ขณะที่คิดจะฉีกทิ้ง จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาแย่งไป
“ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าคงหาจดหมายฉบับนี้ไม่เจอ สกุลหลินเลี้ยงดูเจ้ามานาน เจ้าช่างเป็นคนกตัญญูรู้คุณเหลือเกิน”
เสียงของหลินเมิ้งหยาพลันดังขึ้น สีหน้าของแม่นมเปลี่ยนไป ตอนที่คิดจะเข้าไปแย่งจดหมายในมือของหลินเมิ้งหยา นางกลับถูกหลินจงอวี้และหลินมู่จือจับตัวเอาไว้
หลินเมิ้งหยาคลี่กระดาษจดหมาย แล้วกวาดสายตาอ่าน ซ่างกวนฉิงเขียนข้อความเล่าเรื่องราวการโดนลงโทษจากหลินมู่จือด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่นางกลับไม่แม้แต่จะเขียนเล่าถึงความชั่วของตนเองกับหลินเมิ้งหวู่เลยแม้แต่น้อย
“ฮึ เข้ามา นำตัวนางไปขังไว้ ห้ามมิให้นางออกจากประตูแม้เพียงครึ่งก้าว”
หลินหนานเซิงรับจดหมายจากมือของน้องสาวมาอ่าน
“บังอาจนัก! คิดไม่ถึงเลยว่าซ่างกวนฉิงกับหลินเมิ้งหวู่จะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ หวังจะให้คนสกุลซ่างกวนมาช่วยเหลือ พวกนางคิดหรือว่าสกุลหลินจะสามารถรังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้น?”
เสียงระเบิดอารมณ์ของหลินมู่จือดังขึ้น
“ความจริงเห็นกันอยู่ทนโท่ วางใจเถิด ข้าจะเก็บจดหมายฉบับนี้เอาไว้อย่างดี เจ้าจงไปเค้นถามแม่นมคนนั้นให้ดี เชื่อว่านางจะต้องหลุดปากออกมามากมายอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะเป็นฝ่ายเชิญสกุลซ่างกวนมาสั่งสอนลูกสาวของตนเอง”
เมื่อเทียบกับฮองเฮาแล้ว ซ่างกวนฉิงไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร
จนกระทั่งตอนนี้นางยังคงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
นางเป็นฮูหยินของท่านพ่อ อันที่จริงนางมีโอกาสกล่าวโน้มน้าวท่านพ่อได้ มิเช่นนั้นท่านพ่อคงไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาเช่นนี้
ล้วนเป็นผลกรรมที่ตามทันพวกนางแท้ๆ
ยามที่กลับออกจากบ้านสกุลหลิน หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้าด้วยท่าทางเหม่อลอย
แม้ซ่างกวนฉิงจะถูกท่านพ่อขังเอาไว้ แต่เรื่องนี้หาใช่เรื่องน่าชมเชย คาดว่าเรื่องนี้คงปิดบังสกุลซ่างกวนได้อีกไม่นาน ปัญหาตอนนี้คือจะทำเช่นไรที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
คิดจะให้คนจิตใจต่ำช้าฟ้องร้องออกมาก่อน เช่นนั้นนางจะต้องหาวิธีเอาผิดซ่างกวนฉิงด้วย
หากไม่มีหลักฐาน การจะตีคนให้ตายนั้นไม่ง่ายเลย
“พี่สาว ท่านกำลังกังวลเรื่องฮูหยินหลินอยู่ใช่หรือไม่?”
เสี่ยวอวี้ไม่ต่างอะไรจากน้องชายที่คลอดตามกันมา เพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าหลินเมิ้งหยากำลังกังวลเรื่องอะไร
“อืม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตอนนี้ทุกคนกำลังเตรียมงานเทศกาลฤดูหนาวกันอยู่ จะมีใครที่ไหนมาจับผิดบ้านสกุลหลิน”
แน่นอนว่านางพูดความจริง
บนถนน โคมไฟมากมายหลากสีสันประดับประดาไว้อย่างงดงาม เพียงมองลอดหน้าต่างออกไปก็ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของทุกคน
ราวกับว่าหัวใจของหลินเมิ้งหยาถูกบรรยากาศครึกครื้นเหล่านี้ดึงดูด ในสมัยโบราณแห่งนี้ทุกคนดูจะให้ความสำคัญกับเทศกาลเหล่านี้มาก
“เสี่ยวอวี้ บอกให้หยุดที่ร้านหรูอี้ นานแล้วที่ข้ามิได้ไปยังร้านสามสหาย เจ้าเองก็ไปกับข้าเถิด”
ด้านนอก สีของท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ทว่าหลินเมิ้งหยากลับใคร่อยากไปดูแหล่งขุมทรัพย์ของตนเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“ขอรับ ข้าจะไปกับท่าน”
ขอเพียงได้อยู่กับพี่สาว ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟเขาก็จะไป
เสี่ยวอวี้ออกไปสั่งคนขับรถ หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้าและมองดูความสวยงามบนถนน
เดินออกจากทางหลังร้านหรูอี้และเข้าไปในสวนด้านหลังของร้านสามสหาย ท่านลุงป๋ายและท่านแม่ป๋ายกำลังยุ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยามาที่นี่
หิมะในสวนถูกทำกวาดอย่างหมดจด น้องชายและน้องสาวของป๋ายจีเองก็รับตัวมาอยู่ด้วยกันแล้ว
หลังจากได้เห็นชายานางฟ้าของพวกเขา พวกเขารีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า
“พี่สาวพระชายา เหตุใดช่วงนี้ท่านจึงไม่ค่อยมาที่นี่เลย?”
คนที่มีความกล้ามากที่สุดคือน้องสาวคนโตของป๋ายจี หลังจากที่มาถึงร้านสามสหาย พ่อแม่ของป๋ายจีก็ยอมให้ลูกๆ ของตนเองกลายเป็นคนรับใช้ของหลินเมิ้งหยาแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นแซ่ป๋าย
สาวน้อยป๋ายถิงกะพริบตาปริบๆ ขณะเงยหน้ามองหลินเมิ้งหยา
“ช่วงนี้งานยุ่งก็เลยไม่ได้มาหาทุกคน พวกเจ้าเป็นเด็กดีหรือไม่? ซนกันหรือเปล่า?”
เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ อาหารการกินเองก็มิได้มีเพียงผักรสเฝื่อน ดังนั้นเด็กน้อยเหล่านี้จึงอ้วนท้วนขึ้นกว่าเดิม
ใบหน้างดงามโดดเด่นเสมือนป๋ายจี นางมีหน้าตาน่ารักมากกว่าคุณหนูชนชั้นสูงหลายเท่า
ลูบศีรษะคนนี้ อุ้มคนนั้นขึ้นมา เหล่าเด็กน้อยเห็นหลินเมิ้งหยาเป็นเสมือนพี่สาวอย่างไรอย่างนั้น
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะชอบเด็กๆ มาก”
เสียงของหยุนจู๋ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หลินเมิ้งหยาหมุนตัว
หญิงสาวที่เคยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าและสวมผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้าเปลี่ยนสีชุดเป็นสีม่วงอ่อน ในที่สุดใบหน้าที่มีแต่ริ้วรอยกลับกลายเป็นงดงามอีกครั้ง
“ดีใจที่เห็นเจ้ากลับมางดงามเหมือนก่อน”
นอกจากเนื้อที่เริ่มหย่อนคล้อยบางส่วน ทว่าทั้งขนคิ้วและผิวพรรณกลับมางดงามสมคำร่ำลือในฐานะหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงแล้ว
เมื่อเทียบกับความงามของหลินเมิ้งหยา หยุนจู๋มีความงดงามของผู้ใหญ่
ดอกกุหลาบสีม่วงทัดอยู่บนใบหน้าด้านขวา ขับให้ดวงหน้าของนางยิ่งงดงามมากขึ้น
หยุนจู่ในเวลานี้มิได้งดงามแบบเด็กสาวไร้เดียงสา แต่นางกลับมีเสน่ห์ชวนมองจนมิอาจละสายตาได้
“ข้าคนก่อนตายไปนานแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงร่างที่มีเนื้อหนังแต่เพียงเท่านั้น ป๋ายหลี่รุ่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหตุเพราะใบหน้ากลับมางดงามดั่งเดิม ดังนั้นความเกลียดชังที่มีต่ออาจารย์จึงลดลง
หากไม่มีความรัก เช่นนั้นความเกลียดชังจะเกิดขึ้นมาได้เยี่ยงไร หลินเมิ้งหยาพยักหน้าก่อนจะตอบ
“ท่านอาจารย์สบายดี แต่ถึงอย่างไรเขาก็อยากเจอหน้าเจ้าสักครั้ง”
ถูกหลานชายของตนเองหลอก เขาขังตัวเองอยู่ในห้องหินมานานหลายปี ท่านอาจารย์ศึกษายาพิษของตนเองเสมอมา นั่นแสดงให้เห็นว่าท่านอาจารย์มิใช่คนที่จะทิ้งขว้างอะไรไปง่ายๆ
ทว่าหลังจากที่ได้พบกับหยุนจู๋ หัวใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป อีกทั้งวิธีการพูดยังเปลี่ยนไป เขามักจะลอบถามถึงหยุนจู๋เสมอ
อันที่จริงพวกเขาทั้งคู่ล้วนยังฝังใจเรื่องในอดีต แต่เพราะเหตุการณ์ในปัจจุบันทำให้พวกเขาไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว
“เวลาผันผ่านไปขนาดนี้แล้ว จะได้พบหรือไม่นั้นสำคัญไฉน จริงสิ เจ้ายังไม่ลืมเรื่องที่สัญญากับข้าใช่หรือไม่? ทางฝั่งนั้นเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอเจ้าไปดูอาการแต่เพียงเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า นางเคยได้ยินชิงหูเปรยถึงเรื่องนี้
แต่เพราะช่วงนี้งานยุ่งนางจึงไม่ได้มาเท่านั้น
“อืม ข้ารู้แล้ว”
เมื่อมองเสถียรภาพทางการเงินของตนเอง นางมีร้านหรูอี้อยู่ในมือ ดังนั้นนางจึงมีเงินให้ใช้ไม่ขาดมือ อีกทั้งนางยังได้ยินมาว่ายังไม่อาจเลือกคุณชายทั้งสามจากกลุ่มสามสหายได้
สิ่งที่นางอยากสร้างคือกลุ่มที่มีหน้าที่เสมือนหน่วยข่าวกรอง ส่วนนางจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและปรากฏตัวออกมาเพียงบางครั้งเท่านั้น
