เล่มที่ 8 บทที่ 239 แผนซ้อนแผน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ขณะที่คิดจะฉีกทิ้ง จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาแย่งไป

“ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าคงหาจดหมายฉบับนี้ไม่เจอ สกุลหลินเลี้ยงดูเจ้ามานาน เจ้าช่างเป็นคนกตัญญูรู้คุณเหลือเกิน”

เสียงของหลินเมิ้งหยาพลันดังขึ้น สีหน้าของแม่นมเปลี่ยนไป ตอนที่คิดจะเข้าไปแย่งจดหมายในมือของหลินเมิ้งหยา นางกลับถูกหลินจงอวี้และหลินมู่จือจับตัวเอาไว้

หลินเมิ้งหยาคลี่กระดาษจดหมาย แล้วกวาดสายตาอ่าน ซ่างกวนฉิงเขียนข้อความเล่าเรื่องราวการโดนลงโทษจากหลินมู่จือด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่นางกลับไม่แม้แต่จะเขียนเล่าถึงความชั่วของตนเองกับหลินเมิ้งหวู่เลยแม้แต่น้อย

“ฮึ เข้ามา นำตัวนางไปขังไว้ ห้ามมิให้นางออกจากประตูแม้เพียงครึ่งก้าว”

หลินหนานเซิงรับจดหมายจากมือของน้องสาวมาอ่าน

“บังอาจนัก! คิดไม่ถึงเลยว่าซ่างกวนฉิงกับหลินเมิ้งหวู่จะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ หวังจะให้คนสกุลซ่างกวนมาช่วยเหลือ พวกนางคิดหรือว่าสกุลหลินจะสามารถรังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้น?”

เสียงระเบิดอารมณ์ของหลินมู่จือดังขึ้น

“ความจริงเห็นกันอยู่ทนโท่ วางใจเถิด ข้าจะเก็บจดหมายฉบับนี้เอาไว้อย่างดี เจ้าจงไปเค้นถามแม่นมคนนั้นให้ดี เชื่อว่านางจะต้องหลุดปากออกมามากมายอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะเป็นฝ่ายเชิญสกุลซ่างกวนมาสั่งสอนลูกสาวของตนเอง”

เมื่อเทียบกับฮองเฮาแล้ว ซ่างกวนฉิงไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร

จนกระทั่งตอนนี้นางยังคงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

นางเป็นฮูหยินของท่านพ่อ อันที่จริงนางมีโอกาสกล่าวโน้มน้าวท่านพ่อได้ มิเช่นนั้นท่านพ่อคงไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาเช่นนี้

ล้วนเป็นผลกรรมที่ตามทันพวกนางแท้ๆ

ยามที่กลับออกจากบ้านสกุลหลิน หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้าด้วยท่าทางเหม่อลอย

แม้ซ่างกวนฉิงจะถูกท่านพ่อขังเอาไว้ แต่เรื่องนี้หาใช่เรื่องน่าชมเชย คาดว่าเรื่องนี้คงปิดบังสกุลซ่างกวนได้อีกไม่นาน ปัญหาตอนนี้คือจะทำเช่นไรที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้

คิดจะให้คนจิตใจต่ำช้าฟ้องร้องออกมาก่อน เช่นนั้นนางจะต้องหาวิธีเอาผิดซ่างกวนฉิงด้วย

หากไม่มีหลักฐาน การจะตีคนให้ตายนั้นไม่ง่ายเลย

“พี่สาว ท่านกำลังกังวลเรื่องฮูหยินหลินอยู่ใช่หรือไม่?”

เสี่ยวอวี้ไม่ต่างอะไรจากน้องชายที่คลอดตามกันมา เพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าหลินเมิ้งหยากำลังกังวลเรื่องอะไร

“อืม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตอนนี้ทุกคนกำลังเตรียมงานเทศกาลฤดูหนาวกันอยู่ จะมีใครที่ไหนมาจับผิดบ้านสกุลหลิน”

แน่นอนว่านางพูดความจริง

บนถนน โคมไฟมากมายหลากสีสันประดับประดาไว้อย่างงดงาม เพียงมองลอดหน้าต่างออกไปก็ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของทุกคน

ราวกับว่าหัวใจของหลินเมิ้งหยาถูกบรรยากาศครึกครื้นเหล่านี้ดึงดูด ในสมัยโบราณแห่งนี้ทุกคนดูจะให้ความสำคัญกับเทศกาลเหล่านี้มาก

“เสี่ยวอวี้ บอกให้หยุดที่ร้านหรูอี้ นานแล้วที่ข้ามิได้ไปยังร้านสามสหาย เจ้าเองก็ไปกับข้าเถิด”

ด้านนอก สีของท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ทว่าหลินเมิ้งหยากลับใคร่อยากไปดูแหล่งขุมทรัพย์ของตนเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง

“ขอรับ ข้าจะไปกับท่าน”

ขอเพียงได้อยู่กับพี่สาว ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟเขาก็จะไป

เสี่ยวอวี้ออกไปสั่งคนขับรถ หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้าและมองดูความสวยงามบนถนน

เดินออกจากทางหลังร้านหรูอี้และเข้าไปในสวนด้านหลังของร้านสามสหาย ท่านลุงป๋ายและท่านแม่ป๋ายกำลังยุ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยามาที่นี่

หิมะในสวนถูกทำกวาดอย่างหมดจด น้องชายและน้องสาวของป๋ายจีเองก็รับตัวมาอยู่ด้วยกันแล้ว

หลังจากได้เห็นชายานางฟ้าของพวกเขา พวกเขารีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า

“พี่สาวพระชายา เหตุใดช่วงนี้ท่านจึงไม่ค่อยมาที่นี่เลย?”

คนที่มีความกล้ามากที่สุดคือน้องสาวคนโตของป๋ายจี หลังจากที่มาถึงร้านสามสหาย พ่อแม่ของป๋ายจีก็ยอมให้ลูกๆ ของตนเองกลายเป็นคนรับใช้ของหลินเมิ้งหยาแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นแซ่ป๋าย

สาวน้อยป๋ายถิงกะพริบตาปริบๆ ขณะเงยหน้ามองหลินเมิ้งหยา

“ช่วงนี้งานยุ่งก็เลยไม่ได้มาหาทุกคน พวกเจ้าเป็นเด็กดีหรือไม่? ซนกันหรือเปล่า?”

เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ อาหารการกินเองก็มิได้มีเพียงผักรสเฝื่อน ดังนั้นเด็กน้อยเหล่านี้จึงอ้วนท้วนขึ้นกว่าเดิม

ใบหน้างดงามโดดเด่นเสมือนป๋ายจี นางมีหน้าตาน่ารักมากกว่าคุณหนูชนชั้นสูงหลายเท่า

ลูบศีรษะคนนี้ อุ้มคนนั้นขึ้นมา เหล่าเด็กน้อยเห็นหลินเมิ้งหยาเป็นเสมือนพี่สาวอย่างไรอย่างนั้น

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะชอบเด็กๆ มาก”

เสียงของหยุนจู๋ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หลินเมิ้งหยาหมุนตัว

หญิงสาวที่เคยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าและสวมผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้าเปลี่ยนสีชุดเป็นสีม่วงอ่อน ในที่สุดใบหน้าที่มีแต่ริ้วรอยกลับกลายเป็นงดงามอีกครั้ง

“ดีใจที่เห็นเจ้ากลับมางดงามเหมือนก่อน”

นอกจากเนื้อที่เริ่มหย่อนคล้อยบางส่วน ทว่าทั้งขนคิ้วและผิวพรรณกลับมางดงามสมคำร่ำลือในฐานะหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงแล้ว

เมื่อเทียบกับความงามของหลินเมิ้งหยา หยุนจู๋มีความงดงามของผู้ใหญ่

ดอกกุหลาบสีม่วงทัดอยู่บนใบหน้าด้านขวา ขับให้ดวงหน้าของนางยิ่งงดงามมากขึ้น

หยุนจู่ในเวลานี้มิได้งดงามแบบเด็กสาวไร้เดียงสา แต่นางกลับมีเสน่ห์ชวนมองจนมิอาจละสายตาได้

“ข้าคนก่อนตายไปนานแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงร่างที่มีเนื้อหนังแต่เพียงเท่านั้น ป๋ายหลี่รุ่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”

เหตุเพราะใบหน้ากลับมางดงามดั่งเดิม ดังนั้นความเกลียดชังที่มีต่ออาจารย์จึงลดลง

หากไม่มีความรัก เช่นนั้นความเกลียดชังจะเกิดขึ้นมาได้เยี่ยงไร หลินเมิ้งหยาพยักหน้าก่อนจะตอบ

“ท่านอาจารย์สบายดี แต่ถึงอย่างไรเขาก็อยากเจอหน้าเจ้าสักครั้ง”

ถูกหลานชายของตนเองหลอก เขาขังตัวเองอยู่ในห้องหินมานานหลายปี ท่านอาจารย์ศึกษายาพิษของตนเองเสมอมา นั่นแสดงให้เห็นว่าท่านอาจารย์มิใช่คนที่จะทิ้งขว้างอะไรไปง่ายๆ

ทว่าหลังจากที่ได้พบกับหยุนจู๋ หัวใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป อีกทั้งวิธีการพูดยังเปลี่ยนไป เขามักจะลอบถามถึงหยุนจู๋เสมอ

อันที่จริงพวกเขาทั้งคู่ล้วนยังฝังใจเรื่องในอดีต แต่เพราะเหตุการณ์ในปัจจุบันทำให้พวกเขาไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว

“เวลาผันผ่านไปขนาดนี้แล้ว จะได้พบหรือไม่นั้นสำคัญไฉน จริงสิ เจ้ายังไม่ลืมเรื่องที่สัญญากับข้าใช่หรือไม่? ทางฝั่งนั้นเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอเจ้าไปดูอาการแต่เพียงเท่านั้น”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า นางเคยได้ยินชิงหูเปรยถึงเรื่องนี้

