บทที่ 252

ถังหยินมุ่งหน้าไปยังย่านตลาดเหนือเพื่อมองหาชัวน่า เขาแต่งกายด้วยชุดลำลอง และมีเพียงหยวนจี้กับหยวนอู่เท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเขา

เดิมทีชายหนุ่มกลัวว่าด้านหลังจะยุ่งเหยิง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้สองพี่น้องตระกูลหยวนอยู่กับเซ่าฮุย แต่ตอนนี้พวกหนิงแพ้และกลับไปที่เมืองหยานแล้ว ดังนั้นสถานการณ์จึงกลับมามีเสถียรภาพอีก ทำให้ถังหยินทำการเรียกสองพี่น้องตระกูลหยวนกลับมา

ตลาดของเมืองจินฮั๋วใหญ่และคึกคักมาก มีพ่อค้า รถม้าและผู้คนหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคนในตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้ ทว่าก็โชคดีที่ชัวน่าและคนอื่น ๆ มีความแตกต่างจากชางเฟิงที่อยู่รอบ ๆ เป็นอย่างมาก จนทำให้พวกเขาโดดเด่นมากพอที่จะสังเกตเห็นได้ง่าย

และเมื่อมาถึงท้ายตลาด ในที่สุดถังหยินก็เห็นเข้ากับกลุ่มของชัวน่า ที่กำลังถือม้วนหนังสือขนาดใหญ่ กับอาหารและเสื้อผ้ามากมายไว้ในมือ …ซึ่งแม้แต่ชัวน่าเอง นางก็กำลังถือผ้าไหมม้วนใหญ่ไว้ในอ้อมแขนด้วยเช่นกัน

หลังจากที่ถังหยินเห็นพวกเขา ชายหนุ่มก็พลันส่ายหัวและรีบเดินไปข้างหน้า ก่อนจะพูดอย่างติดตลก “ข้าแทบจะพลิกตลาดเลยนะเนี่ยกว่าจะหาเจอเจ้า”

เมื่อเห็นว่าถังหยินเข้ามา ชัวน่าและคนอื่น ๆ ก็ตกใจ จากนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะออกมา และถามว่า “ทำไมถึงมาที่นี่ ?”

“ก็มาหาไง !” ถังหยินพยักหน้าให้กับเบลนและคนอื่น ๆ จากนั้นก็หันมองไปที่ชัวน่า

วันนี้นางไม่ได้สวมชุดเกราะหรือเสื้อผ้าของเบสซ่า หากแต่เลือกชุดกระโปรงยาวของแคว้นเฟิง กับเสื้อคลุมสีขาว ที่เผยให้เห็นเสน่ห์ของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ออกมา

…ภาพตรงหน้า มันก็ทำให้ถังหยินรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก

ต้องเข้าใจนับตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในเมือง ชายหนุ่มก็มัวแต่ยุ่งอยู่ตลอดทั้งวัน จนพวกเขาสองคนแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย ดังนั้นวันนี้เมื่อนางเห็นถังหยินในชุดลำลอง ดวงตาของหญิงสาวก็พลันสว่างขึ้น ก่อนจะยิ้มและถามว่า “เจ้าต้องการอะไรจากข้างั้นหรือ ?”

“อืมมมม” ถังหยินพยักหน้าและกล่าวว่า “มีบางอย่างที่ข้าต้องพูดกับเจ้า”

โดยไม่รอให้เขาพูดจบ ชัวน่าก็พลันหัวเราะ “ตอนนี้มันเที่ยงแล้ว ไปกินอะไรกันก่อนเถอะ ไว้ค่อยคุย !”

ถังหยินไม่ขัดข้องและพยักหน้า “เอาล่ะองค์หญิง เจ้าอยากกินอะไรเล่า ให้ข้าเลี้ยงเอง !”

ชัวน่าหัวเราะออกมา “แน่นอน ข้าก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน” เมื่อสิ้นคำ หญิงสาวก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นเข้าโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่มี 2 ชั้น

นางเงยหน้าขึ้น มองไปที่นั่น และพูดว่า “ไปกินข้าวที่นั่นกันเถอะ !”