เคาะหน้าผาก หลินเมิ้งหยาเพิ่งพบว่าตอนนี้หาใช่เวลาที่จะนิ่งนอนใจ
รีบไปทักทายท่านลุงและท่านป้าป๋าย ก่อนจะขอตัวกลับจวน
ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าประตู พ่อบ้านเติ้งที่แสดงสีหน้าเสมือนได้เจอดวงดาวช่วยชีวิตก็รีบพุ่งเข้ามาหา
“นายหญิง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว หากท่านยังไม่กลับมา เกรงว่าท่านอ๋องจะต้องส่งคนไปเชิญท่านกลับมาจากสกุลหลินเป็นแน่”
หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วสูง นางเพิ่งจะหายไปจากจวนเพียงวันเดียวเท่านั้น หรือพระสนมเต๋อเฟยจะก่อเรื่องอันใดขึ้นมาอีก?
เดินผ่านสวนเข้าไป ก่อนจะมาถึงตำหนักฉินหวู่ของหลงเทียนอวี้ นางพบว่าภายในห้องอ่านหนังสือของเขามีพวกผู้ชายอยู่จำนวนมาก
“ท่านอ๋อง พระชายาเสด็จ…”
สิ้นเสียงของพ่อบ้านเติ้ง ผู้ชายทั้งห้องต่างหันหน้าและส่งสายตาเข้ามาจับจ้องมองนาง
“คือว่า…มีอะไรหรือ?”
เอ่ยถามด้วยความสงสัย เพียงปรากฏตัวในห้องอ่านหนังสือ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียด
หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“พวกเจ้าออกไปก่อน เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
บรรยากาศสงบนิ่งจนน่าอึดอัด หากไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น หลงเทียนอวี้ไม่มีทางเรียกลูกน้องของตนเองมารวมตัวกันอย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปหาหลงเทียนอวี้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง ยื่นมือเข้าไปจับรอยยับบนเสื้อผ้าของเขา ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
“พระองค์เข้าไปในวังมิใช่หรือเพคะ? เกิดอะไรขึ้น? หรือไท่จื่อข่มเหงพระองค์อีกแล้วหรือ?”
เมื่อพูดถึงไท่จื่อ ดวงตาของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นความรำคาญ
“ไท่จื่อต้องการให้ข้าเตรียมงานเลี้ยงฉลองหลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ ก่อนนั้นเขาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ทว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียงไม่กี่วันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาอยากทำให้ข้ากลายเป็นตัวตลก”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลินเมิ้งหยาเข้าใจได้ในทันทีว่าเพราะเหตุใดหลงเทียนอวี้จึงโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้
งานเลี้ยงฉลองเทศกาลฤดูหนาวจะต้องเชิญญาติพี่น้องเข้ามาร่วมงาน หากจัดงานไม่ดี หลงเทียนอวี้จะต้องกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน
แต่เพียงแค่งานเลี้ยงคงมิทำให้เขาลำบากใจเช่นนี้อย่างแน่นอน
“เช่นนั้นท่านอ๋องยังมีเรื่องหนักใจอื่นใดอีกหรือเพคะ?”
หลงเทียนอวี้ลอบมองนาง ก่อนจะตอบเสียงเย็น “ทุกครั้งที่จัดงานเทศกาล จำเป็นต้องมีการแสดงที่แปลกและแตกต่างเพื่อแสดงถึงความใส่ใจของเจ้าของงาน ทว่าปีนี้เสด็จพ่อยังประชวร หากจัดยิ่งใหญ่เกินไปก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าอกตัญญู หากจัดเล็กเกินงามก็จะถูกมองว่าน่าเบื่อ”
หลินเมิ้งหยาเข้าใจที่มาที่ไปแล้ว แต่ด้วยความสามารถของหลงเทียนอวี้ ไม่มีทางเลยที่เขาจะแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้
ทว่า….มองดูใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังงอแงใส่นางกันนะ?
“เรื่องนี้ไม่ยากเลยเพคะ หม่อมฉันขอรับหน้าที่นั้นเอาไว้เอง ท่านอ๋องเพียงแค่ไปหานางรำที่มีไหวพริบมาให้หม่อมฉันก็พอ ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันจะจัดการเอง”