ตอนที่ 283 ความกล้าหาญเป็นเรื่องน่ายกย่อง

แม่สาวเข็มเงิน

ซูรุ่ยเอ๋อร์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน นางตัวอ่อนราวกับไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น ริมฝีปากงามเผลอเปิดออกอ้าปากหาว ท่าทีชัดเจนว่าเพิกเฉยต่อความเดือดดาลของจิ้นเทียนหยู่

นางหันไปคุยกับกู่ฟู่กุ้ยโดยจงใจทำน้ำเสียงอ่อนช้อยน่ารัก “นี่… พี่ใหญ่ พี่เองก็กระต่ายตื่นตูมเกินไปหน่อย น้องสามแค่ไปลักพาผู้หญิงกลับมาคนหนึ่ง เขายังไม่ได้ทำอะไรนางสักหน่อย แถมข้ายังได้ยินมาว่าเขาเรียกเสี่ยวชิงชิงให้ไปดูขาให้ผู้หญิงคนนั้นด้วย ไม่แน่เขาอาจชอบผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ ก็ได้”

น้ำเสียงของซูรุ่ยเอ๋อร์ทั้งออดอ้อนและฟังดูเกียจคร้านอยู่ในที นางพูดคำว่า “เสี่ยวชิงชิง” เร็วมากจนเสียงที่ออกมาฟังแล้วใกล้เคียงกับคำว่า “เสี่ยวชินชิน” ซึ่งนั่นทำให้จิ้นเทียนหยู่รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ฟัง

ก็จะอะไรซะอีกล่ะ คำว่าเสี่ยวชินชินมันทำให้เขาคิดว่าเจียงป่าวชิงเป็นผู้หญิงหน้าขาวอยู่เรื่อย เขาถลึงตาใส่เจียงป่าวชิงอย่างอดไม่ได้

เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงงที่จิ้นเทียนหยู่ถลึงตาใส่

‘ประสาทรึไง ถลึงตาใส่ข้าทำไมกัน ?’

จิ้นเทียนหยู่ไม่อยากมองเจียงป่าวชิงจึงหันหน้าไปทางอื่น เขาพูดกับกู่ฟู่กุ้ยด้วยน้ำเสียงหยาบ ๆ “พี่ใหญ่ พี่อย่าไปฟังพี่ซูพูดเหลวไหล ผู้หญิงคนนั้นน่ะนางสวยมาก โจรอย่างเราเห็นพวกผู้หญิงที่หน้าตาสะสวยขนาดนี้ ถ้าไม่ปล้นกลับมา มันจะคู่ควรกับฉายาโจรของเราได้ยังไง ?”

กู่ฟู่กุ้ยด่าทันที “เวรเอ๊ย! เจ้าบ้าจิ้น! ถ้าเจ้าบอกว่าเจ้าชอบผู้หญิงคนนั้นจึงอยากลักพาเอาตัวนางกลับมาเป็นเมียก็ได้แล้ว! แต่เจ้ากลับไปลักเอานางมาอย่างสะเพร่าแล้วยังทำตามอำเภอใจแบบนี้ มันน่านัก…” กู่ฟู่กุ้ยกำหมัดแน่น ยกขึ้นทำท่าจะต่อยจิ้นเทียนหยู่อยู่รอมร่อ

จิ้นเทียนหยู่ยังคงรู้สึกงุนงง “ทำไมล่ะ นี่ข้าจะพาคนมาไม่ได้เลยรึไง ? ใช่ว่าข้าจะย่ำยีนางซะหน่อย ไม่ใช่ว่าพี่ซูเองก็มักชอบไปลักเอาตัวผู้ชายกลับมาหยอกเล่นแล้วค่อยปล่อยกลับไปหรอกรึ ?”

ซูรุ่ยเอ๋อร์เห็นจิ้นเทียนหยู่พูดถึงตัวเอง คิ้วสวยจึงเลิกขึ้นและหัวเราะคิกคัก “ใช้ได้หนิ น้องสาม เจ้ามีหญิงแล้วก็เอวแข็งเลยนะ แถมยังกล้าพูดถึงพี่ซูของเจ้าด้วย เจ้ามีปัญหาหรือไงที่ข้าไปปล้นพาเอาผู้ชายกลับมา นั่นเป็นวาสนาที่พวกเขาสร้างไว้แปดชั่วอายุคนถึงได้ถูกข้าหยอกเย้าพวกเขา”

จิ้นเทียนหยู่ไม่เก่งเรื่องคบค้าสมาคมกับผู้หญิง เขาเห็นซูรุ่ยเอ๋อร์พูดเช่นนี้จึงทำได้เพียงหันหน้ากลับไปและแสดงท่าทางประมาณว่า “ข้าพูดไม่เก่งเท่าเจ้า แต่เจ้าเองก็กล่อมข้าไม่ได้หรอก”

กู่ฟู่กุ้ยเห็นจิ้นเทียนหยู่มีท่าทีแข็งทื่อจึงตบลงไปบนไหล่ของจิ้นเทียนหยู่ “เจ้าบ้าจิ้น… สำหรับผู้หญิง ยามที่ถูกลักพาตัวไปและถูกปล่อยกลับออกมาอีกครั้ง มันไม่เหมือนกับผู้ชายหรอก ชื่อเสียงนางถูกทำลายไปแล้ว โดยพื้นฐานอนาคตของผู้หญิงคนนี้จะต้องจบสิ้นไปตลอดชีวิต”

จิ้นเทียนหยู่พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ใครจะสนใจว่านางจบสิ้นไปตลอดชีวิตหรือไม่จบสิ้น พี่ใหญ่ ตกลงว่าพี่อยู่ข้างใครกันแน่ ?”

