-3 คน

เมื่อถังหยินมาหาชัวน่า หญิงสาวก็ไม่ได้อยู่ในโรงเตี๊ยม เขาจึงถามองครักษ์หญิงที่นั่น ก่อนจะทราบว่าผู้เป็นนายของนางได้ไปที่ตลาดทางเหนือของเมืองแล้วพร้อมกับเบลนและคนอื่น ๆ

เดิมทีถังหยินก็ต้องการจะนั่งรอชัวน่ากลับมา แต่หลังจากรอสักพัก ชายหนุ่มก็ยังไม่เห็นชัวน่าและคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปที่ย่านตลาดทางเหนือ เพื่อตามหาตัวหญิงสาวด้วยตัวเอง