“ได้เลย”

ถังหยินและชัวน่าเดินไปข้างหน้า ส่วนสองพี่น้องตระกูลหยวน เบลนและคนอื่น ๆ ตามมาข้างหลัง ซึ่งในระหว่างทาง ทุกคนก็พากันพูดคุยและหัวเราะเมื่อเดินเข้าไปในนั้น

กิจการของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ดีมากทีเดียว ด้วยมีลูกค้าไม่น้อยเลย จนทำให้ชั้นแรกถูกจับจองจนหมด เหลือเพียงสองโต๊ะบนชั้นสองเท่านั้น

เมื่อเป็นแบบนี้ ถังหยิน ชัวน่า และคนอื่น ๆ ก็จึงถูกนำขึ้นไปชั้นบนโดยเสี่ยวเอ้อ ก่อนที่พวกเขาจะทำการสั่งอาหารและเหล้าเสร็จสรรพ

ทว่าในทันทีที่พวกเขานั่งลง ผู้คนที่กำลังกินอาหารโดยรอบก็พากันเงียบลงและหันมองไปที่พวกเขา

ยังไงเสียรูปร่างหน้าตาของชาวเบสซ่าก็แตกต่างจากชาวเฟิง ทำให้พวกเขาดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก

ถังหยินไม่เคยประสบกับสถานการณ์แบบนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย ด้วยคงไม่มีใครอยากถูกจับจ้องเช่นนี้หรอก

และเมื่อเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะมองชัวน่าที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะทำให้เขาประหลาดใจ เมื่อหญิงสาวดูจะไม่ได้ดูอึดอัดแม้แต่น้อย ราวกับว่านางคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้แล้ว

ชัวน่าเป็นเจ้าหญิงจากเบสซ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ดังนั้นไม่ว่านางจะไปที่ไหน นางก็มันจะเป็นกลายเป็นที่จับจ้องและศูนย์กลางของความสนใจอยู่เสมอ

“สภาพผู้คนในเมืองไม่ทำให้เจ้าหญิงชัวน่าผิดหวังใช่ไหม ?” ถังหยินหยิบถ้วยชา ก่อนจะเป่าใบชาที่ลอยอยู่ในนั่นแล้วจึงจิบพร้อมกับถามออกมาอย่างสบาย ๆ ด้วยรอยยิ้ม

“สภาพที่พักไม่เลวเลย !” ก็อย่างที่นางว่า ด้วยมันถือได้ว่ามีสภาพดีกว่าเต็นท์ของกองทัพเป็นร้อยเท่าพันเท่า และเช่นเดียวกับถังหยิน ที่นางค่อย ๆ หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้า ๆ

การเคลื่อนไหวของหญิงสาวที่เชื่องช้า ทว่าก็มั่นคนเช่นนี้ ทำให้คนที่พบเห็นเกิดความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

นางวางถ้วยน้ำชาลง ก่อนจะจำได้ว่าถังหยินมีบางอย่างที่ต้องการจะคุยด้วย จึงได้ถามออกไป “มีอะไรอยากคุยกับข้าไม่ใช่หรือ ?”

ถังหยินยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อง กลับไปที่พักก่อนแล้วค่อยว่ากัน !” เรื่องนี้เป็นความลับ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดคุยเรื่องการทหารเช่นนี้ในที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่าน

ชัวน่ามองเขาแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ

ในเวลานี้เสียงในโรงเตี๊ยมก็ค่อย ๆ สงบลง หากแต่จุดสนใจของการสนทนาก็ยังคงเป็นชัวน่าและคนอื่น ๆ อยู่ดี

ตอนนี้แม้ว่าเทียนหยวนและเบสซ่าจะเริ่มมีการค้าขายระหว่างกันแล้ว หากแต่ความทรงจำอันเลวร้ายเกี่ยวกับพวกเบสซ่าก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจของผู้คน ทำให้พวกเขาไม่ชอบใจคนต่างแดนพวกนี้เท่าไหร่

เสียงของการสนทนาดังขึ้นเรื่อย ๆ จนถังหยินซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างสามารถได้ยินการสนทนาได้อย่างชัดเจน และพอจับใจความได้ว่า ‘ทำไมพวกเบสซ่าถึงมาที่แคว้นเฟิง ?’ “กลับไปซะ พวกเบสซ่า !” ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ

ชัวน่า เบลนและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจภาษาที่พวกเฟิงพูด แต่ถังหยินนั้นเข้าใจ ซึ่งมันก็ทำให้เขาขมวดคิ้วแน่น ด้วยไม่ว่าความบาดหมางหรือความคับแค้นใจระหว่างเบสซ่ากับแคว้นเฟิงจะเป็นอย่างไรในอดีต มาตอนนี้ทุกอย่างก็ได้รับการแก้ไขแล้ว และนอกจากนี้ พวกเบสซ่าก็ยังทำการส่งกำลังเสริมมาช่วย ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้สึกขอบคุณ หากแต่พวกเขาก็ไม่ควรที่จะต่อต้านพวกเบสซ่าในลักษณะนี้

เมื่อเห็นถังหยินเลิกคิ้วและมองออกไป ชัวน่าก็ถามว่า “มีอะไรงั้นหรือ ?”