กู่ฟู่กุ้ยยักไหล่

ทันใดนั้นเจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะอยู่ทางด้านข้าง นั่นทำให้จิ้นเทียนหยู่หันหัวหอกไปที่เจียงป่าวชิงทันที “หมอแซ่เจียง! ทำไมเจ้าต้องหัวเราะเยาะความโชคร้ายของคนอื่นด้วย อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นที่เจ้าส่งสายตาไปมากับผู้หญิงคนนั้นนะโว้ย!”

“โอ๊ะ ๆ ๆ!” ซูรุ่ยเอ๋อร์เลียริมฝีปาก “เห็นทีว่าผู้หญิงคนนั้นคงสวยมากจริง ๆ พวกเจ้าถึงได้แย่งกัน”

“หัวหน้าซู หัวหน้าสามทำอะไรไม่เคยใช้สมองมาโดยตลอด ท่านอย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหลล่ะ” เจียงป่าวชิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ

จิ้นเทียนหยู่ชักมีดขู่เจียงป่าวชิง เขาคำรามเสียงดัง “เจ้าบอกว่าใครไม่ใช้สมอง ?!”

เจียงป่าวชิงแค่นหัวเราะ “อะไร ข้าก็พูดออกจะชัดเจนว่า ‘หัวหน้าสาม’ แล้วหัวหน้าสามยังจะถามอีกครั้งทำไม เห็นได้ชัดว่าท่านไม่ได้ใช้สมองเลยจริง ๆ”

“ฮึ่มไอ้หมอบ้า! พี่ใหญ่ พี่อย่าห้ามข้า วันนี้แหละข้าจะฟันไอ้หมอแซ่เจียงนี่ให้ตายสิ้น!” จิ้นเทียนหยู่คำรามเสียงดัง

กู่ฟู่กุ้ยกลอกตามองบน เขากดจิ้นเทียนหยู่ให้นั่งลงบนเก้าอี้

เจียงป่าวชิงมองจิ้นเทียนหยู่ที่แยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ภายใต้การห้ามปรามของกู่ฟู่กุ้ยด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “บอกว่าท่านไม่ใช้สมองนี่ถือว่าเป็นการยกระดับท่านแล้วนะ แม้ท่านจะไม่รู้สถานะของผู้หญิงคนนั้น แต่แค่ท่านลองสังเกตดูเสื้อผ้ากับเครื่องประดับของนางสักนิด ก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าภูมิหลังของนางต้องไม่ธรรมดา แต่นี่ท่านเห็นนางสวยนิดสวยหน่อยก็ถือโอกาสลักพาเอาตัวนางกลับมาอย่างไม่คิดให้ดี ๆ ก่อน ใช่ ก็จริงที่หมู่บ้านของเราอยู่ในจุดที่ดี ง่ายต่อการป้องกันและโจมตีได้ยาก กี่ครั้งแล้วที่พวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยบ้านเมืองยกขบวนกันมาหมายจะปราบปรามโจรอย่างเรา ๆ สุดท้ายก็ต้องคอตกผิดหวังกลับไป แต่ท่านจงรู้ไว้ว่าถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถหารายได้ได้แม้แต่นิดเดียว แต่พวกเขาจะสร้างความเสียหายให้กับหมู่บ้านแห่งนี้ และความเสียหายที่ว่าก็คือหญิงคนที่ท่านไปพาเอานางกลับมาด้วยความใจร้อนนั่นแหละ”

ไม่บ่อยนักที่เจียงป่าวชิงจะพูดกับจิ้นเทียนหยู่ยาวเหยียดเช่นนี้

จิ้นเทียนหยู่ตกตะลึงก่อนจะโมโหเพราะรู้สึกอับอาย เขาถลึงตาใส่เจียงป่าวชิง “ โจรอย่างเราจะไม่กล้าทำอะไรเลยเพราะมัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่ได้ยังไง ?! แบบนั้นก็เป็นโจรขี้ขลาดเซ่!”

เจียงป่าวชิงพยักหน้า “จริงอยู่ที่ความกล้าหาญเป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่เราต้องกล้าอย่างมีสมองด้วย”

จิ้นเทียนหยู่มองเจียงป่าวชิงอย่างเหลืออด ไอ้หมอแซ่เจียงนี่วอนเสียแล้ว ไม่พูดถึงเขาในทางที่ดีเลยสักนิด เอาแต่ด่าแต่เหน็บ เมื่อครู่นี้ก็เหมือนจะชมแต่ก็ยังปิดท้ายด้วยคำด่าอีก มันอะไรกันนักกันหนา

เจียงป่าวชิงไม่สนใจจิ้นเทียนหยู่ นางเลือกที่จะหันไปมองกู่ฟู่กุ้ยแทน “หัวหน้าใหญ่ ข้าจำได้ว่าท่านมีคนรู้จักอยู่ที่เมืองหลวงใช่ไหม ?”

สายตาที่กำลังมองเรื่องสนุกของกู่ฟู่กุ้ยเปลี่ยนไปทันที “น้องเจียง เจ้าหมายความว่ายังไง ?”

เจียงป่าวชิงถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนั้นบอกข้าว่านางชื่อหลี่อันหรู ครอบครัวของนางเป็นตระกูลใหญ่ที่เมืองหลวง… ข้ามองดูการแต่งกายของนางแล้ว คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ถ้าหากว่าหัวหน้าใหญ่มีคนที่รู้จัก จะดีกว่าหรือไม่หากเขียนจดหมายถึงเขาและถามเกี่ยวกับข้อมูลของหลี่อันหรูแบบอ้อม ๆ และถ้าเราได้รู้ว่าเราไปยุแหย่คนที่ไม่ควรยุแหย่เข้าจริง ๆ ละก็…” เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย สายตาก็มองจิ้นเทียนหยู่

จิ้นเทียนหยู่หันหน้าเสมองไปทางอื่น

เจียงป่าวชิงพูดต่อ “…เราจะได้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะถึงยังไงโจรอย่างเราก็ไม่ควรหดหัวอยู่ในกระดอง ไม่กล้าทำอะไรเลยเพียงเพราะมัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่”

“เหอะ!” จิ้นเทียนหยู่แค่นเสียง ประโยคก่อนหน้าที่เจียงป่าวชิงพูดว่าความกล้าหาญเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่ต้องกล้าอย่างมีสมอง เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังถากถางเขา

จิ้นเทียนหยู่รู้สึกเพียงว่ามีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในหน้าอกของตน

กู่ฟู่กุ้ยพยักหน้า “อืม น้องเจียง เจ้าพูดได้อย่างมีเหตุผลมาก” เขาชะงักไปก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าเก้อเขิน “แต่เรื่องเขียนจดหมาย… น้องเจียง เจ้าเองก็รู้ว่าข้าไม่รู้หนังสือ งั้นรบกวนเจ้าหน่อยแล้วกัน”

ที่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีใครรู้อดีตของเจียงป่าวชิง แน่นอนว่านางไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องที่เขียนหนังสือได้จึงพยักหน้ารับ “ได้ ไม่มีปัญหา”

จิ้นเทียนหยู่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นจากด้านข้าง “จะไปทำให้ยุ่งยากแบบนั้นทำไม ตอนนั้นข้าลงมือได้อย่างขาวสะอาดมาก คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตายกันหมด ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้สักหน่อย”

กู่ฟู่กุ้ยถลึงตาใส่จิ้นเทียนหยู่ “เจ้าพาแม่นางคนงามคนนั้นไปเดินอวดเสียทั่ว ระหว่างทางคิดว่าไม่มีใครเห็นเลยรึ ? ถ้าหากว่าคนมันตั้งใจจะสืบหาจริง ๆ มีหรือจะหาไม่เจอ …นี่ผ่านไปแค่ไม่ถึงหนึ่งวัน ข่าวคราวก็ลือกันไปทั่วหมู่บ้านแล้ว ข้าถึงได้เรียกเจ้ากับน้องเจียงมาถามให้แน่ชัดยังไงเล่า น้องสาม ดูจากท่าทีของเจ้า ไม่เหมือนว่าเจ้าถูกอกถูกใจนางเลย แล้วเจ้าจะไปลักพานางกลับมาทำไม ?!”

จิ้นเทียนหยู่ยืนกราน “ก็… ข้าเห็นว่านางสวย”

กู่ฟู่กุ้ยเห็นท่าทีแข็งทื่อของเจ้าบ้าจิ้น เขาก็อดตบเข่าอย่างเสียมิได้ “ก็ได้! ก็ได้! เจ้าลักพาคนอื่นเป็นแล้วนี่! ทางที่ดีเจ้าควรไปโอ๋ผู้หญิงคนนั้นให้ดี ๆ อย่าให้นางออกมาทำตัวน่ารำคาญข้างนอก นี่ผ่านไปแค่ครึ่งวัน มีหลายคนต่างก็ชอบพอนางแล้ว และยังมาต่อแถวเพื่อรอถามข้าเกี่ยวกับเรื่องของนางด้วย”

จิ้นเทียนหยู่มองเจียงป่าวชิงที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ไม่พูดอะไรออกมาเลยแบบนั้น