หลงเทียนอวี้มองดูใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ที่กำลังแย้มยิ้มบางๆ คำพูดที่คิดอยากจะเอื้อนเอ่ยถูกกลืนลงท้องไปในทันที
หรือว่าพระชายาของเขาจะมีเรื่องน่าประหลาดใจให้เขาได้ตื่นเต้นอีกแล้ว?
“ก็แค่การแสดงมิใช่หรือเพคะ? จริงซิเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องอยากปรึกษาพระองค์”
ส่งยิ้มหวาน ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายจนคนมองรู้สึกหัวใจสั่นไหว นางคิดจะวางแผนอะไรอีก? ใครจะเป็นผู้โชคร้ายคนนั้น?
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ความอ่อนโยนแล่นพล่านเข้ามาในหัวใจของเขา
“เรื่องอันใด?”
ราวกับว่าช่วงนี้เขาไม่เคยปฏิเสธคำขอของหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่ข้อเดียว ความคิดของนางมักทำให้เขาคาดไม่ถึงเสมอ ไม่ต่างอะไรจากดอกไม้ไฟที่สวยงาม แต่ตอนก่อนจะจุดกลับไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกมาเป็นเช่นไร
“หม่อมฉันอยากรู้การตกแต่งในวันนั้น ยังมี….ยังมี….พอถึงเวลานั้นหม่อมฉันจะวาดภาพให้พระองค์ดู ขอเพียงพระองค์ช่วยหม่อมฉันหาช่างมาทำให้ก็พอ เพียงเท่านี้งานเลี้ยงอันน่าตื่นตาตื่นใจก็เสร็จสมบูรณ์แล้วเพคะ”
ในวันงาน เหล่าเครือญาติจะต้องปรากฏตัวในวังหลวง หากนางจัดงานเลี้ยงที่น่าจดจำ เช่นนั้นหลงเทียนอวี้ก็จะยิ่งได้รับความชื่นชม นางชอบมองสีหน้าไท่จื่อเวลาพ่ายแพ้เป็นที่สุด ทว่าช่วงนี้นางต้องคอยระวังมิให้ใครเข้ามาก่อความวุ่นวายก็พอ
หลินเมิ้งหยาที่กำลังดำดิ่งอยู่ในความคิดของตนเองไม่ทันสังเกตเลยว่าเสื้อคลุมของนางคลายออกเล็กน้อยตอนที่เดินมายังที่นี่
หลงเทียนอวี้เหลือบมอง เขารู้ว่าตำหนักหลิวซินของนางอบอุ่นกว่าตำหนักทั่วไป ดังนั้นจึงยื่นมือเข้าไปจัดเสื้อคลุมของนางให้แน่นเพราะเกรงว่านางจะหนาว
นิ้วมือเรียวยาวเข้าไปผูกปมเสื้ออย่างชำนาญ ระยะห่างของทั้งคู่ใกล้กันมากทันใดนั้นหลินเมิ้งหยาที่ดึงสติกลับมาก็ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของหลงเทียนอวี้ที่อยู่ห่างไปเพียงแค่คืบเท่านั้น
จู่ๆ ใบหน้าพลันแดงก่ำ
“ระวังหน่อย อย่าทำให้ตัวเย็น”
ถ่านที่นางใช้ในตำหนักล้วนเป็นถ่านเงินที่เขาคัดเลือกมากับมือ ไม่เพียงแค่ไม่ส่งกลิ่นเหม็น ซ้ำยังส่งกลิ่นหอมอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้เขาจะไม่เคยพูด แต่เขากลับใส่ใจในทุกรายละเอียดเกี่ยวกับนาง เขารู้ว่านางไม่ชอบให้ใครจับตามอง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้องครักษ์ทำเพียงคุ้มครองความปลอดภัยของนางเท่านั้น ไม่ว่านางจะไปที่ใด เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากถาม
เพราะเขารู้ดีว่าหลินเมิ้งหยาไม่มีวันทำร้ายเขา
“อ้อ ขอบพระทัยเพคะ”
ทั้งที่สายตาของเขาเย็นชาและคมกริบแต่นางกลับรู้สึกเอ็นดู
“ท่านอ๋อง ที่ห้องอ่านหนังสือค่อนข้างเย็น เช่นนั้นไปที่ตำหนักของหม่อมฉันเถิดเพคะ”
นิ้วเรียวยาวของเขาแดงระเรื่อ แม้จะมิใช่คนกลัวความหนาว แต่เพราะอากาศที่หนาวเหน็บ ดังนั้นห้องอ่านหนังสือจึงไม่ต่างอะไรจากการยืนอยู่ท่ามกลางน้ำแข็ง หากหนาวตายจะทำเช่นไร?
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะใช้ฝ่ามือเรียวเล็กของตนเองเข้ามาจับมือของเขา ก่อนจะประกบมือเข้าด้วยกันแล้วใช้มือถูไปมาเพื่อมอบความอบอุ่น
“ดูพระองค์เถิด มือเย็นมากขนาดนี้แล้วแท้ๆ พ่อบ้านเติ้งมาย้ายเอกสารและหนังสือของท่านอ๋องไปที่ห้องของข้าเถิด ตอนนี้อากาศหนาว ทุกคนต้มน้ำแกงร้อนๆ กินกันเถิด”
พ่อบ้านเติ้งยืนเหยียดตัวตรงอยู่ด้านนอก ก่อนจะสบตากับหลินขุยแล้วหัวเราะเบาๆ ดูเหมือนอากาศภายในห้องอ่านหนังสือจะอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
หลินเมิ้งหยาหันไปสนใจการถูมือของหลงเทียนอวี้ต่อ นางใส่ใจเขาเป็นอย่างดีจนหัวใจของหลงเทียนอวี้สั่นไหว
แม้เสด็จพ่อจะเอ็นดูเขามาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะเขาเป็นเด็กผู้ชาย ดังนั้นจึงต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ส่วนหมู่เฟย นางต้องคอยต่อสู้กับคนในวังหลังเพื่อไม่ให้ถูกช่วงชิงอำนาจไป
มีเพียงน้าจิ่นเยว่ที่มักจะเตรียมเตาอุ่นและเสื้อกันหนาวให้เขาเสมอ
แต่ไม่มีใครเลยที่จะมอบความอบอุ่นให้หัวใจของเขาเหมือนหลินเมิ้งหยา
“ดูเถิด ตอนนี้ไม่หนาวแล้ว หากมือกลายเป็นน้ำแข็ง เช่นนั้นจะเขียนหนังสือได้อย่างไร ใช่หรือไม่เพคะ?”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะตาหยี แต่นางกลับพบว่าสายตาของหลงเทียนอวี้ลึกล้ำจนไม่อาจเบนสายตาหนีได้
“พระองค์…”
ริมฝีปากแดงราวกับลูกเชอรี่ พวงแก้มสีชมพูระเรื่อ ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ หลงเทียนอวี้จะโน้มใบหน้าลงมา ก่อนจะประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของหลินเมิ้งหยา
ลมหายใจของหลงเทียนอวี้รินรดบนใบหน้า ยังไม่ทันที่นางจะตั้งตัว ริมฝีปากของนางก็ถูกเขาครอบครอง
อันที่จริงจุมพิตของเขามิได้รุนแรง เขาเพียงสัมผัสริมฝีปากของนางเบาๆ ทว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดของนางกลับเหือดหายไปในทันที
ราวกับต้องมนตร์สะกด นางทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้ ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาแดงก่ำราวลูกแอปเปิ้ล
หัวใจด่าว่าตัวเองที่ไม่อาจขัดขืน
ก็แค่จูบไม่ใช่หรือ? เหตุใดแขนขาจึงอ่อนแรงเสมือนคนพิการเช่นนี้?
ก็ได้ นางยอมรับ ชาติก่อนนางมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานวิจัย นางจึงไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ดังนั้นนางก็เลยไม่ชิน
แอบชำเลืองมองหลงเทียนอวี้ ดูเหมือนท่าทางของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเท่าไรนัก
เขา…เป็นฝ่ายจุมพิตหญิงสาวก่อน
แม้หลงเทียนอวี้จะมีท่าทางสงบนิ่ง แต่ทว่าหัวใจของเขากลับรู้สึกเสมือนฟ้าดินกำลังถล่มทลายลงมา
เขายอมรับว่าเขาไม่เคยรังเกียจเวลาหลินเมิ้งหยาเข้าใกล้ แต่การใกล้ชิดกันขนาดนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หัวใจของเขากำลังรู้สึกกระสับกระส่าย ราวกับว่าเขาไม่นึกรังเกียจริมฝีปากบางนุ่มนิ่มและลมหายใจหอมหวานของนาง ชายหนุ่มผู้มีท่าทางสงบนิ่งและเย็นชาเสมอกลับรู้สึกว้าวุ่นเพียงเพราะการจูบ
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันกลับก่อนนะเพคะ คือว่า….หม่อมฉันบอกให้พ่อบ้านเติ้งย้ายของแล้ว พระองค์ลองดูว่ายังขาดเหลืออะไรอีกหรือไม่”
แก้มแดงร้อนผ่าว หลินเมิ้งหยารีบวิ่งออกจากห้อง
สวรรค์โปรด นี่นางจูบกับหลงเทียนอวี้อย่างนั้นหรือ! ยิ่งไปกว่านั้น ยังมิได้จูบกันเพราะฤทธิ์ยาเหมือนทุกครั้ง ความร้อนในร่างกายทำให้สมองเบลอเสียยิ่งกว่ากินยาอีก
ด้านนอก อากาศหนาวเหน็บทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน หลินเมิ้งหยาที่กลับมาสงบนิ่งแล้วตบหน้าตัวเองเบาๆ
แปลกจริงๆ เหตุใดพอข้ามภพมาอยู่ที่นี่จึงไม่สงบนิ่งเหมือนเมื่อก่อนกันนะ
เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของตนเองเมื่อครู่ หลินเมิ้งหยาตะโกนด่าตัวเองในใจ
ก็แค่จูบไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้องแสดงท่าทางเหมือนหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนี้ด้วย
เป็นความผิดของหลงเทียนอวี้นั่นแหละ! เขาจะหล่อขนาดนั้นทำไมเล่า!
บรรยากาศแปลกประหลาดเกิดขึ้นนับตั้งแต่หลงเทียนอวี้เดินเข้าไปในห้องหลักของตำหนักหลิวซิน
สาวใช้ทั้งสี่ที่สลับกะเฝ้ายามมองหน้าพ่อบ้านเติ้งและหลินขุยด้วยความตกใจ พวกเขาขนของในห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้เข้ามายังห้องของพระชายา
แต่ที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นก็คือ หลินเมิ้งหยาที่เคยหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงกลับวิ่งกลับมาพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งไปกว่านั้น นางรีบวิ่งหนีหายเข้าไปในห้องนอน ไม่ว่าใครเรียกก็ไม่ยอมออกมา
ส่วนคนที่เดินตามมาคือหลงเทียนอวี้ที่มีสีหน้าท่าทางแปลกประหลาด เขาสาวเท้ายาวๆ เข้ามาในตำหนัก ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะ จากนั้นพลิกอ่านเอกสารช้าๆ
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่ออกมา แต่นางก็สั่งให้ป๋ายจีนำขนมและชาไปมอบให้กับหลงเทียนอวี้ ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งห่างกันหนึ่งกำแพงกั้น โดยที่ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายเข้าหาอีกฝ่ายก่อน
ราวกับว่าพวกเขากำลังหลบหน้าอีกฝ่าย
ภายในห้อง หลินเมิ้งหยาเปลี่ยนเป็นชุดปกติแล้ว ไม่รู้ว่าความร้อนที่พื้นร้อนเกินไปหรือเป็นเพราะเขา นางจึงรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังร้อนผ่าว
ดังนั้นจึงเปิดหน้าต่างเพื่อมองสีของท้องฟ้า
แม้หลงเทียนอวี้จะอยู่ที่นี่ แต่เสี่ยวอวี้กับชิงหูกลับเมินเฉยต่อเขา
ถลึงตาใส่หลงเทียนอวี้ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเข้าไปในห้องของหลินเมิ้งหยา
หลงเทียนอวี้ขมวดคิ้วแน่น พยายามสะกดกลั้นความไม่พึงพอใจ ช่างเถิด ถึงอย่างไรข้างในก็ยังมีสาวใช้ประจำตัวของหลินเมิ้งหยาอยู่ตั้งสี่คน
“นายหญิง? นายหญิง?”
ป๋ายจีมองดูหลินเมิ้งหยาที่กำลังเหม่อลอย นางกระซิบเรียกเบาๆ
หลินเมิ้งหยาเสมือนคนถูกปลุก หันหน้าไปมองสาวใช้ ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงอย่างน่ารัก
“มีอะไรหรือ?”
ขนตางอนยาวกระพือขึ้นลงราวกับปีกของผีเสื้อ ทว่าสมองอันชาญฉลาดกลับไม่อาจใช้การได้
จู่ๆ ป๋ายจีก็ยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ดูท่าท่านอ๋องจะมีวิธีการเยี่ยมยุทธ์ มิเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของพวกเราคงมิอาจได้เห็นท่าทางเหม่อลอยของนายหญิงอย่างแน่นอน”
เมื่อถูกป๋ายจีหยอกล้อ หลินเมิ้งหยาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำเรื่องน่าอายขนาดไหน
ยกมือขึ้นราวกับต้องการจะตีป๋ายจี
“ช่างเป็นหนู่ปี้ที่บังอาจนัก ข้าจะตีเจ้าให้ร้องหาพ่อแม่เลย”
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นจากภายใน
“ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว นายหญิงไว้ชีวิตข้าด้วย”
ถูกหลินเมิ้งหยาไล่ต้อนไปที่มุมแล้วจั๊กจี้ ป๋ายจีรีบร้องขอความเมตตา
หลินเมิ้งหยาชักมือกลับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านางเรียกทุกคนมาในวันนี้เพราะมีเรื่องให้ต้องทำ
กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเรียกพวกคนที่กำลังหัวเราะอยู่ให้เข้ามารวมตัวกัน
“ข้ามีภารกิจที่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้า แต่ข้าจะไม่บอกแผนการกับพวกเจ้าทั้งหมด ข้าต้องการให้พวกเจ้าทำตามภารกิจนี้ โดยข้าจะแบ่งออกเป็นแต่ละส่วน พวกเจ้าจะได้รับเพียงแค่ส่วนของตัวเองเท่านั้น ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเก็บเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด แต่พวกเจ้าวางใจเถิด สิ่งที่ข้าให้พวกเจ้าทำ พวกเจ้าสามารถทำได้อย่างแน่นอน หากพวกเจ้าสามารถหาของที่พวกเจ้าทำได้เจอ ข้าจะไปช่วยพวกเจ้าทำอีกแรง เรื่องนี้สำคัญและเร่งด่วนมาก พวกเราจะต้องทำมันให้เสร็จก่อนเทศกาลฤดูหนาว”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่ง สีหน้าของทุกคนจึงเคร่งขรึมลงไป
กำแพงบางๆ ไม่อาจสกัดเสียงมิให้ลอดออกมาได้
นิ้วมือเรียวยาวจับพู่กันเอาไว้ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่หลงเทียนอวี้กำลังเหม่อลอย
“ท่านอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ดูเหมือนคนที่อยู่ด้านในกำลังปรึกษาอะไรบางอย่าง บางครั้งเสียงหัวเราะก็ดังลอดออกมาจนคนฟังรู้สึกสนุกตามไปด้วย
จู่ๆ เขาก็รู้สึกประหลาดใจ คนพวกนั้นกำลังพูดเรื่องอะไรกัน
“เจ้าว่าพวกนางกำลังทำอะไรกันอยู่?”
มือที่กำลังฝนหมึกของพ่อบ้านเติ้งหยุดชะงักลง เขามองทางหลงเทียนอวี้ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องสนใจเรื่องคนอื่นอย่างนั้นหรือ?