“ไม่มีอะไร” ถังหยินกลับมาสู่ความเป็นจริงและหันไปยิ้มให้นาง ก่อนที่เสี่ยวเอ้อจะนำอาหารขึ้นมาทีละจาน ทำให้ถังหยินใช้จังหวะนี้โบกมือและพูดว่า “กินกันเถอะ !”

…ฝีมือการทำอาหารของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่เลวเลย ดังนั้นทุกคนจึงกินกันอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก

เมื่อไม่นานมานี้ ชัวน่าได้เรียนรู้วิธีใช้ตะเกียบ ดังนั้นความเร็วในการหยิบอาหารจึงไม่ช้าเลย และในขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารพร้อมกับพูดคุยกัน ก็ได้มีลูกค้า 4 คนที่นั่งโต๊ะหัวมุมลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันมาจ้องชัวน่าและเดินเข้ามา

เพียงแค่มองไปที่การกระทำและสายตาของพวกเขา ถังหยินก็รู้ในทันทีว่าพวกเขากำลังมองหาปัญหา หากแต่ชายหนุ่มไม่ต้องการพูดออกไป ทำการกินไปเรื่อย ๆ และนั่งดูว่าทั้ง 4 คนวางแผนจะทำอะไร

พวกเขาทั้งสี่เดินไปที่โต๊ะที่อยู่ใกล้กับถังหยินและชัวน่า ก่อนจะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

ชัวน่าไม่ได้ตาบอด ดังนั้นเมื่อมีคนแปลกหน้า 4 คนปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ หญิงสาวก็แสดงท่าทีประหลาดใจ ก่อนจะวางตะเกียบและเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถามออกไปว่า “มีอะไรเหรอ”

เมื่อนางเงยหน้าขึ้น มันก็ทำให้พวกเขาทั้ง 4 คนมองเห็นรูปลักษณ์ที่งดงามของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน

ผิวของชัวน่านั้นเป็นสีขาวราวกับหิมะ ดวงตาของนางกลมโตและสดใส เช่นเดียวกับดั้งจมูกสูงและริมฝีปากสีแดงกับฟันสีขาว ทำให้ดูงดงามจนใครก็ตามที่พบตะลึงลาน

พวกเขาทั้ง 4 คนตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่จะฟื้นคืนสติ แล้วเป็นชายวัย 30 กว่าปีที่อยู่ตรงกลางยิ้มเยาะและถามด้วยรอยยิ้มปลอม ๆ “ชาวเบสซ่า ?”

หญิงสาวไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย ทำให้ชัวน่าได้แต่หันมองไปที่ถังหยินและถามชายหนุ่มว่าคนพวกนี้กำลังพูดอะไร

“เฮ้อ !” เมื่อเห็นแบบนี้ ถังหยินก็หยุดปากที่กำลังเคี้ยวกิน ก่อนจะหันมองคนทั้งสี่ แล้วตอบคำถามแทนหญิงสาว “ใช่ นางคือชาวเบสซ่า พวกเจ้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ”

ด้วยชัวน่าที่เป็นเจ้าหญิงแห่งเบสซ่าได้เดินทางมาที่แคว้นเฟิงเป็นการส่วนตัว ดังนั้นข่าวจึงไม่ได้แพร่กระจายออกไป

พวกเขาทั้งสี่ไม่ได้ให้ความสนใจกับถังหยิน เอาแต่จ้องมองไปที่ใบหน้าที่สวยงามและบอบบางของชัวน่า ก่อนที่ชายคนนั้นจะใช้มือวางไว้บนไหล่ของชัวน่า

ผู้คนในรัฐเบสซ่ามีความกล้าหาญและไม่ค่อยถือตัวกันเท่าไหร่นัก ทว่าการถูกคนแปลกหน้าจับเช่นนี้ มันก็นับได้ว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างมากเช่นกัน ทำให้ใบหน้าขาวราวหยกของชัวน่าแสดงอาการไม่พอใจ ก่อนที่ไหล่ของหญิงสาวจะสั่นอย่างรุนแรง แล้วจึงทำการปัดไล่มือของชายร่างใหญ่ออกไป

ในเวลาเดียวกันนั้น เบลนและคนอื่น ๆ ทั้งหมดก็พากันยืนขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าของพวกเขาที่ดูไม่พอใจอย่างหนัก พร้อมกันกับที่ใช้สายตาจ้องมองไปที่ชายคนนั้น

“ชิ คนเถื่อนก็ยังคงเป็นคนเถื่อน พวกเขาเอาอารมณ์เป็นใหญ่ !” ชายร่างกำยำไม่สนใจท่าทีของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังทำการขยับมือไปสัมผัสใบหน้าของชัวน่าอย่างยิ้มแย้ม

ด้วยเหตุนี้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ชัวน่าพูดอะไร เบลนและคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจที่จะนิ่งเฉยได้อีก !

ว่าแล้วเบลนก็พลันหยิบดาบออกมาชี้ตรงไปที่ลำคอของชายร่างใหญ่ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “สามหาว ! หากเจ้ากล้าดูหมิ่นเจ้าหญิงเช่นนี้ ระวังหัวจะได้หลุดออกจากบ่า !”

แม้ว่าคนตัวโตจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร แต่เขาก็พอจะดูออกว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังต่อว่าตัวเอง ทำให้ชายคนนั้นตัดสินใจก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะหัวเราะและหันหน้าไปทางผู้คนรอบ ๆ ในโรงเตี๊ยมแล้วพูดว่า “ดูสิ แม้จะอยู่ในดินแดนเฟิงอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ พวกคนเถื่อนก็ยังไม่สงวนท่าทีของพวกมันเลย !”

“ ฮ่าฮ่า ?” ขณะที่เขาพูด คนที่ได้ยินที่อยู่รอบ ๆ ทั้งหมดก็พากันหัวเราะเสียงดัง

เสียงหัวเราะของผู้คนดังเสียดหู ทำให้ชัวน่าและคนอื่น ๆ ที่ไม่เข้าใจคำพูดของพวกเฟิงหน้าแดง

“เจ้า !?” เบลนโกรธมากจนควันออกหู ทว่าเขาก็ไม่กล้าพูดออกไปอีกแม้แต่คำเดียว ด้วยตอนนี้ตนเองยังอยู่ในแคว้นเฟิง และการทำอะไรอีกฝ่ายก็อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้

ทันใดนั้นถังหยินก็พูดว่า “พอแล้ว พวกเจ้าชักจะมากเกินไปแล้ว !”

จนถึงตอนนี้พวกเขาทั้งสี่ยังไม่รู้ว่าถังหยินเป็นใคร ดังนั้นจึงไม่มีใครเกรงกลัวชายหนุ่มเลยสักคน ทำให้หัวหน้ากลุ่มของคนพวกนั้นยิ้มเยาะและกล้าที่จะถามออกไปว่า “เจ้าเองก็เป็นพวกคนเถื่อนด้วยงั้นหรือ ?”

“ข้าเป็นคนแคว้นเฟิง แต่แล้วจะทำไม !”

“ถ้าเจ้าเป็นคนแคว้นเฟิง แล้วทำไมถึงมาเสวนากับคนเถื่อนพวกนี้ ไม่ละอายใจตัวเองหรือไง !” สหายข้าง ๆ ชายร่างใหญ่ถามด้วยน้ำเสียงที่ชอบธรรม

ถังหยินแทบจะหัวเราะออกมา ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทำเช่นนี้ เขาพูดแผ่วเบาว่า “หรือว่าการที่พวกเจ้าลวนลามหญิงสาวเช่นนี้เป็นการทำให้แคว้นเฟิงดูมีสง่าราศีมากกว่าเดิม ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของชายคนนั้นก็พลันเปลี่ยนไป ท่าทางดุร้ายปรากฏในดวงตาของเขา ก่อนที่จะตามมาด้วยน้ำเสียงอันดุดัน “งั้นเจ้าก็อยู่ข้างคนเถื่อนสินะ ?”

ถังหยินยักไหล่ ก่อนใช้สายตาของเขาหันไปมองผู้คนรอบ ๆ ซึ่งมันก็ทำให้เขาเห็นเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของคนรอบ ๆ ที่กำลังมองมา