แต่เพราะช่วงนี้งานยุ่งนางจึงไม่ได้มาเท่านั้น

“อืม ข้ารู้แล้ว”

เมื่อมองเสถียรภาพทางการเงินของตนเอง นางมีร้านหรูอี้อยู่ในมือ ดังนั้นนางจึงมีเงินให้ใช้ไม่ขาดมือ อีกทั้งนางยังได้ยินมาว่ายังไม่อาจเลือกคุณชายทั้งสามจากกลุ่มสามสหายได้

สิ่งที่นางอยากสร้างคือกลุ่มที่มีหน้าที่เสมือนหน่วยข่าวกรอง ส่วนนางจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและปรากฏตัวออกมาเพียงบางครั้งเท่านั้น

เคาะหน้าผาก หลินเมิ้งหยาเพิ่งพบว่าตอนนี้หาใช่เวลาที่จะนิ่งนอนใจ

รีบไปทักทายท่านลุงและท่านป้าป๋าย ก่อนจะขอตัวกลับจวน

ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าประตู พ่อบ้านเติ้งที่แสดงสีหน้าเสมือนได้เจอดวงดาวช่วยชีวิตก็รีบพุ่งเข้ามาหา

“นายหญิง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว หากท่านยังไม่กลับมา เกรงว่าท่านอ๋องจะต้องส่งคนไปเชิญท่านกลับมาจากสกุลหลินเป็นแน่”

หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วสูง นางเพิ่งจะหายไปจากจวนเพียงวันเดียวเท่านั้น หรือพระสนมเต๋อเฟยจะก่อเรื่องอันใดขึ้นมาอีก?

เดินผ่านสวนเข้าไป ก่อนจะมาถึงตำหนักฉินหวู่ของหลงเทียนอวี้ นางพบว่าภายในห้องอ่านหนังสือของเขามีพวกผู้ชายอยู่จำนวนมาก

“ท่านอ๋อง พระชายาเสด็จ…”

สิ้นเสียงของพ่อบ้านเติ้ง ผู้ชายทั้งห้องต่างหันหน้าและส่งสายตาเข้ามาจับจ้องมองนาง

“คือว่า…มีอะไรหรือ?”

เอ่ยถามด้วยความสงสัย เพียงปรากฏตัวในห้องอ่านหนังสือ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียด

หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“พวกเจ้าออกไปก่อน เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”

บรรยากาศสงบนิ่งจนน่าอึดอัด หากไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น หลงเทียนอวี้ไม่มีทางเรียกลูกน้องของตนเองมารวมตัวกันอย่างแน่นอน

หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปหาหลงเทียนอวี้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง ยื่นมือเข้าไปจับรอยยับบนเสื้อผ้าของเขา ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน

“พระองค์เข้าไปในวังมิใช่หรือเพคะ? เกิดอะไรขึ้น? หรือไท่จื่อข่มเหงพระองค์อีกแล้วหรือ?”

เมื่อพูดถึงไท่จื่อ ดวงตาของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นความรำคาญ

“ไท่จื่อต้องการให้ข้าเตรียมงานเลี้ยงฉลองหลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ ก่อนนั้นเขาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ทว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียงไม่กี่วันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาอยากทำให้ข้ากลายเป็นตัวตลก”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลินเมิ้งหยาเข้าใจได้ในทันทีว่าเพราะเหตุใดหลงเทียนอวี้จึงโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้

งานเลี้ยงฉลองเทศกาลฤดูหนาวจะต้องเชิญญาติพี่น้องเข้ามาร่วมงาน หากจัดงานไม่ดี หลงเทียนอวี้จะต้องกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน

แต่เพียงแค่งานเลี้ยงคงมิทำให้เขาลำบากใจเช่นนี้อย่างแน่นอน

“เช่นนั้นท่านอ๋องยังมีเรื่องหนักใจอื่นใดอีกหรือเพคะ?”

หลงเทียนอวี้ลอบมองนาง ก่อนจะตอบเสียงเย็น “ทุกครั้งที่จัดงานเทศกาล จำเป็นต้องมีการแสดงที่แปลกและแตกต่างเพื่อแสดงถึงความใส่ใจของเจ้าของงาน ทว่าปีนี้เสด็จพ่อยังประชวร หากจัดยิ่งใหญ่เกินไปก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าอกตัญญู หากจัดเล็กเกินงามก็จะถูกมองว่าน่าเบื่อ”

หลินเมิ้งหยาเข้าใจที่มาที่ไปแล้ว แต่ด้วยความสามารถของหลงเทียนอวี้ ไม่มีทางเลยที่เขาจะแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้

ทว่า….มองดูใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังงอแงใส่นางกันนะ?

“เรื่องนี้ไม่ยากเลยเพคะ หม่อมฉันขอรับหน้าที่นั้นเอาไว้เอง ท่านอ๋องเพียงแค่ไปหานางรำที่มีไหวพริบมาให้หม่อมฉันก็พอ ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันจะจัดการเอง”